xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) วุ้นเปลี่ยนชีวิต “พุงพลุ้ยวุ้นถาดอารมณ์ดี” แบ่งปันอาชีพกึ่งแฟรนไชส์ขายดี กำไรเกิน 50% ต่อถาด!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เราแนะนำลูกค้าว่าประมาณ 12-16 ถาด เพราะว่ามันจะได้เป็นเรทราคาส่ง ถ้า 10 ถาดขึ้นไปอยู่ที่ 260 บาท เราขายชิ้นละ 10 บาท 1 ถาดจะมี 54 ชิ้น ลูกค้าได้ 540 บาท กำไรเกินครึ่งอยู่แล้วครับ ส่วนใหญ่แต่ละวันก็จะมียอดที่ลูกค้าสั่งเพิ่มเข้ามา ๆ เรื่อย ๆ ครับ



แต่ถามว่าแมกซิมั่มของเราแต่ละวันก็คือ ได้ประมาณ 400-500 ถาด ช่วงวันธรรมดา แต่ถ้าเสาร์-อาทิตย์เรามีรอบการทำเช้า-เย็น มันก็จะได้เท่ากับ 2 เท่า ก็อยู่ที่ว่าถ้าเราไม่ได้ลงงานทำส่งลูกค้าอย่างเดียว ก็อยู่ประมาณ 800-900 แต่ถ้าลงงานด้วยมันก็ต้องลดยอดตรงนั้นไป” อยากสร้างตัวตนของเราขึ้นมาว่า “พุงพลุ้ย” พอกินโอ๊ยพุงพลุ้ยอ๋ออร่อยเคยกินที่ลัดมะยม ลูกค้าจะบอกว่าพอพูดถึงพุงพลุ้ยปุ๊บ(เคยออกรายการฯ) ที่ตลาดน้ำคลองลัดมะยมไปเลยยังไงก็เจอ ยังไงก็มีหลากหลายให้เลือก “คุณบิ๊ก” ฐาเกียรติ ศรีรุ่งนภาพร เจ้าของแบรนด์ “พุงพลุ้ยวุ้นถาดอารมณ์ดี” วุ้นกะทิแท้ ๆ ที่มีหน้าให้เลือกหลากหลายแบบแฟนซีซึ่งกำลังเป็นกระแสอยู่ตอนนี้ บอกเล่าถึงความน่าสนใจของธุรกิจกึ่งแฟรนไชส์ที่เขาคนนี้เป็นผู้ริเริ่มค้นคิดและพัฒนาสูตรในการทำขึ้นมา และพร้อมแบ่งปันอาชีพให้กับคนที่สนใจภายหลังจากตัวเขาเองที่ต้องบอกว่า “วุ้น” เปลี่ยนชีวิต ได้จริง ๆ จากวุ้นที่ใคร ๆ ก็คิดว่ามันธรรมดา ๆ แต่ทว่ามันไม่ธรรมดา!


เรื่องวุ่น ๆ ในการขายดี “วุ้น” เปลี่ยนชีวิต
คุณบิ๊ก เล่าให้ฟังว่า เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์น้ำมาก่อน จับพลัดจับผลูตอนปี 2554 มันเกิดวิกฤติก็คือ น้ำท่วม ก็เลยต้องหันเหมาทำเกี่ยวกับธุรกิจพวกอาหาร แรกเริ่มก็คือจะเป็นพวกของคาวมองไปที่เรื่องของคาวเพราะยังไงคนกินพวกของคาวรับมาขาย
อะไรที่ดัง ๆ กุยช่ายเจ้าดัง ขนมอะไรต่าง ๆ เราก็เลยรับตรงนั้นมาขาย แต่พอขายดี เขาไม่มีส่งอย่างช่วงหน้าสารทจีนช่วงหน้าไหว้ ถ้าเราไม่ใช่เจ้าใหญ่ ๆ เขาก็จะแบบไม่ได้กัน เราก็เข้าไม่ถึงในแหล่งที่ผลิต เราก็จะไม่มีสินค้าตัวนั้นออกมาขายยิ่งถ้าเป็นร้านดัง ๆ คือเราหมดสิทธิ์เลย เราก็เลยต้องมองว่า เราต้องการที่จะผลิตอะไรขึ้นมาขายเองแล้ว ไม่อยากง้อใครแล้ว อยากทำอะไรเป็นของตัวเองเต็มตัวเต็มที่ไปเลย


