นายอภิสิทธิ์ ปวุติภัทรพงศ์ ทายาทรุ่นที่ 3 บริษัท เอ แอนด์ เจ ผลไม้ไทย จำกัด กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของ เอ แอนด์ เจ ผลไม้ไทย มาจาก “นายสรรค์ชัย ปวุติภัทรพงศ์” (คุณพ่อ ) และ นางสาว ปภัสสร ปวุติภัทรพงศ์ (คุณป้า) ผู้บุกเบิกและก่อตั้งกิจการผลิตมะพร้าวน้ำหอมภายใต้ชื่อโรงงานมะพร้าวอั้งม้อ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 หลังจากกิจการมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ก็ได้มีการขยายกิจการใหญ่ขึ้น จากโรงงานมะพร้าว อั้งม้อ มาเปิดเป็นบริษัท ชื่อว่า เอ แอนด์ เจ ผลไม้ไทย จำกัด โดยได้ “นายสุรวุฒิ ปวุติภัทรพงศ์” เป็นน้องชายของคุณพ่อให้มาช่วยบริหารและต่อยอดกิจการ เป็นทายาทรุ่นที่ 2 เข้ามาดูแลกิจการต่อ เมื่อปี พ.ศ. 2549
ปัจจุบันในส่วนการผลิต ทางบริษัท ได้มีการขยายฐานการผลิต จากที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี บนพื้นที่การผลิตกว่า 17 ไร่ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ปัจจุบัน ด้วยการเปิดโรงงานอีก 2 แห่ง ที่ อำเภอโพธาราม และ ที่อำเภอวังเย็น จังหวัดราชบุรี เพื่อรองรับความต้องการมะพร้าวน้ำหอมที่เพิ่มขึ้น ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 600 คน ที่เป็นผู้เชี่ยวขาญด้านอุตสาหกรรมผลิตน้ำมะพร้าว และการบริหารจัดการ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บริษัทฯ ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญแค่การผลิตน้ำมะพร้าว เท่านั้น แต่ยังทำงานแบบครบวงจร ตั้งแต่การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว มาจนถึงการผลิต และการส่งออก เพราะก่อนที่ จะมาทำโรงงานเป็นเกษตรกรที่ปลูกมะพร้าวมาก่อน ซึ่งเป็นจุดเด่นของสินค้าเรา เพราะได้คัดเลือ มะพร้าวน้ำหอม ที่เป็นมะพร้าวสายพันธุ์แท้ ที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และมีรสชาติหวานอร่อยไม่เหมือนกับมะพร้าวสายพันธุ์อื่นๆ บนโลก ซึ่งมีการเพาะปลูกได้ ใน 5 จังหวัด คือ ราชบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และฉะเชิงเทรา
โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้มีการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ มากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ซึ่งสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 80% และขายในประเทศเพียง 20 % เท่านั้น ซึ่งในปี 2566 บริษัทฯสามารถส่งออกได้มากถึง 1,648 ตู้คอนเทนเนอร์
ท้ายสุดนี้ คุณอภิสิทธิ์ ให้มุมมองการบริหารจัดการกิจการในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 ว่า ส่วนตัวมองว่า เป็นความท้าทายสำหรับการสานต่อจากรุ่นสู่รุ่น เพราะเราจำเป็นต้องมีความเข้าใจในความหลากหลายของคนในองค์กร ไม่ว่าจะเป็น ผู้ก่อตั้ง ลูกหลาน และพนักงาน ที่มีความต้องการที่หลากหลาย แต่เป้าหมายของทุกคนเพื่อให้เกิดการพัฒนาและสร้างกิจการให้เติบโต สร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้น ซึ่งตนเองในฐานะผู้นำรุ่นนี้ ต้องกำหนดเป้าหมายองค์กรให้ชัดเจนก่อน เพื่อให้ทุกคนสามารถไปในทิศทางเดียวกันได้ ส่วนแผนในอนาคตอันดับแรก คือ การพัฒนาคนเสริมความสามารถ และศักยภาพของพนักงาน รวมถึงระบบการจัดการในองค์กรให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับองค์กรรองรับการเติบโตในอนาคตต่อไป