xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) “เรซูเม่บายมิ้น” เปิดทริคเอาใจคนอยากได้งานทำ ยื่นครั้งเดียวผ่าน! เปลี่ยนชีวิตได้เพราะกระดาษใบเดียว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“มิ้นค่อนข้างมั่นใจกล้าการันตีตัวเองด้วยรีวิวที่มีอยู่ในเพจตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ว่าที่มิ้นทำออกไปสมมุติ 100 ท่าน มิ้นเชื่อว่าไม่ต่ำกว่า 90 ท่านได้งาน! เป็นคนแรก ๆ ที่ทำเป็นเพจแรก ๆ เลยตั้งแต่ 6-7 ปีก่อน และทำมามั่นใจว่ามากกว่า 5 หมื่นแผ่น มากกว่า 50 แผ่น/วัน”


วิสสุตา ศรีศักดาหรือคุณมิ้น หรือ “มิ้นแม่แฟน”(อีกฉายาหนึ่งที่รู้จักกันในวงการนักเล่าเรื่องผีฯ) เจ้าของเพจ “RESUME-BY-MINT” บอกว่า ที่ตัดสินใจเปิดเพจเรซูเม่ขึ้นมามันเริ่มมาตั้งแต่ สมัยที่มิ้นเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ตอนนั้นมิ้นศึกษาอยู่ชั้นปีที่4 แล้วใกล้จะเรียนจบแล้ว ในพาร์ทตอนนั้นจะต้องมีการฝึกงาน ซึ่งในการฝึกงานแต่ละที่ทางมหาวิทยาลัยเขาให้โอกาสเรา ในการออกไปฝึกงานที่ไหนก็ได้แล้วแต่เรา แต่ในทุกสถานที่ที่เราต้องไปฝึกงานมันต้องยื่นเอกสารตัวหนึ่งก็คือ RESUME ตอนแรกคิดว่าเรซูเม่มันก็คือประวัติเราเฉย ๆ จนอาจารย์ในคณะที่มิ้นเรียนอยู่เขาพาเด็ก ๆ ในคณะไปอบรมกับสถานที่ที่เป็นเกี่ยวกับรับทำ “เรซูเม่” ที่เป็นเว็บไซต์ใหญ่ ๆ พอไปอบรมมิ้นถึงรู้ว่า เรซูเม่สำคัญมากกว่าการเป็นกระดาษ 1 ใบ เพราะอย่างบริษัทใหญ่ ๆ มาก ๆ อย่างตัวมิ้นตอนนั้นเลือกที่จะฝึกงานที่สายการบินฯ ในการไปยื่นสมัครงานมันมีคนเป็น 100 เป็น1000 ที่เข้าไป HR อาจจะมีแค่ไม่กี่คน เพราะฉะนั้นเอกสารใบเดียวที่เราคิดว่ามันเป็นกระดาษใบเดียวแค่เขียนประวัติ เขาต้องใช้เวลาดูที่เร็วมาก และไอ้เร็วมากตรงนี้มันทำให้เราต้องทำให้ไอ้กระดาษใบนี้มันน่าสนใจที่สุด

“ตอนแรกที่มิ้นรู้โดยที่ยังไม่ได้อบรมนะคะก็รู้แค่ว่า เรซูเม่ ก็คือโอเคเราใส่ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน ทักษะที่เรามีเราคิดว่ามันเป็นแค่นั้น แต่พอไปถึงจริง ๆ พอได้ไปอบรมจริง ๆ มันไม่ใช่แบบนั้นเลย” เขาไม่มีเวลาที่จะมาดูว่า เรามีการทำงานมากี่ที่ เคยฝึกงานไหม เคยทำพาร์ตไทม์ที่อื่นมาก่อนหรือเปล่า หรืออะไรเลย มันจะมีแค่ไม่กี่จุดที่เขาดูเท่านั้น แล้วดูแล้วอาจจะใช้เวลาแค่นาทีเดียว ที่เขาจะเลือกว่าเอาหรือไม่เอา ตอนแรกยังไม่เห็นภาพชัดเจนว่ามันสำคัญยังไงจนตอนนั้นมิ้นกับกลุ่มเพื่อน ๆ เราตัดสินใจทำกันเองก่อนโดยที่ยังไม่ได้ฟังอบรมเขาจนเสร็จคอร์ส ทำกันเองปรากฏว่าไปยื่นฝึกงาน 5 ที่ไม่ติดสักที่เลย “ก็จะมีหลาย ๆ คนบอกว่าไม่เกี่ยวกับเรซูเม่หรอกแต่เกี่ยวกับ ชื่อมหาวิทยาลัย คือส่วนตัวมิ้นเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนบางคนก็บอก โอ้ยเขาไม่เลือกเด็กเอกชนหรอก เขาเลือกแต่เด็กมหาวิทยาลัยรัฐ เขาพูดกันแบบนั้น” ตอนนั้นมิ้นเชื่อแบบนั้นเหมือนกัน เชื่อแบบที่หลาย ๆ คนเชื่อ แต่พอเข้าไปเรียนวิธีการทำจริง ๆ ว่ามันต้องทำยังไง มิ้นลองกลับไปยื่นที่เดิมที่เป็นองค์กรใหญ่ทั้งหมด มิ้นติดทั้ง 3 องค์กรเลย เลยทำให้รู้ว่า “เรซูเม่” มันไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียว มันชี้อนาคตเราในข้างหน้าได้อีกด้วย


เรซูเม่มีหลาย LEVEL สำหรับผู้ใช้ ที่จะต้องปรับให้เฉพาะแต่ละบุคคล
คนส่วนใหญ่เป็นเหมือนมิ้นก่อนหน้านั้น คือไม่รู้ มิ้นก็เลยตัดสินใจเปิดเพจ เปิดเพจขึ้นมารับทำเรซูเม่ เพราะเรซูเม่มันมีหลาย LEVEL มากเลย อย่างเด็กจบใหม่ ไม่มีประสบการณ์การทำงานมาก่อนมันก็ต้องทำอีกแบบ คนมีประสบการณ์การทำงานมาก่อนก็ต้องทำอีกแบบ คนมีประสบการณ์การทำงานมามากแต่อยากเปลี่ยนสายงานกระโดดจากงานเดิมเลยก็ต้องทำอีกแบบ มันต่างกันตรงนี้ “แต่ละที่ ถ้าเกิดในยุคนี้ก็จะเห็นเยอะขึ้น บางที่ก็อาจจะเขียนว่าให้ส่ง CV แต่บางที่เขียนว่าให้ส่ง RESUME ซึ่งมิ้นมั่นใจว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามันต่างกันอย่างไร” สำหรับนักศึกษาจบใหม่ไม่มีประสบการณ์การทำงาน ไม่ต้องไปเครียดไม่มีประสบการณ์การฝึกงาน พาร์ตไทม์ ไม่ต้องไปเครียดเลย กิจกรรมที่เราทำในมหาวิทยาลัยใส่ได้ การอบรมที่คณะของเราเคยให้เราเข้าไปอบรมต่าง ๆ ใส่ได้ “ต้องพูดแบบนี้ค่ะสมมุติว่าไปสมัครงาน ในตำแหน่งที่จะต้องทำงานเป็นทีมเวิร์ก การที่คุณมีกิจกรรม HR มองออกค่ะว่าคุณทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ คุณเข้าสังคมได้ เขาไม่ได้มองแค่ว่าคุณจะต้องมีประสบการณ์การทำงานเยอะแค่ไหน หรือมีหรือไม่มี แต่แค่ไอ้สิ่งที่คุณใส่มาเขาจะรู้เลยว่า คุณผ่านการคิดไหมที่ใส่มาแค่นั้นเลย” เพราะฉะนั้นมิ้นกล้าพูดเลยและกล้าให้ไปดูรีวิวที่เพจเลยว่า ต่อให้น้องบางคนที่เขามาเขียนเลยว่า “หนูไม่มีประสบการณ์การทำงานเลย แต่หนูได้ทำงานในที่ที่ดี” เพราะแบบนี้ เราใส่อย่างอื่นเข้าไปแทนได้มันดีกว่า เลือกโกหก เพราะฉะนั้นใส่ในสิ่งที่จะดีขึ้นไปเลยดีกว่า


มิ้นแนะนำแบบนี้ เดี๋ยวนี้หลาย ๆ องค์กรเปิดรับมากขึ้น มองภาพกว้าง ๆ มากขึ้นแล้วก็เห็น มีตำแหน่งใหม่ ๆ แปลก ๆ เยอะขึ้นกว่าสมัยก่อนเยอะมากเลยในยุค Gen นี้ เพราะฉะนั้นไม่มีประสบการณ์การทำงานไม่ต้องซีเรียส แต่ให้เรารู้จักเก็บเกี่ยวอย่างอื่นนอกจากการเรียนเอาไว้ให้เยอะ การอบรมหรืออย่างบางคนถ้ากู้เรียนก็ต้องมี กยศ./กรอ. ซึ่งทุกคนต้องทำกิจกรรม กิจกรรมพวกนั้นใช้ได้หมดเลย ในปัจจุบันที่มิ้นเห็นว่าเป็นปัญหานะคะ คนยุคใหม่แล้วเปลี่ยนงานบ่อย ซึ่งอันนี้มิ้นจะพูดแบบไม่โกหกว่าบางองค์กร เขาซีเรียสเรื่องคนเปลี่ยนงานบ่อย ทำ 1-2 ปีเปลี่ยนที่ถามว่า มีองค์กรที่ซีเรียสมีไหม? มี กับบางองค์กรไม่ได้ซีเรียสไม่ได้คิดว่า คุณทำงานไม่ทน แต่เขาคิดว่าคุณเปลี่ยนที่เพื่ออัพเงินเดือนไปเรื่อย ๆ ผิดไหม? ไม่ผิด “แต่สำหรับมิ้นนะคะก็คือในระยะเวลาจะสั้นจะมากจะน้อยไม่เป็นไร แต่ถ้าการเปลี่ยนงานแล้วเปลี่ยนไปในตำแหน่งเดิมแต่แค่เปลี่ยนบริษัท เขาก็จะมองว่าเราทำงานไม่ทน แต่ถ้าเราเปลี่ยนงานบ่อยแต่เป็นการเปลี่ยนอัพตำแหน่ง ไม่ต้องไปซีเรียสเลย เขาจะมองว่าเราโตขึ้นมันต่างที่ตรงนั้น และถ้าอยากจะกระโดดเปลี่ยนสายงานเลย อย่างเช่นทำตรงนี้เรารู้แล้วว่ามันตันแล้ว มันจบที่ตรงนี้แล้ว เราอยา กกระโดดไปสายงานอื่น ระหว่างนี้ให้เตรียมตัวโดยการเข้าอบรมอะไรก็ได้ที่มันจะไปเกี่ยวข้องกับงานตัวใหม่ที่เราจะสมัคร” ก็ให้เรา Add อย่างอื่นเข้าไปเลยเพิ่มอย่างอื่นเข้าไป เราเคยไปอบรมแบบนี้ ในลักษณะคล้ายตัวงานที่เรากำลังจะไปเรามีความสนใจในเรื่องนี้ เรามีความรู้ในเรื่องนี้ ปัจจุบันนี้จะมีแบบนี้ด้วยคือ การศึกษาผ่านออนไลน์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ แล้วได้รับเกียรติบัตรสบายมากฟรีด้วยทุกวันนี้เคลมได้เลย เอาไฟล์ PDF ออนไลน์นั้นแนบส่งพร้อมเรซูเม่เราได้เลย ฉันไม่มีประสบการณ์ด้านนี้จริงแต่ฉันไปผ่านการอบรมศึกษา และทำให้เขารู้สึกว่าเขาสนใจจะย้ายมาตรงนี้จริง ๆ มันก็ทำให้ในที่สุดเราก็ได้รับการพิจารณา มิ้นมองว่านี่แหละที่มิ้นบอกว่า เรซูเม่มันทำแล้วไม่รู้จบ


RESUME และ CV แตกต่างกันอย่างไร และใช้สำหรับอะไรบ้าง?
เรซูเม่ เป็นเอกสารสมัครงานทั่วไป ไม่ได้เฉพาะเจาะจงมากนัก อาจจะเป็นงานบริการทั่วไปหรือไม่ได้เป็นงานที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะ แต่ CV (เป็นคำภาษาลาตินย่อมาจาก Curriculum Vitae หรือแปลว่าประวัติชีวิต) จะเป็นงานที่ใช้ความรู้เฉพาะมาก ๆ เช่น พยาบาล คุณหมอ คุณครู ในสายวิชาการในรูปแบบต่าง ๆ อาจารย์ ด็อกเตอร์ ต่าง ๆ อันนี้ต้องใช้ CV ถามว่าใช้ซีวีทำไมอย่างคนที่เป็นสายวิชาที่มันเฉพาะมาก ๆ จริง ๆ สมมุติคุณครู เขาก็อาจจะเคยมีการตีพิมพ์หนังสือ เคยทำวิจัย ฯลฯ พวกนั้นสามารถลงมาเป็นผลงานของเขาได้ทั้งหมด “แต่อย่างเรซูเม่ทั่วไป คือ การสมัครงานทั่วไปเลยไม่ต้องไปลงรายละเอียดอะไรลึกมากนัก แล้วยิ่งถ้าเป็นการสมัครงานในสายงานเดิมเคยทำการตลาด แค่ย้ายบริษัทก็สมัครการตลาดเหมือนกันเรซูเม่ได้เลยค่ะ แต่ถ้า CV จะใช้อีกกรณีหนึ่งก็คือ เรากระโดดสายงานที่ผ่านมาสมมุติเราทำการตลาดมาตลอดเลย แต่ไม่เอาแล้วเราอยากจะเปลี่ยนไปทำทางบริหารบ้าง อันนี้ต้องทำ CV เพราะหัวข้อในเรซูเม่จะใช้แค่ประสบการณ์การทำงาน ประวัติการศึกษา คุณสมบัติ/ทักษะเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ถ้า CV เราจะต้องลงหัวข้อที่เพิ่มเติมกว่านั้น เช่น การอบรม ราอาจจะไม่เคยทำงานด้านนั้นเลยแต่เราเคยไปอบรมอะไรก็ตามแต่ ที่มันไปเกี่ยวข้องกับงานตัวใหม่ที่เรากำลังจะกระโดดไป อย่างเงี้ยค่ะเอามาใส่ได้ กิจกรรมผลงาน กิจกรรมอาสาต่าง ๆ ที่ทำให้องค์กรเขามองเห็นว่า ถึงคุณไม่เคยทำงานด้านนี้คุณเคยไปร่วมกิจกรรมแบบนี้มา คุณเคยไปอบรมแบบนี้มา แปลว่าคุณมีความรู้ด้านนี้เหมือนกัน ถ้าอย่างนี้ในกรณีนี้ใช้ CV”




CV จะลึกกว่าเรซูเม่อย่างหนึ่งคือ เรซูเม่สมัครงานเท่านั้น แต่ CV ขอทุนได้ใช้ในการขอทุนไปเรียนต่อต่างประเทศได้ ใช้ในการไปยื่นขอโปรเจคท์มาทำ อะไรแบบนี้จะใช้ CV หมดเลยเพราะซีวีต้องให้ข้อมูลที่ละเอียด อย่างน้อย ๆ ต้องทำไม่ต่ำกว่า 2 หน้า ต้องละเอียดมาก ๆ และรูปแบบจะเป็นทางการ อย่าง CV ไม่จำเป็นต้องใส่รูปภาพก็ได้

อีกเรื่องหนึ่ง นอกจากการยื่นเรซูเม่แล้วก็คือ เราต้องส่งเป็นอีเมลด้วย คนก็เขียนอีเมลกันไม่ถูก เยอะมาก บางคนเขียนหัวอีเมล “สวัสดีค่ะต้องการสมัครงาน” เขาไม่เปิดตั้งแต่แรกเลย จริง ๆ มันจะมีตัวหนึ่งที่เขาเรียกว่า Cover letter ก็คือการเขียนจดหมายแนบไปก่อนที่จะส่งเรซูเม่ แต่บางคนไม่ทราบก็มีคิดว่า cover letter กับ CV คือตัวเดียวกัน จริง ๆ ไม่ใช่ การเขียนจดหมายสมัครงานก็สำคัญซึ่งทางเพจเองก็ดูแลครอบคลุมไปถึงตรงนั้นให้ด้วย มันจะสร้างความน่าเชื่อถือให้เราขึ้นไปอีกว่า คุณเขียนจดหมายสมัครงานแบบเป็นทางการได้ แสดงว่าคุณใช้อีเมลเป็น


ภาษาไทย Vs ภาษาอังกฤษ และ “ภาพถ่าย” มี/ไม่มีจำเป็นหรือไม่?
มิ้นเคยเจอปัญหาแบบนี้เหมือนกัน น้อง ๆ ที่เพจเคยให้มิ้นอยากทำคลิปเรื่องนี้ออกมาเลย“คือสำหรับบางคนเขามองว่า “รูปถ่าย” สมัครงานจำเป็นต้องเคร่งขรึม หน้าตรง ห้ามยิ้ม เหมือนถ่ายบัตรประชาชน แต่จริง ๆ ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ มันเป็นความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา จริง ๆ ในบางสายงานเรายิ้มได้ค่ะ อย่างถ้าบางคนไปสมัครงานทางด้านพีอาร์การตลาด รูปสามารถใช้แบบอินฟลูเอนเซอร์/tiktoker ได้เลยค่ะ มันอยู่ที่สายงานด้วย แต่แค่ว่าเบสิกถ้าเบสิกเลยก็คือโอเครูปถ่ายสมัครงานปกติ” อย่างบางบริษัท ยิ่งเป็นองค์กรต่างชาติเขาไม่ซีเรียสเลยรูปถ่าย ยิ้มได้เลย เสื้อผ้าสีสันสดใสได้เลยไม่มีปัญหา แต่แค่เหมือนกับการที่เราแนะนำกันเราจะแนะนำอะไรที่อยู่ใน safe zone ก็คือโอเคใส่สูทดำ หน้าตรงไว้ดีกว่า พื้นหลังสีฟ้า ถ้าใครไปเห็นในอีกพาร์ตหนึ่งหรือเคยคิดจะสมัครงานในพาร์ตนั้นจะเห็นว่า อย่างพี่ ๆ แอร์โฮสเตสรูปถ่ายเขายิ้ม ปากแดงเลยสวย เต็มตัว ผมปัง หน้าปัง จริง ๆ มันแล้วแต่สายงานไม่ได้จำกัดแบบนั้น ไม่ได้ว่าคนไทยเราถึงเป็นแบบนี้ มาตรฐานเหมือนกัน อย่างบางบริษัทเพื่อนมิ้นเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนานาชาติ เวลามีการปรับตำแหน่งก็ไม่ใช้รูปถ่าย แค่ทำตัวข้อมูลของเราไปส่งไปตามปกติก็ไม่ต้องใช้เหมือนกัน “แต่สำหรับมิ้นนะคะจากการอบรมที่เคยผ่านมาที่เคยเห็น มิ้นมองว่าการใช้รูปถ่ายมันดีค่ะ มีรูปถ่ายดีกว่าไม่มี ไม่เกี่ยวกับการดูรูปลักษณ์ภายนอกก่อน หน้าตาก่อนสวยไม่สวย หล่อไม่หล่อ ถึงจะเลือกสมัครงานไม่ใช่นะคะ มิ้นเคยได้คุยกับผู้บริหารท่านหนึ่งในองค์กร ๆ หนึ่งเขาพูดกับมิ้นว่า ที่อยากเห็นรูปก่อนไม่เกี่ยวกับสวยไม่สวย ไม่เกี่ยวกับหล่อหรือไม่หล่อ แต่รูปเนี่ยที่จะบอกได้ว่าเขาน่ะรู้จักกฎเกณฑ์รู้จักกฎระเบียบ”


อีกอย่างหนึ่งเรซูเม่ “ภาษาไทย” มิ้นเคยโดนแบบนี้ มิ้นเปิดรับทำเรซูเม่ภาษาไทยแล้วมีคนมาพิมพ์คอมเมนต์ว่า “ไม่มีใครเขามาทำหรอก ใคร ๆ เขาก็ทำกันได้ เขารู้ภาษาไทยกันหมดทั่วประเทศ” จริงทุกคนรู้ภาษาไทยกันทั่วประเทศมิ้นเชื่ออย่างนั้น เพราะเป็นภาษาเกิดเรา ทำได้ กับ ทำถูก ไม่เหมือนกัน!“อันดับแรกเลยนะคะ ภาษาพูดกับภาษาเขียน ไม่เหมือนกัน อันดับต่อมาคือภาษาไทยคำต่าง ๆ มันมีการอัปเดตวิธีการเขียนที่เปลี่ยนตลอด แต่คนไทยเราส่วนใหญ่ไม่รู้ แต่อย่างคนทำเอกสารแบบพวกมิ้นเราต้องอัปเดตตลอด คำนี้ไม่ได้เขียนแบบนี้แล้วนะ คำนี้ทับศัพท์แบบนี้แล้วนะ อันนี้คือการที่มันต้องเปลี่ยน”


การสมัครงานสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องอ่านประกาศเขาให้แน่ชัดที่สุด ว่าเขาต้องการอะไรบ้าง เพราะองค์กรเขาต้องเขียนมาเขาต้องการอะไรบ้าง คุณสมบัติที่ต้องมีคืออะไรบ้าง เอาประกาศนั้นเป็นหลักแล้วค่อยมาเขียนเรซูเม่ อีกอย่างหนึ่งคนชอบถามมิ้นว่า ถ้าหนูจะมีเรซูเม่สักใบหนูควรมีไทย/หรืออังกฤษดี? และถ้ามิ้นไปตอบว่าควรมีทั้งสองอย่าง หาว่าฮาร์ดเซลล์อีกบังคับทำ 2 ภาษาไหม? จริง ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าไม่ต้องการทำ 2 ภาษาแนะนำว่า ถ้าคุณอ่านประกาศรับสมัครงานแล้วเขาเขียนว่า ต้องการคนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ คุณยื่นเรซูเม่ภาษาอังกฤษเลย HR อ่านได้แน่นอน แต่ถ้าเป็นประกาศรับสมัครงานและเขาไม่ได้มีการ notice ไม่ได้มีการดอกจันไว้ว่าอยากได้คนที่ได้ภาษาอังกฤษ ส่งเรซูเม่ไทยเลยแค่นั้น “อย่างของภาษาอังกฤษมีบางคนบอกว่า โอ้ยเดี๋ยวนี้กูเกิ้ลทรานสเลทเขาฉลาดแล้ว ไปแปลเอาตรงนั้นก็ได้ไม่ต้องมาจ้างทำ มิ้นจะอธิบายอย่างนี้ว่า แปลได้ กับ แปลถูก ก็ไม่เหมือนกันอีก! อย่างการทำงานของเราก็ต้องมีการทำงานปัจจุบันที่เราทำอยู่ และการทำงานอดีต เรื่องของไวยากรณ์ก็ไม่เหมือนกัน ไวยากรณ์ในการเขียนก็ไม่เหมือนกัน การเขียนภาษาอังกฤษต้องมีการตัดคำมันจะต้องไม่ full sentence จะไม่ได้ขึ้นด้วยI (ไอ) มันต้องขึ้นด้วยกริยา(verb) ตัวนั้นว่าคุณทำอะไรบ้าง verb ตัวนั้นในงานอดีตก็ต้องมาเปลี่ยนไวยากรณ์อีก เพราะฉะนั้นอันนี้ถ้าใครรู้แล้วทำได้ ทำเองได้เลย แต่ถ้าใครไม่รู้มิ้นแนะนำว่าอันนี้มันต้องใช้การเรียนรู้ เราต้องรู้ในเรื่องของหลักภาษามาระดับหนึ่ง ถ้าไม่มั่นใจจ้างทำดีกว่า"

แล้วก็จะมีหลาย ๆ คนพูดว่า ถ้าจ้างทำ องค์กรเขารู้ เขาจะไม่รับคุณ! ช่วงที่มิ้นทำเพจ 2 ปีแรก แล้วจริง ๆ มันมีปัญหาเรื่องการจ้างทำไหม? เอาเท่าที่มิ้นเคยถามคนที่เป็นเจ้าขององค์กรหลาย ๆ องค์กรหลาย ๆ บริษัท เขาไม่มีปัญหาเรื่องจ้างทำ เขามีปัญหาเรื่องโกหก! ถ้าข้อมูลในนั้นจริงทั้งหมดไม่มีปัญหา แต่อย่างสมมุติทักษะภาษา(ทักษะภาษาอังกฤษ) สมมุติไปใส่ว่า fluent เลย สุดยอด! แต่ว่าพอเขาสัมภาษณ์พูดไม่ได้! เขามีปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้มีปัญหาเรื่องจ้างทำ ปัญหาอยู่ที่ข้อมูลต่อให้ไปจ้างทำ ให้ส่งข้อมูลที่เป็นจริงจะดีที่สุด


การันตีทำได้ทุกสาขาอาชีพ(ตำแหน่งงาน) แม้แต่งานที่ไม่น่าเชื่อว่าต้องใช้ “เรซูเม่”!!!
อย่างบางท่านก็จะมีความเข้าใจผิด อันนี้ค่อนข้างเยอะเลยจากที่มิ้นเจอ คือ ตำแหน่งงานที่สนใจ ที่จะลงในเรซูเม่ มีบางท่านส่งให้มิ้นสนใจ 10 ตำแหน่งลงในเรซูเม่แผ่นเดียว! “มิ้นก็จะมีน้องแอดมินใช่ไหมคะ เขาก็จะแจ้งว่าทำไม่ได้เขาเลยบอก โอ้ยเขาไม่ต้องการมาทำบ่อย คือตรงตำแหน่งงานมัน relate กันหมด นี่คือความเข้าใจผิดค่ะ การที่ทำแบบนี้ต่อให้ตำแหน่งงาน relate กันหมดเลยนะคะอย่างเช่น หนูสนใจการตลาด โฆษณา ดูรีเลทกันหมดเลยไปในสายงานทางนี้หมดเลย แต่การลง 10 ตำแหน่งแค่นั้น HR เห็นเขาโยนเลยค่ะคุณหว่าน!”1 แผ่น1 ตำแหน่งเท่านั้น มันจะทำให้ HR เขามองแล้วเขารู้ว่า คุณตั้งใจมาสมัครตำแหน่งนี้จริง ๆ เรซูเม่เราต้องอะแด๊ปปรับเปลี่ยนให้มันเข้ากับตำแหน่งที่เราสมัครอยู่เสมอ

5 อาชีพ(แปลก) ที่ไม่คิดว่าจะมาทำเรซูเม่ อันดับแรก ก็คือ สัปเหร่อ ตอนที่เขาทักมาตอนแรกมิ้นคิดว่าโจ๊ก เราก็คิดว่าเขาฟังเราจากเรื่องเล่าฯ แล้วเขามาแกล้งเราหรือเปล่าแต่ความเป็นจริงคือ ทำจริง ๆ มีการใส่ Soft skill ที่เกี่ยวกับว่ารู้พิธีในการทำเกี่ยวกับผู้วายชนม์เป็นอย่างดี อันดับสอง คือ ตำรวจ ในการปรับตำแหน่งตำรวจก็มีที่มาทำ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้มาเองอาจจะเป็นเลขาฯ เป็นผู้ช่วยที่เข้ามาทำ เป็นระดับผู้บริหารเลยก็คือเป็นระดับสูงของตำรวจ อันดับสาม คือ Guard ที่ดูแลนักแสดง อยู่ตามคอนเสิร์ตต่าง ๆ คอนเสิร์ตของเกาหลี คอนเสิร์ตของนักร้องชาวต่างชาติต่าง ๆ ก็มีมาทำ อันดับสี่ คือ พนักงานขับรถ อาจจะเป็นรับขับรถให้กับผู้บริหาร และอันดับห้า อาชีพที่มิ้นอยู่ในนี้ด้วยตอนนี้เลยก็คือ นักเล่า, ดีเจ ก็มีมาทำด้วยทำเพื่อเก็บโปรไฟล์ของตัวเองว่า เคยเล่าเรื่องไหนอย่างตอนนี้ถ้ารายการเดอะโกสท์ฯ ก็จะมีว่านักเล่ากี่ล้านวิว อย่างนี้เป็นต้น“อย่างพอเข้ามาในวงการผีค่ะ ตอนนี้ก็มีคนให้ทำ “เรซูเม่คนตาย” ถ้าเป็นงานศพเขาก็จะมีการที่จะต้องมาอ่านคำไว้อาลัย มีการแต่งกลอนให้หรือ พูดความดี พูดสิ่งที่ผู้วายชนม์ผ่านมาครอบครัวเขาเป็นอย่างไร พอมิ้นเข้ามาในวงการผีค่ะมันทำให้มิ้นรู้ว่า ตรงนี้เป็นปัญหากับผู้สูญเสียมากเลย เขาสูญเสียคิดไม่ออกจะไปยืนพูดอะไรหน้าโพเดียมให้กับคุณพ่อเขาที่เสีย คุณแม่เขาที่เสีย คนกำเนิดความคิดนี้จริง ๆ คือ “ครูตรีมีเรื่องเล่า” ค่ะเขาเป็นคนแนะนำมิ้นว่า เรซูเม่ไว้สมัครงานทำให้คนเป็นใช่ไหม ผมว่าอันนี้เรซูเม่คนตายนะ เพราะมันบอกเล่าประวัติของผู้เสียชีวิต อันนี้เป็นสิ่งที่มิ้นเปิดเผยที่ MGR Online เป็นที่แรกนะคะว่าเป็นแผนที่จะทำ”


ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวแต่! “เรซูเม่” ยังชี้อนาคตเราในข้างหน้าได้อีก
เจ้าของเพจ “RESUME-BY-MINT” ยังบอกด้วย มิ้นอยากให้เข้าใจแบบนี้ว่าถ้าอยากมาทำกับทางเพจ เวลาที่น้องแอดมินเขาแนะนำอะไรมิ้นมั่นใจว่าเราแนะนำกันอย่างสุภาพ ไม่มีพูดจาไม่ดีกับลูกค้าแน่นอน อยากให้เชื่อ ไม่ได้เป็นเพราะว่าไม่ทำตามกฎไม่ทำให้นะ! แต่เป็นเพราะเราอยากให้ทุกคนได้งานจริง ๆ แล้วเรามองแล้วว่ามันเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียง เงินแค่ 100 บาท จริง ๆ ทั้งมิ้นและก็น้องแอดมินเราจะแค่แบบทำตามใจลูกค้าแล้วก็รับตังค์ก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ที่เราถึงทำ “เรซูเม่” ในราคา 100 บาท 100 บาทตรงนี้เราทำเพราะว่า เราอยากให้ทุกคนเข้าถึงเรซูเม่ได้ทุกอาชีพ อาจจะเป็นเหตุผลนี้มั้งคะทำให้มันมีอาชีพแปลก ๆ เข้ามาทำที่มิ้นด้วย(หัวเราะ) และเราอยากให้คุณได้งาน” ยอมรับว่าช่วงนี้อาจจะคิวเยอะ อาจจะรอนานนิดหนึ่ง ที่นานเป็นเพราะว่าทุกแผ่นมิ้นเช็กเอง ขอให้เข้าใจเรื่องคิวเพราะมิ้นจะมีโดนว่าเหมือนกัน คือน้องแอดมินรับข้อมูลทำข้อมูลส่งมาให้มิ้น ลงแบบฟอร์มอะไรมาเรียบร้อย แต่ถ้ามิ้นไม่ได้เป็นคนสกรีนมิ้นจะไม่มีการส่งงานออก เพราะฉะนั้นถ้ามันไม่มีคิวหมายความว่าตัวมิ้นอาจจะไม่ว่างมิ้นเลยตัดสินใจที่จะไม่รับคิว เพราะว่ามิ้นอยากดูงานให้ทุกคนทุกแผ่นจริง ๆ ไม่อยากให้พลาด



มันไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียว เราก็ต้องเข้าใจคนเราทุกคนเรามีความเชื่อมั่นในตัวเองได้ แต่เราก็ต้องเข้าใจองค์กรด้วยว่าเขาต้องคัดคนเยอะ เขาไม่รู้จักเรามาก่อนไอ้กระดาษแผ่นเดียวนี้แหละที่มันจะชี้ชีวิตเราเลย ถ้าเรายื่นไปปุ๊บเราได้ทำงานที่นี่ แล้วมันเป็นงานที่เราทำแล้วเกิดความมั่นคงต่อชีวิตเรา ต่อครอบครัวเรา และเราได้อยู่ในองค์กรนี้มันคือตัวชี้ชะตาเรา มันไม่ใช่กระดาษแผ่นเดียว มิ้นอยากให้ทุกคนให้ความสำคัญกับเรซูเม่ถามว่าศึกษาเองได้ไหม มิ้นไม่โกหกเลยศึกษาเองได้เกี่ยวกับวิธีการทำ ใคร ๆ ก็ศึกษาได้ แต่ถ้ามองว่าไม่ได้คุ้มกับเวลาที่เสียไปมีเวลาต้องไปทำอย่างอื่นมากกว่า ให้คนที่เขารู้ทำให้ มันชี้ชะตาเราได้จริง ๆ มิ้นเจอคนหลาย ๆ คนตั้งแต่ในช่วงโควิดฯ เลยที่เขาตกงานมาทำเรซูเม่แล้วเขาได้งาน แล้วตอนนี้ชีวิตเขาโอเค มีพี่ท่านหนึ่งไปทำงานต่างประเทศให้มิ้นทำ CV ให้แล้วเขาได้ไป เขาสบายทุกวันนี้มิ้นกินขนมทุกปีนะ ส่งมาให้ทุกปีเพราะว่าเขาคิดว่าเพราะไอ้กระดาษที่ใครหลาย ๆ คนพูดว่า กระดาษแผ่นเดียว ทำให้ชีวิตเขากลับมาทำงานได้ คือหลาย ๆ คนบางคนเขาออกไปทำธุรกิจส่วนตัวจนอยู่ตัวแล้ว ไม่มีใครรู้ว่ามันจะมาโดนโควิดฯ ไม่มีใครรู้ว่าธุรกิจมันจะล้ม เราต้องกลับมาทำงาน มันพลิกผันชีวิตเขา “มิ้นถึงบอกว่าอย่าไปตั้ง Mindset ว่ามันเป็นกระดาษแผ่นเดียวใคร ๆ ก็ทำได้ ไม่เห็นยากเลย ดูคนอื่นมาก็ทำได้เหมือนกัน มิ้นว่าทุกอย่างมันมีหลักการมีกฎมีเกณฑ์มีวิธีการที่เราไม่รู้ ถ้าเราไม่ศึกษา แต่ถ้าศึกษาแล้วอยากทำเองได้ค่ะ แต่ถ้าไม่ได้มาไว้ใจมิ้นทำ เพราะมิ้นกล้าพูดเลยว่ามิ้นจะทำให้เต็มที่อย่างที่สุด และเราก็จะอยู่ support กันจนกว่าทุกคนจะได้งานค่ะ”

ขอบคุณ “มิ้นเรซูเม่” และอีกฉายาในอาชีพนักเล่าฯ “มิ้นแม่แฟน” ที่มาร่วมแชร์เรื่องราวดี ๆ สำหรับคนที่กำลังหางานทำได้ทริคดี ๆ เพื่อการพิชิตความสำเร็จในเรื่องของอาชีพการงานต่อไป เพราะ “เรซูเม่” ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียว แต่ยังสามารถชี้อนาคตเราในข้างหน้าได้อีก ขอบคุณ “ครูตรีมีเรื่องเล่า” ที่กรุณาต้อนรับด้วยการเปิด “คาเฟ่ผีติดวัด” แบบ Special พิเศษในวันหยุดร้านสำหรับพลพรรคแนวร่วมฟัง “เรซูเม่บายมิ้น” เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจดี ๆ ในครั้งนี้ต่อไป

สามารถติดตามผลงานได้ที่เพจ : RESUME-BY-MINT


กำลังโหลดความคิดเห็น