“ชอบกิน “วุ้น” ชอบมากครับก็เลยแบบว่า ก็ไม่เห็นน่าจะยากอะไรในความคิดของเรา มันก็ไม่น่าจะยากเราก็ทำ ลองผิดลองถูกเท่าไรก็ทำไม่ได้ ไม่เหมือน เจ้าที่อร่อยไม่เหมือนสักที ก็เลยหาคอร์สเรียนพอเรียนไปปุ๊บ มันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จไปทุกอย่าง สวย แต่รสชาติยังไม่ผ่าน ทุกคนบอกสวย สวยมากซื้อไป ซื้อไปได้แต่ถ้ากินปุ๊บก็เฉย ๆ ธรรมดา ๆ เราเจอคำนี้ปุ๊บมันเป็นภาพลบกับเราแล้ว ไอ้คำว่าเฉย ๆ ธรรมดาเรายังทำให้ว่า เขากินวุ้นเราแล้วมันว้าว! กินแล้วปุ๊บให้นึกถึงเรา ถ้ายังไงให้คนรู้จักว่า อยากสร้างตัวตนของเราขึ้นมาว่า “พุงพลุ้ย” พอกินโอ๊ยพุงพลุ้ยอ๋ออร่อยเคยกินที่ลัดมะยม ลูกค้าจะบอกว่าพอพูดถึงพุงพลุ้ยปุ๊บ(เคยออกรายการฯ) ที่ตลาดน้ำคลองลัดมะยมไปเลยยังไงก็เจอ ยังไงก็มีหลากหลายให้เลือก ก็กลายเป็นว่าจุดรวมของเราคือจะอยู่ที่โน่น”


เลือกชิมได้หลากหลายมีมากกว่า 400 หน้า ดูว่าง่ายแต่ว่า “ยาก” กว่าจะถึงวันนี้ได้
เรื่องสีสันเรื่องความสวยทุกคนทำได้ แต่ทีนี้เรื่องรสชาติเรื่องของคุณภาพเรื่องของทำยังไงให้วุ้นมันคงรูปไม่ให้มันละลาย ไม่ให้มันคืนตัว ก็คือต้องใช้ประสบการณ์และก็การลองผิดลองถูกแต่ละอย่าง เพราะว่าแต่ละหน้าของเรารสชาติและส่วนประกอบก็จะไม่เหมือนกัน“เพราะบางตัวจะเป็นตัวของน้ำมาก ตัวของผลไม้ที่มันจะใส่ลงไปในวุ้นจะมากอย่างเงี้ย ลักษณะของการใส่วุ้นก็จะไม่เหมือนกัน แต่ละหน้าก็จะไม่เหมือนกัน” เริ่มต้นที่ขายก็จะเป็นพวกหน้าพื้นฐานธรรมดาตามรถเข็นขายทั่วไป หน้ากะทิใบเตย ฝอยทอง อะไรพวกนี้หน้าคร่าว ๆ พวกขนมไทยต่าง ๆ หลัง ๆ มาก็เริ่มมาประยุกต์เอา “ลูกชุบ” มาทำเป็นหน้าวุ้นเอาตัวทองหยอด ฝอยทอง ซาหริ่ม ลอดช่อง อย่างเค้กลอดช่องเราทำมาค่อนข้างนานแล้ว พอลูกค้าชิมปุ๊บเนี่ยอร่อยเหมือนกันเลยอย่าง ลอดช่องวัดเจษ เราก็เอามาทำเป็นวุ้นได้ หรือแม้กระทั่งผลไม้ต่าง ๆ กีวี สตรอเบอรี่ องุ่นไชมัสแคท หรือผลไม้ตามฤดูกาลต่าง ๆ เราก็นำมาประยุกต์ได้




ทุกครั้งที่มีการเพิ่มหน้าใหม่ สังเกตจากยอดขายถ้ายอดขายเริ่มคงที่(ไม่พีค) เราจะรู้แล้วว่า เราต้องทำหน้าเข้ามาเสริมให้กับลูกค้าใหม่ เราต้องแบบว่าหาหน้าใหม่ ๆ หน้าที่เป็นเหมือนว่าเราสร้างคอนเทนต์ขึ้นมา “แม้กระทั่งตัวเบเกอรีที่แบบตัวดัง ๆ พวกบานอฟฟีใครจะรู้ว่านำมาเป็นวุ้นได้ วุ้นบานอฟฟี วุ้นบลูเบอร์รี่ครีมชีสพาย วุ้นสตรอเบอรี่โยเกิร์ต อะไรพวกนี้ครับปกติจะเป็นเบเกอรีแต่พอเอามาทำเป็นวุ้นทำไมรสชาติเหมือนเบเกอรีเลย มันก็จะตอบโจทย์ลูกค้าว่าช่วงเทศกาลเขาจะซื้อฝากพวกของขวัญอะไรเงี้ยครับจะค่อนข้างเยอะ” แล้วก็ตัวที่แบบว่าดัง ๆ ที่ว่าคนรู้จักเราก็คือ วุ้นหม้อแกงเผือก ขนมหม้อแกงขนมไทยเรามาประยุกต์ทำเป็นวุ้น คือรสชาติคือหม้อแกงทุกอย่าง พอกินไปปุ๊บมันแตกต่างคือรสชาติเดียวกัน(ขนมหม้อแกง) แต่ตัวนี้มันคือวุ้นทานเย็น ๆ จะค่อนข้างอร่อยลูกค้าติด ปกติเราคิดว่าพวกหน้าขนมไทยจะขายดีเฉพาะกลุ่มวัยกลางคนหรือผู้สูงอายุ แต่จริง ๆ คือได้ทุกเพศทุกวัยแม้แต่เด็ก ๆ ชอบบอกว่าอร่อยจัง “ตอนนี้เรามีวุ้นทั้งหมด 400 หน้าครับ เปิดตัวทำขายครั้งแรก 12 หน้า ก็ค่อย ๆ เพิ่มค่อย ๆ ปรับค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมา ช่วงโควิดฯ เป็นช่วงที่แบบหยุดแต่ว่า เราก็ลองผิดลองถูก แล้วหลังจากโควิดฯ มาปุ๊บเราเปิดเต็มสตีมเลย เพราะว่าหน้าเราเพิ่มมามากขึ้น ๆ ลูกค้าที่มารับไปเขาจะบอกว่าสลับผลัดเปลี่ยนหน้าไปลูกค้าก็ไม่เบื่อ”


เคยเปิดแฟรนไชส์สอนสูตรให้ แต่สุดท้ายคุณภาพไม่ได้ต้องเปลี่ยน
แจ้งเกิดเลยคืองานตลาดน้ำเมืองทอง ปี 2560 เราลงงานตลาดน้ำพอลูกค้าเห็นปุ๊บเขาว้าว! เขาอยากรับไปขายอยากไปทำงานพวกงาน จัดเบรก จัดเลี้ยง งานกฐิน งานบวช ฯลฯ ลูกค้าจะเข้ามาช่วงนั้นเยอะ พอไปเริ่มสตาร์ทจากเมืองทองพวกทีมออร์แกไนซ์เห็นของแปลกดี ก็เชิญให้เราไปขายตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ แทบจะทุกสาขา “แฟรนไชส์จริง ๆ เราเปิดตัวมาตั้งแต่ก่อนโควิดฯ แล้วแต่ว่าช่วงนั้น เราให้ลูกค้าผลิตขึ้นมาเองแต่ว่าพอ “คุณภาพ” ของสินค้ามันอาจจะไม่เหมือนกับทางร้าน เพราะฟีดแบ็กจากลูกค้าที่เคยกินที่ต่างสาขา(ต่างจังหวัด) บอกว่ากินที่กรุงเทพฯ กินที่ร้านแม่อร่อย แต่พอต่างสาขาปุ๊บสีสันไม่เหมือน รสชาติไม่เหมือน เราก็ต้องกลับมาแก้การบ้านเราว่า ถ้าอย่างเงี้ยปุ๊บเข้าใจ เพราะบางทีคุณภาพของวัตถุดิบแต่ละท้องถิ่นอาจจะไม่เหมือนกัน แม้กระทั่งเราอาจจะบอกแฟรนไชส์ว่าเราใส่กะทิถาดนึงเราใส่ 1 ลิตร  2 ลิตรอย่างเงี้ย แต่พอเราก็ไม่สามารถควบคุมได้ว่าเขาจะใส่ตามนั้นหรือเปล่า เพราะบางทีลดกะทิก็เท่ากับลดต้นทุน แล้วรสชาติมันเพี้ยนครับ ลูกค้าก็เลยแบบตอบกลับมาว่ามันไม่หวานมัน ไม่ค่อยเข้มข้นเหมือนกับเรา เราก็เลยตัดเลยว่าตอนนี้ถ้าเป็นแฟรนไชส์จะเป็นรูปแบบว่า กึ่งแฟรนไชส์ คือเราผลิตให้กับลูกค้า แล้วลูกค้ามีหน้าที่รับไปขายอย่างเดียวก็คือการันตีอยู่แล้ว ก็คือกำไรเกิน 50% แล้วแต่เรทที่ลูกค้า” ถ้าเป็นเรทที่ลูกค้าซื้อแฟรนไชส์ต่อถาดลูกค้ากำไร 60% แน่นอน


ทุกชิ้นราคา10 บาท ต้นทุนสูงแต่ยังดี “คู่แข่ง” น้อย
การตลาดคู่แข่งค่อนข้างน้อย น้อยมากมันอาจจะเป็น ของเราคือฉีกกฎไปจากว่าความเป็น “วุ้น” ธรรมดาแต่ว่า เราใส่พวกผลไม้จริง เนื้อผลไม้ Texture ความเป็นขนม ต่าง ๆ เหล่านี้ลงไปในตัววุ้น มันก็คือเป็นรูปแบบที่แปลกใหม่ที่ลูกค้าอยากลอง “ลูกค้าก็คือตอบโจทย์ดีว่า ตอนแรกเราก็มองว่าถ้าลูกค้ารับเราไปเขาจะไปต่อได้ไหม เราสังเกตจากหลัง ๆ มานี้ลูกค้ายอดขายต่อเนื่องสั่งต่อเนื่อง เราจะรู้เลยว่าถ้าสินค้าเราดร็อปก็ต่อเมื่อลูกค้ารับไปแล้วหยุด รับแล้วหยุดยาว ๆ เราสังเกตแล้ว ช่วงโควิดฯ ปัญหานี้มีแน่นอนเรารู้เลยว่าเป็นอย่างนี้ปุ๊บ แต่พอหลังมาปุ๊บเขาเริ่มสั่งจากอาทิตย์นึงสั่ง 2 ครั้งเป็นสั่ง วันเว้นวัน หลัง ๆ มาเป็นทุกวัน” แสดงว่ามันพอไปได้ พอที่จะไปต่อได้


ต้นทุนวัตถุดิบค่อนข้างสูง สูงมาก ถามว่าบางคนลูกค้าเขาบอกว่า เขาเคยรับของเจ้าอื่นมาขายแต่พออยู่ ๆ ไปเขาถามว่า ทำไมของพี่เสียด้วยเหรอต้องแช่น้ำแข็งด้วยเหรอ เราบอกว่าพื้นฐานของกะทิต้องอยู่กับความเย็นถ้าไม่อยู่ความเย็นยังไงก็บูดก็เสีย เขาก็บอกว่าอ๋อใช่เพราะเขาเคยคิดว่าของเขาไปตั้งกลางแดดก็ไม่เสีย “ผมถามไปว่าอ้าวทำไมถึงไม่เสียครับรู้ไหม เพราะว่่าบางทีมันอาจจะเป็นแค่สีและกลิ่นของกะทิเพราะตอนนี้มีวุ้นที่เราใส่แค่ สีขาวลงไปแล้วใส่ กลิ่นน้ำมะพร้าว/กลิ่นของกะทิ แต่ตัวนี้ลูกค้าทานแล้วจะรู้ว่าเป็นเนื้อกะทิล้วน ๆ เลย” ลูกค้าบางคนจะบอกว่าได้กำไรเหรอ เพราะว่าด้วยคุณภาพของวัตถุดิบ หนึ่งเราซื้อในปริมาณค่อนข้างเยอะแล้วเราก็สามารถใส่ลงไปได้ ขนาดพวกเซลล์ต่าง ๆ ยังบอกว่า พี่ทำไมพี่ไม่ใช้สีและกลิ่น เราบอกไม่! เรากินอย่างไรเราก็อยากขายอย่างนั้น

ต้นทุนรายละเอียดหลาย ๆ อย่างค่อนข้างหนัก ถามว่าทำไมหลาย ๆ คนทำแล้วหยุด เพราะว่าเนื่องด้วยของ “ตู้แช่” ตัวหนึ่ง 6-7 หมื่นบาท เรามีเป็น 10 ตัวเพื่อจะรองรับการแช่ ถามว่าถ้าคนหนึ่งลงทุนพาะตัวเดียว 6 หมื่น 7 หมื่น มันทำส่งได้ไม่เท่าไหร่ยังไม่ถึง 100 ถาด ถ้าทำหลักหลาย ๆ ร้อยถาดการลงทุนค่อนข้างหนัก


แบ่งปันอาชีพเผยเทคนิค “การขายดี” ฉบับพุงพลุ้ยวุ้นถาดอารมณ์ดี
ทุกคนจะบอกว่าถ้าอยู่ใกล้ไม่ทำแน่นอน ต้นทุนเขาสู้กับที่เราทำไม่ได้ เพราะเราสั่งวัตถุดิบจำนวนเยอะต้นทุนเราจะถูกกว่าเขา
แม้กระทั่งที่ว่าเขามารับเขายังถูกกว่าที่เขาทำเองเลย ไม่ต้องเหนื่อย ต้นทุนถูกกว่ารับเองดีกว่า แต่มีปัญหาที่ว่า ต่างจังหวัด คือค่าขนส่งค่อนข้างแพง ระยะทางค่อนข้างไกล แต่บางทีถ้าลูกค้าคำนวณต้นทุนแล้วเขาบอกว่า วิ่งมารับเองคุ้มกว่า “ตอนนี้ก็เหมือนว่าเราสร้างเป็นระบบตัวแทน ที่ว่าแต่ละภาค ใครอยู่ภาคไหนมีตัวแทนก็คือสามารถรับที่ตัวแทนได้ ก็จะแพงกว่าที่รับจากสถานที่ผลิตอาจจะเป็น ถาดละ 10-20 บาท ซึ่งมันเทียบกับค่าขนส่งแล้วค่อนข้างถูกกว่า แล้วมันคุ้มกว่าเยอะครับ”

การส่ง-รับออร์เดอมีทุกวัน แต่ว่าลูกค้าต้องออร์เดอล่วงหน้า 1-2 วันก่อน ถ้าเป็นตัวแทนก็จะทราบอยู่แล้วว่าต้องสั่งล่วงหน้าเพราะว่า เราจะไม่มีสต็อก สต็อกไม่มีแน่นอน ก็คือจะผลิตวันต่อวัน“การลงทุนก็คือ เหมือนขั้นต่ำครับถามว่า ตัววุ้นเองมันมีหน้าให้เลือกค่อนข้างหลากหลายถามว่า ถ้าหน้าน้อยอย่างเงี้ยเราลงประมาณสัก 4, 5, 6 ถาด การเลือกก็ค่อนข้างน้อยแต่พอมีเยอะปุ๊บ เพราะผมเคยลงตลาดที่งานเกษตรแฟร์ลงเป็น 100 หน้า ลูกค้าบอกเอาทุกหน้าเลยหลาย ๆ คนจะบอกว่า ฮึ้ยเราอยากลองชิม นาน ๆ กินทีเราอยากลองชิม พอวันต่อไปปุ๊บเขาจะจดลิสต์มาเลยว่า หน้าที่เคยกินอันไหนอร่อยชอบอันไหน ๆ เขาก็จะลิสต์มา” มันก็จะเป็นการแบบว่าสร้างกระตุ้นยอดขายให้กับผู้ขายได้ด้วย เรื่องของ “การจัดร้าน” ก็มีผลสำหรับวุ้น คือเนื่องด้วยสีสันของเขาค่อนข้างเยอะ “ไฟ” สำคัญไปเราใช้เป็น ไฟขาว บางทีลูกค้าใช้ไฟเหลืองมันหม่นมันดูเหมือนเป็นวุ้นของเก่าเหมือนดูเละเทะเลย ไฟสีส้มมันเลยสีสินค้าไม่เด่น มันก็จะไม่ดึงดูด“เราก็จะมีการแนะนำไปดูว่า ทำไมยอดขายแต่ละที่ต่างกันทั้ง ๆ ที่มองว่ากลุ่มคนเยอะ กลุ่มถนนคนเดิน แต่พอไปดูปุ๊บเขาจัดร้านผิด พอเราไปปุ๊บไปแก้ไขยอดเขาดีขึ้น เขาสั่งเรารอบหมุนเยอะขึ้น มันก็อยู่ที่ว่าเราพยายามไปถ้าเราไปถึงภายในทั่วกรุงเทพฯ เราจะพยายามลงพื้นที่เอง ไปให้คำแนะนำไปดูแลเรื่องของการตลาดอะไรต่าง ๆ ก็คือลงไปสอนไปบอกทุกอย่าง” เพื่อให้ยอดขายเขาไปได้ เหมือนเราไม่ได้เน้นแต่ขายส่ง เราก็อยากให้ว่าเขารับไปแล้วให้เขาไปต่อยอดทำเป็นอาชีพได้เหมือนกัน


ดราม่าก็มีคือ “เรื่องถาด”?!! จากวุ้นธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
คุณบิ๊ก-ฐาเกียรติ ศรีรุ่งนภาพร เจ้าของแบรนด์ “พุงพลุ้ยวุ้นถาดอารมณ์ดี” ยังบอกด้วยว่า เรื่องดราม่าก็มีคือ เรื่องถาด(บอกพร้อมกับหัวเราะ) เพราะว่าเราจะต้องขอเก็บค่ามัดจำกับลูกค้าใบละ 100 น้องจะเช็คสต็อคอยู่ตลอด พี่ถาดหายอีกแล้ว ขนาดมัดจำก็ยังหายเราก็เลยบอกว่า ต้องขอแจ้งลูกค้าที่ว่าไม่สะดวกมัดจำเพราะว่า เรามีต้นทุนตรงนี้เพราะเราคิดเราคิดแต่ค่าวุ้น ต้นทุนของถาดตอนนี้มันปาไปเกือบ 150 บาท/ใบ เราเก็บมัดจำลูกค้าแค่ 100 บาท แต่ถ้าลูกค้าเอามาคืนก็คือเราสามารถคืนเงินลูกค้าได้เต็มจำนวน จะมีดราม่าตรงนี้ที่ว่าไม่มัดจำไม่ได้เหรอเดี๋ยวขายเสร็จก็เอามาคืน จะเป็นอย่างนี้เยอะพอดีน้องเขาแบบใจอ่อนคือแบบ พอเวลาเจอลูกค้าใหม่ ๆ หายทุกคน! เราก็เลยบอกว่ายังไงก็ต้องขอเก็บยังไงก็ขอใจแข็งเรื่องตรงนี้ “ยังไงเราต้องมีการมัดจำ อย่างเป็น 1,000 ใบก็หลายแสนแล้วครับ เพราะว่าต้นทุนเวลาเราลงทีแม้กระทั่งเราทำ 10 ถาดก็จริง เราทำส่งลูกค้าเราต้องมีสต็อกสำรองอย่างน้อย ๆ 50 ถาด อย่างเงี้ยถ้าเราทำส่ง 400-500 ถาด เราต้องมีสต็อกประมาณ 5-6 พัน”




เมื่อก่อนคือขายตามตลาดนัด ขายอะไร จะไปจองพื้นที่เพื่อจะขาย ขายอะไร ขายวุ้น โอ้ย! ไป ๆ ขายวุ้น ขายวุ้นธรรมดาไปเลย
พอเรามาขายปุ๊บทุกคนให้การตอบรับดีลูกค้ามามุง ๆ ตอนหลังกลายเป็นว่า เจ้าของตลาดต้องบอก มาขายให้พี่หน่อยนะมาขาย ผมบอกว่าผมอาจจะต้องวิ่งไปเป็นแต่ละวัน อาจจะให้น้องมาขาย เมื่อก่อนคือเราแบบต้องง้อขอเข้าไปขาย หลัง ๆ คือมาลงขายให้พี่หน่อยมาดึงคนให้หน่อยมาให้อยู่ข้างหน้าทำเลดี กันแดดกันฝนอย่างดีเลย มันก็เป็นการแบบว่าเราพิสูจน์ตัวเองว่า “วุ้น” มันก็สร้างอะไรให้เราได้มากมายหลายอย่าง จากที่คนเขาคิดว่าก็แค่วุ้น แต่มันไม่ใช่แค่วุ้น สโลแกนเราจะพูดเลย“ความอร่อยที่มากกว่าคำว่าวุ้น”



ความหลากหลายมีให้เลือกมากกว่า 400 หน้า การันตีต่อถาดกำไรเกิน 50% พุงพลุ้ยวุ้นถาดอารมณ์ดี อีกอาชีพที่ลงทุนครั้งแรกไม่สูงจนเกินไป เป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากมีอาชีพ ขอบคุณเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจดี ๆ จากคุณบิ๊ก-ฐาเกียรติ เจ้าของแบรนด์ฯ ที่กรุณาร่วมแชร์ประสบการณ์การทำธุรกิจประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในครั้งนี้

ติดตามผลงานหรือสนใจอาชีพสามารถติดต่อได้ที่ โทร.084-557-5111 หรือ เพจ: พุงพลุ้ยวุ้นถาดอารมณ์ดี ปลีก-ส่ง


กำลังโหลดความคิดเห็น