“ทำไมเราเกี่ยวกับนวดก็คือได้จากสุขภาพของเราพอไปนวดแล้วเรารู้สึกสบายก็อยากจะเอาจุดนี้มาถ่ายทอดให้คนอื่นเพราะว่าเป็นคนที่ชอบนวดมากเลย ไปเรียนรู้ทุกศาสตร์ทุกสาขาหลายๆ อย่าง คือทุกวันนี้ยังเรียนเพื่อมารักษาคนไข้ที่มาหาเรา”
บ้านอยู่เมืองอุบลฯ นั่นคือพื้นเพเดิมก่อนที่จะย้ายตาม “สามี” มาเป็นสะใภ้คนญี่ปุ่นเมื่อ 30 กว่าปีก่อน “คุณบานเย็น ทาเคดะ”หรือคุณหน่อย เล่าให้ฟังอีกว่า บ้านเดิมอยู่ที่ อ.พิบูลมังสาหาร แล้วจากนั้นได้ย้ายตามคุณพ่อมาอยู่ที่กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ แต่ว่าพื้นเพจริงๆ คือเป็นคนอุบลฯ พอแต่งงานแล้วกับชาวญี่ปุ่นเลยได้ย้ายติดตามสามีมานับจากนั้น “ได้เข้ามาในประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกมาในนามของวีฯแต่งงาน และมาอยู่ที่ญี่ปุ่น มาอยู่กับสามีมีลูกสาว 1 คน และหลังจากนั้นได้มาทำงานหลายอย่างค่ะ จะเป็นการตัดเย็บเสื้อผ้า คือจะเอาผ้าไหมมาเย็บเองแล้วหลังจากนั้นมาทำร้านอาหารค่ะ พอมาทำร้านอาหารรู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเป็นผลเนื่องมาจากการเกิดอุบัติเหตุหกล้มแล้วได้กลับไปเมืองไทยเพื่อไปรักษาตัวอยู่ที่เมืองไทย ไปรักษาโดยการนวดคือไปนวดที่ “วัดโพธิ์”ค่ะพอไปเจอที่วัดโพธิ์แล้วรู้สึกว่า มันประทับใจ ว่าอ้อ! เราควรจะมาเรียนแล้วไปนวดให้คนอื่นอะไรอย่างเงี้ย เลยได้จุดประกายตรงนั้น” กลับมาที่ญี่ปุ่นอีกครั้งเพื่อจะมามอบหมายให้เพื่อนที่ร่วมงานให้ดูแลร้านเพื่อเราจะได้ขึ้นไปเรียน “นวดไทย” ที่เรียกกันในสมัยก่อนที่วัดโพธิ์ ไปเรียนที่วัดโพธิ์
จาก “แม่บ้าน” สามีไม่ให้ทำงานเลย! สู่เส้นทางนักธุรกิจเจ้าของร้านนวดไทย
ด้วยความที่พี่น้องเราเยอะ เป็นลูกคนโตมีพี่น้องทั้งหมด 8 คน (ผู้หญิง 7 คน มีผู้ชาย 1 คนเป็นคนสุดท้อง) พ่อกับแม่ลำบากเราก็เป็นลูกคนแรก (คนโต) ที่เราต้องจุนเจือครอบครัวเลยมาที่ญี่ปุ่น ตั้งใจว่าจะมาทำงานหาเงินเพื่อส่งเสียให้ทางบ้านเราด้วย“แต่ว่าสามีไม่ให้ทำเนาะ สามีไม่ให้ทำในตอนนั้นสามีอาจจะมีตังค์ พอทำไปทำมาเขาเป็นคนล้มละลาย! พอล้มละลายเสร็จเราจะทำอย่างไร เราต้องช่วยเหลือตัวเราเอง พอช่วยเหลือตัวเราเองสามีไม่ให้ทำ พอไม่ให้ทำแล้วเขาบอก ถ้าเธอไปทำงาคือเลิกกัน! บอกก็ไม่เลิก เลยอุ้มลูกจากเขตอิบารากิตอนนั้นอยู่ที่อิบารากิ มาหาพี่สาวเขาอยู่ที่ไซตามะมาอยู่ไซตามะ อันแรกที่เริ่มเข้าทำงานคือ ไปทำงานที่ร้านอาหารไทย กลางคืนไปทำงานที่ร้านดื่ม ซึ่งภาษาไม่รู้เรื่องแต่ไปทำได้ด้วยความเขาแนะนำค่ะ” ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะมาก เสร็จแล้วหลังจากนั้นมาเลยว่า อยากจะเปิดร้านอาหารไทยก็เริ่มเก็บเงิน แล้วตัวเองชอบอาหารไทย เลยไปเปิดร้านอาหารไทยอยู่ได้ 2 ปี แล้วด้วยปัญหาเรื่องสุขภาพร่างกายของตัวเองที่ไม่ค่อยแข็งแรงพอเจอ “นวด” เลยต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้
ก็ไปเรียนที่วัดโพธิ์ เรียนหลายอย่าง จะมีนวดตัว นวดฝ่าเท้า และนวดคนท้อง นวดเด็ก เราไปเรียนหลายสาขาหลายศาสตร์เลย แล้วกลับมาทำร้านอาหารต่อแต่ว่าร่างกายตอนนั้นยังไม่ค่อยแข็งแรง แล้วหลังจากนั้นมาปิดร้าน (ธุรกิจที่เรารัก) เสร็จแล้วเข้ามาที่โตเกียว ครั้งแรกที่มาอยู่ที่โตเกียวซึ่งอยู่ในย่านใกล้ๆ กับโตเกียวทาวเวอร์ มาทำงานที่นั่นเพื่อจะเก็บเงินไว้เป็นทุนต่อไป “ตอนนั้นร้านนวดยังไม่ค่อยเยอะ แต่คนหรือลูกค้าเนี่ยร้านนวดไทยจะเป็นอะไรที่คนญี่ปุ่นประทับใจมาก ดิฉันได้ไปศึกษาอยู่ตรงนั้นอยู่ 1 ปี" หลังจากหนึ่งปีเหมือนว่าเราเก็บเงิน (ทุน) ได้แล้วเพราะว่าตอนนั้นคือทำงานหนักมาก ตั้งแต่เช้ายันเย็นเลย เก็บเงินทุนได้จำนวนหนึ่งเลยใช้ทุนนั้นมาเปิดร้านอยู่ที่ทามากิ “ก่อนหน้าที่เราจะเปิดร้านเราไปเดินหาร้านตรงนั้นตรงนี้ เราได้ไปศึกษา (หมายถึงว่า เราไปเป็น Manager บ้าง ไปเป็นพนักงานนวดบ้าง) เพื่อเราจะมาทำร้านนวดตัวเองมันต้องศึกษาก่อน เพราะถ้าเราไม่ศึกษาก่อนมีแต่ “เงิน” เราจะมาเปิดร้าน ส่วนมากคนไทยจะไม่ค่อยศึกษาแต่ตัวดิฉันเองจะเข้าไปศึกษา” จะพูดเท้าความหน่อยคือจริงๆ แล้วตัวเองเป็นคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ (เรียนมาน้อย) แต่ว่าเรามาศึกษาเอาหลังจากนั้น มาศึกษาเกี่ยวกับคนญี่ปุ่นด้วย คนไทยด้วย พอเราเข้ามาอยู่ในวงการนวดแล้วมันต้องรู้จักการใช้ “ภาษา” ซึ่งเรื่องภาษาตอนนั้นเราเองยังไม่ค่อยเก่ง เลยไปเรียนตามโคมินกังเรียนตามอำเภอ แล้วไปเรียนเกี่ยวกับภาษาที่ใช้ในการนวดเพราะว่ามาใหม่ๆ เรายังไม่เป็น
นวดไทยตามศาสตร์ของ “วัดโพธิ์” แก้อาการป่วยและคนปวดเมื่อย
การดูแลเทกแคร์คนไข้หรือว่าผู้ที่ถูกนวดที่เราจะนวด เราต้องสนใจนิดหนึ่งต้องถามหนึ่งชื่อ เขาเป็นโรคอะไร เราต้องเขียนเอาไว้ที่ร้านจะมีเขียนเอาไว้ตั้งแต่วันเดือนปีของคุณ แล้วคุณเป็นโรคอะไร น้ำหนักเท่าไร สูงเท่าไร เป็นโรคนอนไม่หลับหรือเป็นโรคอะไร เราจะมาวิเคราะห์ตรงนั้น เราค่อยศึกษาไปเรื่อยๆ ศึกษาจากคนไข้ จากคนไข้ที่มาหาเรา“ส่วนมากลูกค้าที่มาหาเราเนี่ยตั้งแต่เปิดร้าน จนตั้งแต่อายุ 50-60 จน 70-80 หรือ 90 ก็มีค่ะ คือร้านนวดของเราเป็นกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างมีอายุค่ะ มาตั้งแต่เด็กอายุ 15 ปีก็มี จนตอนนี้อายุ 30 กว่าก็มีค่ะ แต่ละคนร้านของเราจะอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยด้วย” ซึ่งสมัยก่อนตัวเองเป็นคนที่ชอบทำอาหารจะทำอาหารไทยเลี้ยงเขาด้วย จริงๆ แล้วมานวดแค่ 10 นาที (ราคา 500 เยน) เราสามารถที่จะดึงลูกค้ามาเป็นลูกค้าประจำของร้านได้ ตั้งแต่วัยรุ่นที่เขาเงินเดือนน้อยๆ จนเขาได้เป็น “ซาโจ้” เขาจะมาหาจนเขามีลูกมีครอบครัวแล้ว มาทักทายเหมือนว่ามาหาแม่อะไรประมาณนี้ คือจะเป็นร้านครอบครัว ร้านกันเองพอเขาเข้ามาอย่างเงี้ย เขาบอกว่าเหมือนกลับมาบ้านเลย
“ศาสตร์หลักๆ ของวัดโพธิ์จะมีนวดลูกประคบ และก็นวดไทย แล้วผสมออยล์ แล้วผสมอโรมาลงไปก็คือจะใช้ “กลิ่นหอม” ซึ่งเราทำเองน้ำหอมจะมาจากไพล ขมิ้น และใบเตยค่ะ เพราะว่าใบเตยจะเป็นกลิ่นอ่อนๆ แล้วมีเพิ่มขึ้นมาอีกจะมีตอกเส้น และนวดไม้ไผ่ และนวดอมตรสค่ะ คนที่เส้นแข็งๆ เราจะใช้ไม้แคะไม้แงะออกมาค่ะ เราจะใช้แบบหลายอย่างศาสตร์เราหลายอย่างค่ะ”
คนญี่ปุ่นเรื่อง “เวลา” เขาจะจำกัด การมานวดต้องให้ลูกค้าคุ้มค่าที่สุด
ที่ร้านจะเปิดตั้งแต่ 11.00 น. ถึง 01.00 น. ซึ่งค่อนข้างที่จะยาวนานนิดหนึ่ง แต่ส่วนมากบางทีลูกค้าที่มีอายุหน่อยเขาอาจจะขอมาเร็วคือ ประมาณ 09.30 น. เข้ามาได้ “จะใช้เวลานวดให้เขาประมาณ 100 นาทีถึง 2 ชั่วโมงอย่างเงี้ยค่ะ ส่วนมากลูกค้าเนี่ยใหม่ๆ คือเราจะมีให้ทดลอง 15 นาที ซึ่ง 15 นาทีสมัยเมื่อ 20 ปีก่อน 15 นาทีจะคิดแค่ 500 เยน แต่ปัจจุบันนี้ 15 นาทีเราจะคิดอยู่ 1,750 เยน ถ้า 30 นาทีจะเป็น 3,900 เยน คือจะสตาร์ทจากตรงนั้น” พอเขาได้จากตรงนั้นแค่ 30 นาทีเหมือนนวดแป๊บเดียว เขาจะเพิ่มมาเป็น 70 นาที (8,000 เยน) ส่วนมากที่ร้านจะแนะนำเป็น 100 นาทีคือถ้าไปนวดที่เมืองไทยจะสตาร์ทอยู่ที่ 2 ชั่วโมง แต่ทีนี้เราย่นเวลานิดหนึ่งเพราะว่าคนญี่ปุ่นเขาจะใช้เวลาค่อนข้างให้เป็นประโยชน์ เพราะว่าเวลาของเขาจะน้อยด้วย เราเลยแนะนำเป็น 100 นาที ซึ่งจะมีเป็นลูกประคบให้ อาจจะใช้น้ำมัน (น้ำมันยาหม่อง) ที่เราทำขึ้นมาเองเพื่อผ่อนคลาย เราจะบริการลูกค้าในส่วนนี้ มีทั้งตอกเส้นด้วย นวดไม้ไผ่ด้วย
ปัจจุบันร้านนวดไทยแข่งขันสูงมาก! แต่สิ่งที่ยังขาด คือ แรงงาน (ช่างฝีมือ)
การที่เราจะเปิด “ร้านนวด” อันดับแรกเลยคือ ทำเล ทำเลสำคัญมากแล้วค่าเช่า คือทำเลกับค่าเช่านี้จะเป็นปัจจัยแรก และการใช้บริการหนึ่ง คนที่จะมาใช้บริการของเราอย่างน้อยเขาไปร้านนวดมาทุกหนทุกแห่งแต่ว่า เขาจะมาหยุดอยู่ที่ร้านเราอยู่ที่ ประทับใจ ประทับใจการนวดการผ่อนคลาย การเป็นกันเอง คนที่จะไปเปิดร้านนวดเราต้องมีปัจจัยตัวนี้ คือการให้ เป็นผู้ให้ให้ในที่นี้คือการให้รอยยิ้ม ให้น้ำใจ ไม่ใช่เขามานวด 30 นาทีเวลามันน้อย คือเราพยายามคุยกับลูกค้าว่าเวลามันน้อยเราพยายามทำให้เขาดีที่สุด เพราะว่า 30 นาทีเวลามันน้อยก็จริง แต่ตอนนี้ได้มีการมาฝึกเป็น 10 นาที เพราะว่าไปออกงานอีเวนต์ 10 นาทีก็สามารถให้ประทับใจได้ “คือเป็นการให้ อยู่ในเวลาก็จริงแต่ว่า แถมนิดแถมหน่อยก็ไม่เป็นไร ส่วนมากจะไม่ใช่แค่ 30 นาทีเนาะ นวดมันต้องมีหลายกว่านั้นค่ะ เพื่อให้เขาประทับใจ เขาอยากจะมาอีก”
การแข่งขันของร้านนวดไทยในญี่ปุ่น? คุณหน่อยเล่าว่า แต่ละเมืองที่เคยไปดูร้านของสมาชิก อย่างเช่น เขตโยโกฮามา
จะมีแต่ละที่ 4-5 เจ้า เปิดเรียงกันแบบติดๆ เลย แต่ละคนเปิดร้านเองอยู่แบบของใครของมัน “คือคนไทยเนี่ยเข้าใจอยู่ ต่างคนต่างทำอะไรเข้าใจอยู่ แต่เขตนั้นเขาจะอย่างสมมติว่าลูกค้าเข้าร้านนี้เขาจะโทร.หากัน เขาจะวิ่งหากันปิดร้านของตัวเองเอาไว้ วิ่งไปวิ่งมา อะไรอย่างเงี้ย อันนี้เป็นเรื่องดีเนาะแต่จริงๆ แล้วคนไทยเราควรจะมารวมตัวกัน เมืองหนึ่งๆ มีสัก 3 ร้านอะไรอย่างเงี้ย เรามารวมตัวกันดีกว่าเมืองหนึ่งเขตหนึ่งมี 10 ร้าน อย่างเงี้ย ทีนี้ลูกค้าจะวนไปวนมาอะไรอย่างเงี้ยค่ะ ถ้าใครสู้ค่าเช่าไม่ได้ก็มีการปิดไปหรือว่าให้คนอื่นมาเทกโอเวอร์ก็จะหมุนเวียนกันอย่างงี้ ขายกันไปขายกันมาอย่างงี้ ซึ่งในข้อนี้มีคนโทร.มาปรึกษาว่าจะต้องทำอย่างไร ก็มีเยอะ คือเหมือนออกอีเวนต์แต่ละคนมาก็มีโปรเข้ามาหรือไม่โปรก็เข้ามารวมกัน มารวมกันในที่นี้คือว่าเราจะมาดูทักษะกัน อันไหนไม่ได้ที่ร้านก็จะมีการเรียนการสอนทุกเดือน เดือนละครั้ง ก็คือมาฝึกฝนกันแต่ส่วนมากคนไทยจะไม่เข้ามา จะเป็นคนญี่ปุ่นที่เข้ามามากกว่า” เมื่อ 3 ปีที่แล้วที่มีการแข่งขันในญี่ปุ่นและทั่วโลก ซึ่งตัวคุณหน่อยเองได้เป็นคณะกรรมการที่อยู่ในนั้นด้วย เป็นกรรมการมาทั้งหมด 3 ปีแล้ว เลยมองเห็นตรงนั้นคนไทยน่าจะเอาการเรียนการสอนมาเพิ่มให้กันเยอะๆ ที่ร้านจะมีการสอนซึ่งส่วนมากเป็นคนญี่ปุ่นเข้ามาแต่ละคนเขาก็เพื่ออนาคตของเขา ก่อนที่จะไปเปิดร้าน คนไทยเองก่อนที่จะไปเปิดร้านต้องมาศึกษาก่อน ว่าควรจะทำยังไงต้องปรึกษากัน ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วก็ไปเปิด ไปเปิดแล้วก็ปิด เดี๋ยวก็เปิดเดี๋ยวก็ปิด อย่างงี้คือไม่อยากให้มี ถ้าเปิดแล้วก็เปิดนานๆ อยากให้เป็นแบบนั้น
ในส่วนของคนทำธุรกิจ มันขาดแคลนก็คือ เรื่องพนักงาน เรื่องบุคลากร เมื่อ 10 ปีก่อนเราเคยเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่คือทางญี่ปุ่นเขาจะเก็บรักษา “วีซ่า” สำหรับตัวนี้เอาไว้ให้คนที่ด้อยโอกาสของเขา คือกลุ่มคนตาบอดของคนญี่ปุ่น ซึ่งวีซ่าตัวนี้ไม่ใช่มันไม่ได้เลย คือจะมีวีซ่าสำหรับบุคลากรที่เป็นอาจารย์ (ช่างวิชาชีพเฉพาะ) วีซ่าออกให้ 3 เดือน มาเป็นวิทยากรเพื่อถ่ายทอดวิชาให้เรา แต่ส่วนมากอาจารย์ที่จะมาให้ความรู้ในระยะเวลา 3 เดือนจะมีค่าใช้จ่ายเยอะ เพราะญี่ปุ่นค่อนข้างจะค่าใช้จ่ายสูง ค่าที่พักค่าใช้จ่ายอื่นๆ เมื่อหลายปีที่แล้วในกลุ่มเลยมีการนำอาจารย์เข้ามา วีซ่า 15 วัน มาถ่ายทอดเกี่ยวกับความรู้ เราก็เก็บเกี่ยวเอาตรงนั้นมาเพื่อมาถ่ายทอดต่อในกลุ่มสมาชิก
กว่าจะมาถึงวันนี้ “20 กว่าร้านบัวหลวง” ร้านนวดไทยในญี่ปุ่น
คุณบานเย็น ทาเคดะ (คุณหน่อย) เจ้าของร้าน “บัวหลวง” ร้านนวดไทยตำรับวัดโพธิ์ในประเทศญี่ปุ่น ยังบอกด้วย ตั้งแต่ปี 2001
ปี 2000 เริ่มเข้าสู่วงการนี้เป็นพนักงาน จากพนักงานมาเป็นเจ้าของร้าน ล้มลุกคลุกคลานมาทั้งร้องไห้ทั้งอะไร เพราะว่าค่าใช้จ่ายก็แพงบางทีร้องให้อยู่ กว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ใช้เวลา 20 กว่าปี เจออุปสรรคเยอะ หนึ่ง พนักงานเมื่อก่อนจะมีร้านอยู่ 2 สาขา 3 สาขา คือบางทีส่งพนักงานไปซึ่งแขกรออยู่ พนักงานไม่ไปแต่หนีไปรับงานอื่นแทนก็มี ถามว่าวุ่นวายไหม ก็วุ่นวายตอนนั้นคิดมากเหมือนกันว่าจะไปรอดไหม บางทีการที่เรามาอยู่จุดๆ นี้เงินทองที่เราหามามันเหนื่อยเกินไปไหม เลยมาช่วงหลังจะตัดจำนวนนั้นออกคือมาอยู่ที่จุดเดียวพอ เน้นการให้ความรู้กับคนอื่นให้เยอะ มีการออกงานอีเวนต์คือไปให้เขาชิมการนวดดูว่ามันเป็นแบบนี้นะ อะไรแบบนี้มากกว่า เราจะกระจายในลักษณะนี้จะออกเหนื่อยแบบนี้มากกว่า
“ต้องขอบคุณตัวเอง ต้องขอบคุณตัวเองเยอะๆ เพราะว่าหนึ่งทำไมถึงบอกขอบคุณตัวเอง เพราะว่าคนอื่นจะมาขอบคุณก็สู้เราขอบคุณตัวเองไม่ได้ เพราะว่าชีวิตของเรา เราฝ่าฟันด้วยตัวเราแล้วเราสำเร็จด้วยตัวเรา สำหรับตัวหน่อยเองคือเป็นคนที่สำเร็จเป็นผู้ที่สำเร็จเป็นคนที่เซโก้ที่สุดในธุรกิจเขาเรียกอะไร ในธุรกิจนวดหรือว่าธุรกิจไหนๆ ก็แล้วแต่ สิ่งที่อยากจะให้มากที่สุดคือ ให้ใจ ให้ใจคนให้มากที่สุด เราจะต้องเป็นผู้ให้ ให้เยอะที่สุด เราต้องเป็นเศรษฐีให้เยอะที่สุด คำว่าเศรษฐีคือไม่ใช่ผู้เอา เป็นผู้ให้” ทุกเรื่องราวมันต้องผ่านองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่างานไหนก็แล้วแต่เราต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน คนรอบข้างไม่ว่าใครก็แล้วแต่ เราต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน เราถึงจะเป็นเราในทุกวันนี้
สาวอุบลสะใภ้ญี่ปุ่น ผู้บุกเบิก “นวดไทยตำรับวัดโพธิ์” เปิดร้านชื่อ “บัวหลวง” ในประเทศญี่ปุ่นมานานกว่า 20 ปีแล้ว ขอบคุณเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจดีๆ จากคุณบานเย็น ทาเคดะ (คุณหน่อย) คนต้นเรื่องชีวิตใหม่ในต่างแดนครั้งนี้ที่กรุณามาร่วมแชร์ประสบการณ์ การบุกเบิกธุรกิจร้านนวดไทยในญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าชื่นใจ อีกทั้งยังเป็นการช่วยเผยแพร่ Soft power ศาสตร์การนวดตำรับวัดโพธิ์แท้ๆ ของประเทศไทย ให้ต่างชาติได้รู้จักและหลงใหลจนเกิดเป็นภาพของการสร้างงานสร้างรายได้ให้คนไทยในต่างแดนโดยหนึ่งในนั้น “คุณหน่อย” คือตัวอย่างหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพนี้เป็นอย่างสูงและน่าภาคภูมิใจ
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด