จอลลี่แบร์เป็นแบรนด์ขนมเยลลี่สัญชาติไทยที่โลดแล่นในตลาดมากว่า 50 ปี โดยมีจุดเริ่มต้นจากการผลิตเป็นลูกอมแบบแข็ง แต่ด้วยสภาพการตลาดที่มีการแข่งขันสูงทำให้ทายาทรุ่น 2 ที่มารับช่วงต่อต้องมองหาโอกาสในการเติบโตด้วยการหันมาผลิตเป็นเยลลี่รูปหมีแทน
นิค-พลากร เชาวน์ประดิษฐ์ เจ้าของแบรนด์ “จอลลี่แบร์” ทายาทรุ่นที่ 3 เล่าว่า ในยุคที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักขนมเยลลี่ของจอลลี่แบร์มากนัก จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนตัดสินใจซื้อ จอลลี่แบร์จึงทำการตลาดผ่านซื่อโฆษณาหลักอย่าง โทรทัศน์และหนังสือ ทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น สินค้าได้รับการตอบรับอย่างดี แม้จะในช่วงเวลาที่ผ่านมาจะไม่ได้สร้างแบรนด์อย่างจริงจังเหมือนเดิมแต่แบรนด์ยังสามารถขายสินค้าได้ด้วยตัวเอง
เมื่อเวลาผ่านไปผู้เล่นในตลาดมีมากขึ้น ย้อนเวลาไปประมาณ 8 ปีที่แล้วมีผู้เล่นในตลาดขนมเยลลี่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากต่างประเทศ ทางแบรนด์จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การตลาดแบบเดิม เพราะช่องทางหลักอาจจะไม่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในยุคปัจจุบันได้แล้ว
ซึ่งรูปแบบการสร้างแบรนด์และทำการตลาดของจอลลี่แบร์ในตอนนี้คือการทำผ่าน ออฟไลน์ ควบคู่ไปกับ ออนไลน์ โดยจะเน้นที่ออนไลน์เป็นหลัก ด้วยการใช้อินฟลูเอนเซอร์ ผ่านโซเชียลต่างๆ อย่าง เฟซบุ๊ก ยูทูป ติ๊กต็อกและอินสตาแกรม ในการรีวิวสินค้า เพื่อช่วยสร้างกระแสและเกิดการบอกต่อ และพัฒนาสินค้าให้สดใหม่อยู่เสมอทั้งรสชาติ แพคเกจจิ้งหรือหาพันธมิตรในการออกสินค้าใหม่ร่วมกัน
สิ่งสำคัญในการสร้างแบรนด์ของจอลลี่แบร์มี 3 ข้อหลักด้วยกัน คือ
1.หาจุดแข็งของสินค้าให้เจอ สำหรับจอลลี่แบร์คือความคุ้มค่า มีประโยชน์และปลอดภัย
2.สินค้าต้องมีมาตรฐานสากลครบในทุกด้าน
3.หาพันธมิตรเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกัน
โดยทั้ง 3 สิ่งนี้ทำให้จอลลี่แบร์สามารถเฉิดฉายอยู่ในตลาดได้พร้อมมียอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2566 สามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 300 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าการสร้างแบรนด์ถ้าหากหยุดพัฒนาปัญหาจะเกิดเมื่อนั้น จอลลี่แบร์ยังฝากถึงเอสเอ็มอีอีกว่า คู่แข่งพร้อมจะแซงเราอยู่ตลอดเวลาถ้าเราหยุดพัฒนา ดังนั้น แบรนด์จึงเป็นหัวใจหลักที่เราต้องรักษาและทำให้ดี
ติดต่อเพิ่มเติม
Facebook : JollyBears
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *
