แน่นอนว่าการทำธุรกิจขนมต้องมีคู่แข่งทางการตลาดเพราะฉะนั้นหลายๆ แบรนด์จึงจำเป็นต้องงัดกลยุทธ์และหมัดเด็ดมาสู้ พร้อมกับยะดับสินค้าและพัฒนาให้แตกต่างเพื่อลงแข่งในสนาม “ฟรังโก” และ “เอพริล เบเกอรี่” 2 แบรนด์เอสเอ็มอีก็เช่นเดียวกันดึงเอากลยุทธ์ “มิกซ์แอนด์แมทซ์” มาปรับใช้เพื่อให้ได้สินค้าตัวใหม่ที่แตกต่างและโลดแล่นในเกมการตลาดได้เป็นอย่างดีและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
การนำวัตถุดิบที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรง มาจับคู่ผสมผสานกัน สร้างสรรค์เป็นสินค้าที่แปลกใหม่ หรือ กลยุทธ์ “มิกซ์แอนด์แมทซ์” ถือเป็นอีกหนึ่งทฤษฎีและอาวุธสำคัญที่หลายๆ กูรูแนะนำให้ SME นำไปใช้ เพื่อช่วยสร้างความได้เปรียบให้กับธุรกิจ อาทิ ช่วยสร้างความแตกต่าง ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย ช่วยขยายฐานลูกค้าไม่ให้จำกัดเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง รวมถึงยังช่วยสร้างการจดจำในแบรนด์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตของธุรกิจอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
ฟรังโก “ขนมอกไก่อบกรอบ” : ตีแตกช่องว่างตลาด มิกช์จนตอบโจทย์ความต้องการ
ฟรังโก (FRANGO) ขนมอกไก่อบกรอบ ถือเป็นสินค้าน้องใหม่แกะกล่องของเซเว่นฯ ที่มาพร้อมกับสโลแกน “อร่อย ง่าย ไม่รู้สึกผิด” ที่มิกซ์แอนด์แมทซ์หลายๆ กระบวนการผลิตเข้ากับวัตถุดิบเพื่อสุขภาพอย่างอกไก่ จนได้ออกมาเป็นขนมทานเล่นที่อร่อยไม่ซ้ำใครแถมอุดมไปด้วยโปรตีน เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัยที่ใส่ใจในสุขภาพ โดยวางจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น เมื่อตุลาคมที่ผ่านมา ด้วยยอดออเดอร์แรก 134,400 ซอง แต่ในระยะเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งเดือนก็มียอดออเดอร์เพิ่มอีก 57,600 ซอง แสดงให้เห็นว่าสินค้าเป็นที่ต้องการของตลาด
สมิธ-ศิริภัคพัชน์ สุวรรณประทีป ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส.อาร์. โปรดักส์ อินเตอร์ฟู้ด จำกัด เจ้าของ แบรนด์ “ฟรังโก” เล่าถึงที่มาของสินค้าให้ฟังว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 2560 ประเทศไทยยังไม่มีตลาดสินค้าขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ แต่ในต่างประเทศนั้น กระแสรักสุขภาพเริ่มเป็นที่นิยม และเชื่อว่าจะขยายสู่ประเทศไทยในไม่ช้า บริษัทจึงมีแนวคิดพัฒนาสินค้าประเภทนี้เพื่อเติมเต็มช่องว่างตลาด โดยเฉพาะกลุ่มคนรักสุขภาพที่ชื่นชอบการทานขนม เริ่มจากการนำอกไก่มาเป็นวัตถุดิบหลัก พร้อมทั้งทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อแก้ปัญหาที่อกไก่มีไขมันต่ำ ส่งผลให้สินค้าที่ผลิตจากอกไก่มีลักษณะแข็งกระด้าง และมีรสชาติไม่อร่อย
บริษัทค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการผลิตสินค้าแปรรูปจากหลากหลายสินค้า เช่น ลูกชิ้นปลา กุนเชียง แล้วนำจุดเด่นของกระบวนการผลิตแต่ละสินค้ามาปรับใช้ พร้อมขอรับคำปรึกษาเพิ่มเติมจากทางภาครัฐ จนได้กรรมวิธีอบสูตรเฉพาะของบริษัทที่ทำให้ขนมมีความกรอบ หอม ไม่แข็งกระด้าง และเริ่มวางจำหน่ายในปี 2563 ด้วย 2 รสชาติคือ ซาวครีมและออริจินัล จัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ และเพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น บริษัทจึงมีแนวคิดขยายสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด โดยนึกถึงเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นลำดับแรก เพราะเป็นตลาดที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้สะดวก มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ จึงขอเข้ารับคำปรึกษาจากทางทีมเซเว่น อีเลฟเว่น
“ทางทีมงานของเซเว่นฯ ได้แนะนำให้บริษัทปรับรสชาติ แพ็กเก็จจิ้ง และราคา ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย โดยเพิ่มรสซอสเกาหลีและต้มยำเพื่อจำหน่ายเฉพาะเซเว่น อีเลฟเว่น เท่านั้น เนื่องจากเป็นรสชาติที่คนไทยคุ้นเคยและเป็นที่นิยมรับประทานอยู่แล้ว จำหน่ายในราคาซองละ 30 บาท จากเดิม 40 บาท ปริมาณอกไก่สูงมากกว่า 91% ให้โปรตีนสูงถึง 10 กรัม ไขมันต่ำเฉลี่ย 1-2 กรัมต่อหน่วยบริโภค (22 กรัม) พร้อมปรับแพ็กเก็จจิ้งให้มีความโดดเด่น โดยหลังวางจำหน่ายได้เพียงไม่ถึงครึ่งเดือนก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดี จากกลุ่มคนรักสุขภาพและกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบขนมขบเคี้ยว ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตลาดมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จนทำให้มียอดออเดอร์เพิ่ม”
เอพริล เบเกอรี่ “โมจิลาวา ชาเอิร์ลเกรย์” : แมทซ์วัตถุดิบชั้นเลิศ สู่รสชาติใหม่ ในราคาเข้าถึงง่าย
เอพริล เบเกอรี่ (April’s Bakery) ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ต้นแบบ SME ด้านการมิกซ์แอนด์แมทซ์จนประสบความสำเร็จ และพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง มาวันนี้ เอพริล เบเกอรี่ มีอีกหนึ่งสินค้าชิ้นมาสเตอร์พีซ ได้ฤกษ์วางจำหน่ายในช่วงเดือน พ.ย.67 นั่นคือ “โมจิลาวา ชาเอิร์ลเกรย์” ที่โดดเด่นด้วยการมิกซ์วัตถุดิบชั้นดีแต่ละชนิดเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ผ่านเทคนิคการผลิตที่คิดค้นขึ้นเฉพาะ ทำให้ขนมมีรสชาติและรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ในราคาที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้เพียง 39 บาทต่อกล่อง
อร-กนกกัญจน์ มธุรพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงหา ฟู้ด อินดัสทรีส์ ประเทศไทย จำกัด เจ้าของ “April’s Bakery” ผู้ผลิตโมจิลาวา ชาเอิร์ลเกรย์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สินค้าชิ้นนี้เป็นการต่อยอดสินค้าในกลุ่มโมจิที่บริษัทผลิตอยู่ เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับไลน์สินค้า โดยความพิเศษของสินค้าตัวนี้คือการนำวัตถุดิบเกรดพรีเมี่ยมของแต่ละชนิดมาผสมผสานเข้าด้วยกัน โดยจุดเด่นของสินค้าตัวนี้คือ ตัวชาที่เป็นชาเอิร์ลเกรย์ของทไวนิงส์ (Twinings) ซึ่งเป็นชาที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นรสชาติและกลิ่นหอมของชา ตัวไข่มุกก็ผลิตจากบุกช่วยเพิ่มรสสัมผัสแบบไข่มุก แต่ให้แคลอรี่ต่ำ
“ที่มาของ โมจิลาวา ชาเอิร์ลเกรย์ มาจากส่วนตัวเป็นคนชอบทานชานมไข่มุกมาก ประกอบกับคนไทยเองก็ชื่นชอบการทานชาไข่มุก จึงมีแนวคิดที่จะนำชาไข่มุกมามิกซ์กับโมจิ และได้เริ่มทำการค้นคว้า ทดลองผลิต รวมทั้งขอคำปรึกษาจากทีมเซเว่น อีเลฟเว่น จึงสำเร็จออกมาเป็นสินค้ามาสเตอร์พีซชิ้นนี้ โดยความพิเศษอื่นนอกจากตัวชาเอิร์ลเกรย์แล้ว ตัวไส้ลาวาก็ไม่มีส่วนผสมของเนย ซึ่งส่วนใหญ่ตัวลาวาที่จำหน่ายในตลาดจะใช้เนยเป็นวัตถุดิบหลัก แต่เพื่อสร้างความแตกต่างจึงได้นำไวท์
ช็อกโกแลตจากอิตาลีมาแทน โดยผ่านกระบวนการผลิตเฉพาะของบริษัท หรือแม้กระทั่งคัสตาร์ดบริษัทก็นำเข้าจากเยอรมัน นมผงที่ใช้ก็เป็นนมผงจากนิวซีแลนด์ แต่ผลิตออกมาให้ได้ราคาที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าสินค้าชิ้นนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีเหมือนดังเช่นสินค้ารุ่นพี่อย่างโมจิลาวาที่มียอดขายต่อวันในเซเว่น อีเลฟเว่น ราว 70,000 กล่องต่อวัน”
อย่างไรก็ตาม จากเรื่องราวของทั้ง 2 แบรนด์ SME ที่หยิบขึ้นมา แสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์ “มิกซ์แอนด์แมทซ์” ช่วยสร้างความสำเร็จได้ตั้งแต่เริ่มลุยตลาดเหมือนดังเช่น “ฟรังโก” และหากทำอย่างต่อเนื่องก็จะส่งผลต่อการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในระยะยาวเหมือนกับ “เอพริล เบเกอรี่”
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *