ด้วยสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและอุณหภูมิโลกที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น ไม่ได้ส่งผลเสียกับธรรมชาติเท่านั้น แต่เริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนด้านสุขภาพมากขึ้น เช่น การเกิดโรคอุบัติใหม่ หรือการที่ภูมิอากาศแปรปรวนสร้างความอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ความยั่งยืนจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้...ทุกธุรกิจจึงต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
finbiz by ttb ขอเสนอแนวคิดและเหตุผลที่ทำไมองค์กรธุรกิจต้องใส่ใจ ESG รวมถึงแนวทางสำหรับในการดำเนินธุรกิจ ดังนี้
•ทุกธุรกิจมีโจทย์ใหญ่ คือ ต้องปรับตัวให้ “อยู่ได้-อยู่ดี” ในยุคโลกเดือด
•นอกจากดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในขอบเขตการดำเนินงานของบริษัทเองแล้ว ทั้งห่วงโซ่อุปทานจะต้องหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน
•เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ไม่ใช่แค่การจัดการขยะ แต่เริ่มตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงกระบวนการ จนไปถึงการใช้งาน และการกำจัดเมื่อผลิตภัณฑ์สิ้นอายุ
•บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องจัดทำรายงานความยั่งยืนเพื่อเปิดเผยข้อมูล ESG
•การเงินเพื่อความยั่งยืนเติบโตมากขึ้น มีการออกหุ้นกู้ ตราสารหนี้ที่เกี่ยวกับความยั่งยืน แนวโน้มนี้ยิ่งมาแรงขึ้นจากการมีกองทุน Thai ESG
•รูปแบบการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้เน้นเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเดียว แต่ลงทุนเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติด้วย
•การใช้เทคโนโลยี เช่น Climate Tech, AI เข้ามาช่วยในการจัดการความยั่งยืน
เหตุผลที่ธุรกิจต้องเร่งใส่ใจ ESG เพราะธุรกิจจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ต้องเติบโตอย่างสมดุลทั้ง 3 ด้าน คือ People, Planet และ Profit โดยมองเรื่องของการลดผลกระทบเชิงลบ สร้างผลกระทบเชิงบวก ตลอดจนปรับตัวให้อยู่ได้และอยู่ดีในโลกที่เปลี่ยนไป การที่ธุรกิจต้องสนใจการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนองค์กร (ESG Management) มาจากเหตุผลหลัก 4 เรื่อง คือ “กฎมาชัวร์-กลัวเงินหาย-ขายให้จึ้ง-ดึง Talents”
1) กฎมาชัวร์ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา กฎเกณฑ์ มาตรฐาน และกรอบด้าน ESG เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ความเสี่ยงด้าน ESG ไม่ได้มองแค่รักษ์โลกอย่างเดียว แต่สามารถนำไปสู่ความเสี่ยงทางด้านการเงินได้ ดังนั้น จึงควรเริ่มเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรตั้งแต่วันนี้ เพื่อจัดทำเป็นนโยบายและพร้อมเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจก ที่สำคัญต้องผนวก ESG เข้าไปในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานด้วย
2) กลัวเงินหาย เพราะสถาบันการเงินและนักลงทุนให้ความสำคัญกับเครื่องมือทางการเงินและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์การลงทุนเพื่อความยั่งยืน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก อย่างสินเชื่อสีเขียว ตราสารหนี้สีเขียว นอกจากนี้ ESG ยังช่วยประหยัดต้นทุนจากการเพิ่มประสิทธิภาพด้วย
3) ขายให้จึ้ง จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และกระแสรักษ์โลก การใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม ทำให้ผู้บริโภคตระหนักและต้องการเป็นส่วนหนึ่งของความยั่งยืนของโลก จึงมีความต้องการสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น
4) ดึง Talents มีการวิจัยพบว่าพนักงานที่มีคุณภาพ และคนรุ่นใหม่ต้องการทำงานกับบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และสนใจบริษัทที่มุ่งเน้นการทำ ESG
แนวทางสำหรับธุรกิจในการทำ ESG
องค์กรควรให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนด้วยการประเมินแบบ Double Materiality ซึ่งจะมีการพิจารณาผลกระทบด้านความยั่งยืนทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน (Non-Financial) แบบ Inside-Out/Outside-In แม้ว่าจะไม่ได้มีกฎบังคับว่าจะต้องมีการเปิดเผยผลการประเมินแบบ Double Materiality ไว้ในรายงาน แต่การประเมินรูปแบบนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจับประเด็นในการพิจารณาได้ และเป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจในประเด็น ESG ที่เกี่ยวข้องกับบริบทขององค์กร
Inside-Out มองผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Impact Materiality) ว่าธุรกิจเราทำอะไรที่กระทบในเชิงบวกและเชิงลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมบ้าง
Outside-in มองผลกระทบต่อธุรกิจ (Financial Materiality) ว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป เช่น อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นกระทบกับการเงินของธุรกิจอย่างไร
เมื่อมีการประเมินได้ ธุรกิจจะสามารถปรับปรุงพัฒนาธุรกิจตามแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน และหากมีหลายประเด็นที่ต้องจัดการ ก็สามารถพิจารณาลำดับความเข้มข้นในการจัดการดังนี้
1) ทำตามกฎ ทำรายงานตามระเบียบต่างๆ และดำเนินธุรกิจตามกฎที่มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งธุรกิจควรเก็บข้อมูลก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้สามารถวางแผนในการพัฒนาต่อไป
2) เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เมื่อธุรกิจทำตามกฎระเบียบต่างๆ แล้ว ให้พิจารณาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรต่างๆ ลงได้ และยังสร้างส่วนต่างระหว่างต้นทุน และรายได้ให้ธุรกิจ
3) ลงทุนเพื่อสร้างนวัตกรรม เมื่อธุรกิจสามารถดำเนินงานอย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว ถึงเวลาของนวัตกรรมที่จะช่วยพัฒนาธุรกิจในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านของผลิตภัณฑ์ และกระบวนการต่างๆ ที่ต้องมีการลงทุนเพื่อสร้างผลประกอบการที่ยั่งยืนในระยะยาว และสร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี การที่ธุรกิจจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต้องมีการพัฒนาปรับปรุงอย่างไม่สิ้นสุดเช่นกัน การเป็นองค์กรที่ดำเนินงานตามแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน จะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง และสามารถสื่อสารเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยต้องมีนโยบายและการดำเนินการจริงไม่ใช่ทำเพื่อการตลาดตามเทรนด์เท่านั้น