“จริงๆ น้ำพริกเราแทบไม่ได้ทำมาร์เก็ตติ้งเลยค่ะเราทำบ้านๆ มีเวลาฝ้ายก็ถ่ายลงบางครั้งแพลตฟอร์มโดนทิ้งเป็นเดือนเลย แต่ตอนนี้ที่เรายังขายได้อยู่เพราะว่าลูกค้าบอกต่อกันเองค่ะแล้วบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำมาซื้อเพราะน้ำพริกปุยแสบปากแล้วก็มารู้ทีหลังว่าเป็นของเรา”
ปุยฝ้าย AF หรือ ภัทณชา วิภัทรเดชตระกูล นักร้องนักแสดงมากความสามารถอีกคนหนึ่งของบ้านเราหลังห่างหายไปจากงานวงการบันเทิงนานกว่า 4 ปีเลยได้เจอตัวเป็น ๆ อีกทีคราวนี้ กลายเป็นเจ้าของธุรกิจ “โรงงานน้ำพริก” แบรนด์ที่มีชื่อว่า “ปุยแสบปาก” ไปเรียบร้อยแล้วซึ่งโรงงานน้ำพริกตั้งอยู่ในย่านซอยลาดพร้าว 91 ถือโอกาสอัปเดตความเป็นไปก่อนจะเข้าเรื่องของ “น้ำพริก” ต่อไปยาว ๆ“บางคนก็จะคิดว่าอ้าวฝ้ายมาทำน้ำพริกเพราะว่า ไม่มีงานหรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นละคร ร้องเพลง พิธีกร หรือเป็นช่วงของโควิด จริง ๆ ต้องใช้คำว่าฝ้ายเนี่ยต้องขอบคุณผู้ใหญ่(ยกมือไหว้) ทุกคนเลย ที่ยังคงติดต่องานมาเสมอนะคะ มาเยอะมากจริง ๆ แค่ว่าในช่วงที่มีโควิดฯ สถานการณ์มันบังคับให้งานบางอย่างของเรามันต้องเบรก
"การเบรกครั้งนั้นเนี่ยมันกลายเป็นจุดเริ่มต้นบางอย่างของความรู้สึกเรา ก็คือว่าที่ผ่านมาเราทำงานต่อเนื่อง ๆ มาตลอดโดยที่เราไม่เคยรู้สึกว่า เราเบื่อหรือยัง เราเหนื่อยหรือเปล่า หรือว่าจริง ๆ ชีวิตเราต้องการอะไร แต่พอมีโควิดซึ่งมันเป็นสถานการณ์บังคับที่ทำให้เราต้องอยู่แต่บ้าน แรก ๆ มันจะรู้สึกแปลก ๆ แล้วก็รู้สึกว่าต่อไปชีวิตฉันจะยังไง? แล้วฉันจะทำอะไร แต่หลังจากนั้นไม่นาน เรากลับรู้สึกว่าทำไมเรารู้สึกสบายใจจังเลย” ปุยฝ้ายยังบอกด้วยอาจเป็นเพราะว่าช่วงที่ยังทำงานเราเป็นคนใช้เงินไม่สุรุ่ยสุร่ายด้วย ในช่วงที่มีโควิดฯ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำงานแต่เราก็ยังสามารถดำรงชีพได้ เพราะฉะนั้นเราเลยเจอจุดที่เรารู้สึกสงบ“วันที่เราไม่ต้องเจอคนเยอะเหมือนที่ผ่านมา ในวันที่เราไม่ต้องพยายามทำบางอย่างที่ ทำให้คนมีความสุขมีความคาดหวัง ไม่ใช่หมายความว่าเราไม่อยากทำให้คนอื่นมีความสุขนะคะ แต่เหมือนชีวิตเราแบกความคาดหวังของผู้ที่พบเจอเรา แบกความคาดหวังในหลาย ๆ เรื่องพอวันหนึ่งที่เราได้หยุด ไฟท์บังคับ กลับไปเจอจุดที่สงบและสบายใจแล้วก็กลายเป็นว่า ไม่ได้คิดอะไรต่อ คิดแต่ว่าเดี๋ยวพอสถานการณ์ดีขึ้น เราก็กลับไปทำงานเพราะว่างานยังต่อเนื่องอยู่ ละครที่ถ่ายไว้ก็มีอยู่”
แจ้งเกิดแบรนด์น้ำพริก ที่มาจาก “ความฝัน”
สำหรับน้ำพริก เกิดจาก “ความฝัน” เราดันฝันเรานอนคืนหนึ่งเราฝันว่า ได้กินน้ำพริกชนิดนี้! มันเหมือนเป็นความรู้สึกเหมือนเราเคยกินมาตั้งแต่ตอนเด็ก เราเคยกินแน่นอน“ในความฝันเราเคยกินแน่นอน ซึ่งมันก็คือน้ำพริกหมูโคราช แต่ว่าฉันจะไปหาน้ำพริกนี้กินได้ที่ไหน? ที่กรุงเทพฯ มันไม่มี หรือเราเคยเจอบางคนทำก็ไม่อร่อย เราก็อยากกินน่ะ” ปกติพอตื่นมาเราก็จะลืมความรู้สึกตรงนั้นไป แต่ว่ามันไม่ลืม! จะกินมันอยากกิน แต่ทีนี้มันไม่มีขายก็ทำเองซะเลย“มันควรจะอย่างงี้มั้ง มันอาจจะอย่างงี้มั้ง เอาอันนี้ ใช้ความน่าจะเป็น เออเอาอันนี้ไปคั่ว เอาอันนี้คั่ว ๆ แล้วก็ตำ ๆ และวิธีการปรุงก็คือ นึกรสชาติที่กินในฝันน่ะค่ะว่ารสชาติเป็นยังไงก็ มันน่าจะใส่อันนี้หน่อยนึง อันนี้หน่อยนึง อะไรอย่างเงี้ย แล้วก็ทำออกมาเป็นน้ำพริกชนิดนี้” แล้วก็ให้แฟนทานด้วยเราก็กินข้าวด้วยกัน แฟนบอกอู้หูอร่อยมาก! แต่เผ็ดมากเผ็ดแบบไม่ไหว! เราบอกเราเป็นคนกินเผ็ด ในฝันมันไม่เผ็ดขนาดนั้นหรอกแต่ฉันชอบกินเผ็ด
แบ่งให้เพื่อนกินเพื่อนก็โอ้โหสบถเลย! แมร่งอร่อยฉิบหาย!
เอ้อมันน้ำพริกอะไรวะอร่อยฉิบหาย เราก็บอกอ๋อเป็นน้ำพริกหมูสับเหมือนคนโคราชน่ะ เราก็บอกเล่าให้เขาฟัง มึง! อร่อยมาก ก็จบแค่ตรงนั้นไม่มีอะไรค่ะ” ผ่านไปเราก็ทำอีกคราวนี้เราก็เริ่มแบ่งคนนั้นแบ่งคนนี้ คือทำทีละเยอะ ๆ แบ่ง ๆ ทุกคนก็จะฟีดแบ็กกลับมาว่าอร่อยมาก enjoy กับการทำน้ำพริก เราก็รู้สึกว่าเวลาที่เขาบอกว่าอร่อย เราก็จะมีกำลังใจที่จะทำ แล้วก็มีเพื่อนบางคนเริ่มบอกว่าทำไมไม่ขาย เราก็บอกไม่เอาล่ะฉันไม่ใช่แม่ค้า ขายไม่เป็น เราก็บอกเราขายไม่เป็นคือทำกินน่ะโอเค ไม่ใช่เป้าหมายเพราะว่าเราก็คิดว่า พอโควิดฯ มันเริ่มซาเราก็จะกลับไปถ่ายละครเหมือนเดิม เราไม่เคยคิดว่าเราจะต้องมาเป็นแม่ค้า ไม่เคยคิดจะมีอาชีพเสริม ณ ตอนนั้น“ก็กลับไปถ่ายละคร ถ่ายละครไปถ่ายละครมาพอละครปิดกล้องปึ๊บระหว่างแก๊ปที่รอที่เราจะถ่ายละครเรื่องต่อไปเราก็เลยมานั่งทำน้ำพริกอีก แต่ตอนนั้นทำเพราะจะกินไม่มีอะไร แล้วก็แบ่งเพื่อนเหมือนเดิม คราวนี้เพื่อนก็บอกเฮ้ยมึงขอจริงจังแล้ว ขอซื้อหน่อย แล้วก็กลายเป็นว่ามีออร์เดอมาอีกเราก็ทำอีก ครั้งที่ 3 ที่ 4 ประมาณ 40-50 กระปุกได้ค่ะ เราก็ทำไปต่อครั้ง”
พรีออร์เดอก็สุดปัง! จนตอนหลังโพสต์ขายเฉพาะที่ทำไหว
หลังจากนั้น ลองโพสต์ไอจี ถ้าจะทำน้ำพริกลองขายดูจะมีใครกินมั้ย ก็มีคน direct มาว่า ลอง ลอง ลอง ๆ“อยู่ที่ประมาณ 50 กระปุก แล้วอีกวีคหนึงก็ทำอีก หนูจะทำประมาณ 1 เดือนแล้วก็หยุด 3 เดือน 4 เดือน ก็มีกลุ่มแฟนคลับน้อย ๆ ของเรากิน กินเสร็จปุ๊บเขาก็ชอบ แล้วก็จบแค่นั้นก็กลับไปทำงาน แล้วก็กลับมาทำใหม่”
ครั้งนี้ แฟนตั้งเป็น “ไลน์แอด” “เราก็โพสต์อีกว่าจะทำน้ำพริก มีใครจะกินมั้ยอะไรเงี้ย คราวนี้เริ่มมาเกือบ ๆ 100กระปุก ชักจะงง! อะไรวะเนี่ยชักจะงง แล้วก็เราก็ยังกะวัตถุดิบไม่ถูก ซื้อมาปึ๊บทำ ๆ ตัก ๆ อุ๊ยไม่พอ! แว้นมอไซค์ไปตลาดไปซื้อของมาทำใหม่ ตัก ๆ โอ้ยไม่พอแว้นอยู่อย่างเงี้ย ทำไปอย่างนั้นประมาณแบบ 2 อาทิตย์ได้ แล้วเราก็เลยว่าเอ๊ะทำไมคนสั่งเข้ามาเยอะจังแต่เราสนุกนะ เราไม่ได้มองเรื่องตังค์นะเพราะว่าตอนนั้นบอกตรง ๆ ขาย 69 บาท” จนกระทั่งพอแฟนเริ่มเข้ามาขอดูหน่อยว่าใช้อะไรยังไง ไล่มาทีละอัน เขาบอกว่ารู้มั้ยขาดทุน! กระปุกละ11 บาท ขาดทุนได้ยังไงในเมื่อฉันลงทุนไป 57 บาทฉันขาย 69 คิดค่าเครื่องปรุงหรือยัง แก๊ส กระปุก สติกเกอร์ติดกระปุก ถุง ฯลฯ คิดหรือยัง? ไม่ได้คิด! เราคิดแต่ค่าหมูสับ หอม กระเทียม พริก ใช่เอาเฉพาะตรงที่เราซื้อมาตรงนี้
ต้องกลับมาคำนวณราคากันใหม่
“แล้วคราวนี้เราใช้วิธีการพรีออร์เดอครั้งแรก การพรีออร์เดอน้ำพริกหมูสับ และทุกอย่างเป็นmanual หมดเลยพอมีใครทักเข้ามาเราก็เปิด เปิดปุ๊บจดออกมา ปรากฏไลน์มันเข้าจนเรา เราตกใจโทรศัพท์มันน็อคเลย! จดยังไงก็ไม่ทัน กระดาษก็กองอย่างงี้ มันเริ่มงง ๆ แล้ว มั่วแล้ว! ปิด ตอน 09.01 น. เพราะว่าตอนที่เรา back ข้อมูลออกมามีจำนวนข้อความที่ค้างอยู่ตรงนั้น มันเกือบ 600 ข้อความ ในเวลาเพียงแค่1 นาที!!!" 600 ข้อความเราก็เลย เฮ้ยต้องปิดก่อน! ลูกค้าก็โวยวาย
“สรุปวันนั้นฝ้ายทำไป 600 กว่ากระปุกในขณะที่ผ่านมา เราทำหลักสิบ พอเจอ 600 เข้าไปฝ้ายงงพี่ กระทะก็ใบน้อย ๆ กลายเป็นว่าตอนนี้ทำได้100 ก็ลง100 กระปุก200 ก็ลง200 กระปุก แล้วลูกค้าเขาจะรอกดเราก็จะโพสต์เลย พรุ่งนี้มีน้ำพริกหมูกี่กระปุก“แล้วพอเราเปิดปึ๊ง! มันจะหมดภายในไม่กี่นาทีฟรึ๊บ! ก็เลยรู้สึกว่าเฮ้ยไม่เล่นแล้ว!”เพราะว่าเราส่งแกร็บส่งไลน์แมนในกรุงเทพฯ น้ำพริกเรามันเป็นทำใหม่ทำสด มันส่งไปรษณีย์ไม่ได้ จุดเปลี่ยนมันคือ ลูกค้าเริ่มบอกว่าเขาอยู่ต่างจังหวัดแต่เขาอยากกิน ทำยังไง?
แก้ปัญหาน้ำพริกบูด
“น้ำพริกไม่ได้ใส่สารกันบูด น้ำพริกทำใหม่แล้วส่งไป ถึงลูกค้าก็บูดเยอะหรือไม่ก็กระปุกแตก เปลี่ยนไปส่งตู้เย็นแล้วกัน พี่ลูกค้าเขาสุด ๆ เลยนะเพราะว่าน้ำพริก169 บาท ค่าส่งต่อ1 กระปุกแบบเย็น150 บาท ลูกค้ายอม! พูดกับแฟน เราต้องหาทางที่ทำให้ดีให้ได้นะเพราะว่าตอนนี้ กลายเป็นงานอดิเรกแล้วคือทุกครั้งที่ถ่ายละครเสร็จกลับมาทำน้ำพริก มันดีตลอดเลย มันไม่เคยดร็อปลงเลย! เพราะฉะนั้นนี่คืออีกหนึ่งทางที่เราจะมีอาชีพ เราก็คุยกัน
“และตอนหลังแฟนก็เริ่มเข้ามาดูมากขึ้น เขาเป็นนักธุรกิจ เราเริ่มมาดูเขาก็บอกฝ้ายต้องขยายแบบนี้ ๆ เหมือนพาเราเดินไปทีละสเต็ป สเต็ป ๆ ไม่เชื่อพอมันมีความเสี่ยงมาก ๆ เราจะกลัว เขาก็ค่อย ๆ ทำให้เราเห็นว่าฝ้ายมันไปอย่างนี้ได้นะ มันไปอย่างงี้ได้นะ หนูผัดจนกระทั่งว่าหนูต้องผ่าคอ หนูเป็นหมอนรองกระดูกปลิ้นอยู่แล้ว คราวนี้พอเราก้มเยอะ ๆ เป็นเยอะจนกระทั่งหนูต้องผ่าตัดหนูเปิดที่คอแล้วก็ ตอนนี้ใส่เหล็กเอาไว้”
จากทำในครัว มาเป็นโรงงาน
เขาก็เลยบอกว่า ฝ้ายต้องมีเครื่องกวนน้ำพริก คือปกติพอใส่หมู 20 กิโลฯ แล้วเราจะใช้แรงแขนของเราคน ๆ อย่างเงี้ย แล้วพอกล้ามเนื้อเราจำเราจะทำได้แต่คนอื่นทำไม่ขึ้น เราก็ทำอยู่คนเดียว ทำ ๆ แต่ว่าร่างกายเราแย่แล้ว“ตัวแรกที่ได้มาคือตัวนี้ คุณลุงคนนี้เขามาเป็นครั้งแรก เราก็เตรียมเครื่อง หอม กระเทียม ทุกอย่างคั่วหมูให้สุกแล้วก็เอาไปลงกระทะ กวน เขามีหน้าที่มิกซ์ให้เรา เราก็ปรุงมือปกติ เอ้ย! เขาทุ่นแรงได้เยอะ ปกติกระทะใบบัวนึงฝ้ายอาจจะทำได้หลักสิบกว่ากระปุก แต่ลุงเขาสามารถทำให้ฝ้ายได้เป็น 100 กระปุกต่อ1 หม้อนี้ต่อครั้ง” เราจะทำยังไงที่เราจะพัฒนาต่อได้ ให้น้ำพริกมันอยู่โดยที่เราไม่ต้องส่งแบบตู้เย็นให้ลูกค้า เราก็เลยไปปรึกษาผู้ใหญ่ซึ่งท่านอยู่ทางด้านอุตสาหกรรม ท่านก็แนะนำว่าให้เราเอาน้ำพริกเราไปตรวจที่สถาบันอาหารฃ (NFI) เพื่อไปดูว่าในน้ำพริกเรามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เกิดเชื้อ
“เราก็ส่งตรวจ Lab ทั้งหมดค่ะ แล้วออกมาเดียวกันค่าเดียวกัน คือA/W สูง หมายถึง น้ำ ในน้ำพริกสูงเกินไป น้ำในน้ำพริกเกิดจากอะไรบ้าง เกิดจากหอม กระเทียม เนื้อหมู อะไรเหล่านี้ค่ะทั้งหมด เครื่องปรุง น้ำตาลมะพร้าวเคี่ยวหรืออะไรก็แล้วแต่ เราต้องพยายามทำให้น้ำตรงนั้นมันหายไป เพราะว่าน้ำเป็นแหล่งของแบคทีเรียและเชื้อรา เขาก็จะแจ้งว่าทุกครั้งที่เราคั่วหอมกระเทียม หรือสั่งมาจากตลาดต้องเอามาล้างใหม่ทั้งหมด ล้างเสร็จปึ๊บตอนคั่ว ต้องมีการวัดอุณหภูมิด้านในของหอมกระเทียม ว่าถึง85 องศาเซลเซียสหรือยัง ถ้าต่ำกว่าคือเชื้อข้างในยังไม่ตาย” น้ำตาลมะพร้าวจากที่เคยเคี่ยว ห้ามเคี่ยวละ เพราะปกติเวลาเคี่ยวมันต้องผสมน้ำแล้วเคี่ยวให้หนืด อันนี้ใส่เป็นแบบก้อนใส่ไปเลย เราก็คำนวณทุกอย่างใหม่คำนวณสูตรใหม่ หมูจากที่เคยเอาลงไปผัดเลยแล้วให้ไปสุกในกระทะ เราต้องเอาหมูมาทำให้สุกก่อน เพราะว่าหมูจะคายน้ำออกมา เราเอาเฉพาะเนื้อไปทำน้ำพริก ปัจจัยที่ทำให้น้ำพริกแบบนี้เสียอีกคือ ปกติน้ำพริกหมูสับโคราชจะใส่ “มะเขือเทศ” ด้วยเราก็ตัดออก(มะเขือเทศมีน้ำอยู่ในนั้น) นี่คือน้ำพริกสูตรใหม่ที่เกิดจาก “ปุยแสบปาก” จริง ๆ“และเราก็ปรับจนกระทั่งว่า ถ้าทุกคนเห็นจะเห็นว่าฝ้ายวัดอุณหภูมิตลอด วัดอุณหภูมิ ๆ แม้กระทั่งอยู่ในหม้อจริง ๆ น้ำพริกมันสุกนานแล้วค่ะ แต่เราจำเป็นต้องให้อุณหภูมิมันขึ้นสูง สูงจนกระทั่งเชื้อทุกอย่างในน้ำพริกเรามัน dead!”
จาก1 เพิ่มเป็น 4 น้ำพริกตัวท็อปขายดี
ถามว่าทุกวันนี้มีปัญหาเคลมลูกค้าน้ำพริกบูดมั้ย มีค่ะ มีค่ะแต่เราก็ยังรู้สึกว่ามันดีกว่าเดิมเยอะมาก แล้วเราก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะไปพึ่งพวกสารกันบูด ถ้าลูกค้าได้ไปแล้วน้ำพริกเราเริ่มแบบรสเปลี่ยนหรืออะไร เราไม่เคยทิ้งเขาเลยค่ะ“จิตวิญญาณของความเป็นน้ำพริกหมูโคราชยังมีอยู่ครบ แต่ลูกค้าบางคนก็อาจจะบอกว่าทำไมมันหวานน้อยลง หวานน้อยลงก็คือตามปากแม่ค้า ฝ้ายเป็นคนไม่กินน้ำพริกหวาน เพราะฉะนั้นฝ้ายปรับตามปากตัวเอง ลูกค้าที่กินน้ำพริกฝ้ายคือลูกค้าที่กินรสเดียวกับฝ้าย ฝ้ายจะไม่ได้ปรับตามสิ่งที่ลูกค้าต้องการ แต่ฝ้ายจะให้ลูกค้ากินในแบบที่ฝ้ายเป็น”
ด้วยความโฮมเมดจริง ๆ เห็นอะไรก็เอามาทำ เห็นอะไรก็เอามาทำ“พี่รู้เปล่าว่าลูกค้าหนูอ่ะหนูแค่ถ่ายรูปปลาอินทรีทั้งตัวลงอ่ะเขาเขียนว่าจองค่ะ จองค่ะ เขายังไม่รู้เลยฝ้ายจะทำอะไร ใช่มันกลายเป็นอย่างงั้น”มันก็เลยเกิดน้ำพริกขึ้นใหม่เรื่อย ๆ ทีนี้ตอนนี้ถึงเหลือ 4 ตัวนี้ยังแข็งแรง มันเป็นตัวที่เราเหมือนทำเพื่อที่ แก้เบื่อให้ลูกค้า แต่มันกลายเป็นติดหมด! ติดแล้วมันหยุดทำไม่ได้จริง ๆ มีอีกหนึ่งตัวคือ ปลาทูพิโรธ ตัวนี้มาเมื่อไหร่คือแรง! ที่สุด แรงแซงทางโค้งที่สุด แต่กระบวนการมันทำยาก(ใช้เวลาทำเยอะหลายขั้นตอน) อายุสั้น เขาไม่ทอด ปลาทูที่ฝ้ายทำคือ “ย่างเตาถ่าน” พอทอดกลิ่นน้ำพริกคือเปลี่ยนเลย มันไม่ใช่อย่างที่เราคิดไว้ ย่าง ย่างเสร็จเวลาปรุงไม่มีน้ำตาลเลย เผ็ดโคตร! ลูกค้าชอบมากมันเป็นน้ำพริกปลาทูแห้ง ๆ ที่เผ็ด รสชาติจัด ๆ ก็เดี๋ยวคิดไว้ว่าจะเอากลับมาอีก
น้ำพริกตัวที่สอง มันมาได้ยังไง? คือ น้ำพริกปลาย่าง ปลาย่างมันมาจากการที่แม่เราทำต้มโคล้ง แล้วปลาแห้งมันเหลืออยู่ในตู้ จะทิ้งก็เสียดายแล้วมันมีเครื่องน้ำพริกหมูของเราอยู่ ก็เลยลองทำเล่น ๆ ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง“อ่าบอกไว้ก่อนอย่างหนึ่งว่า น้ำพริกที่ฝ้ายทำฝ้ายจะไม่มีการเปิดยูทูบไม่มีการเปิดกูเกิ้ล เพราะฝ้ายบอกกับตัวเองเสมอว่าเมื่อไหร่ที่เราเปิดสูตรในอินเตอร์เน็ตดู รสชาติที่ออกมาจะเป็นรสของเขา หนูลองทำไม่ว่าจะกินได้หรือไม่ได้ก็จะทำ กินไม่ได้ก็ทิ้ง ถ้าอร่อย ยังใช้ sense ของตัวเองเป็นหลัก กินไม่ได้ก็ทิ้งไปมันไม่ได้มีใครบอกว่า การทำของเรามันกินไม่ได้มันแม่งไม่ประสบความสำเร็จ มันไม่ใช่” ใช้sense ของเราเองในการทำ ใช้ลิ้นตัวเองในการชิม ว่าอันนี้ฉันชอบหรือเปล่า“หนูถึงบอกว่าน้ำพริกมันเกิดจากลิ้นหนู ที่หนูชอบรสเนี้ยะ หนูก็ทำรสนี้เป็นแม่ค้าที่เอาแต่ใจ ลูกค้าอาจจะไม่ชอบรสนี้ก็ได้ ก็ไม่เป็นไร แต่จะมีลูกค้าบางกลุ่มที่ชอบรสนี้เหมือนหนู หนูก็ขายคนกลุ่มนั้น แต่ถ้าคนบางกลุ่มลองเปิดใจกินดู เขาก็อาจจะชอบก็ได้ เราก็คิดแบบนั้นตั้งแต่ตอนที่เทสต์น้ำพริก”น้ำพริกปลาย่างได้มา มันต้องทำยังไงวะ มันต้องใส่อะไรบ้าง โอเคงั้นbase เหมือนน้ำพริกหมูก็แล้วกัน มันต้องใส่อะไรอีกล่ะ มันคือการนึก นึกแล้วต้องอยู่คนเดียว นึกแล้วลอง ลอง ๆ จนทำน้ำพริกปลาย่างออกมาแล้วชิม ฉันชอบ ฉันว่าอร่อย ฉันชอบ
เราจำเป็นที่จะต้องมี คณะกรรมการ ก็จะติดต่อไปทางผู้ใหญ่ที่รู้จัก หรือพี่ ๆ นักรีวิวอาหารที่เรารู้จัก พี่ช่วยชิมให้หนูที ไม่ต้องโปรโมทไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น ช่วยชิมให้หนูทีว่า น้ำพริกปลาย่าง ของหนูอร่อยหรือยัง? เอาตรง ๆ ตอนนี้มันอร่อยหนู แต่หนูไม่รู้อร่อยพี่มั้ย ติมาเลยหนูต้องการคำติ หนูไม่ต้องการคำชมเพราะว่าหนูอยากปรับ “เขาชิมเสร็จปึ๊บ เขาโพสต์ไอจีทันที(หัวเราะ) แล้วพี่เขาใช้คำว่า นี่เป็นน้ำพริกปลาย่างที่อร่อยที่สุดในชีวิตที่ผมเคยกิน อู้ว! ไม่ต้องตั้งหลักเลยค่ะพี่ลูกค้ามาจะเอาแต่ปลาย่าง ยังไม่ได้ทำเลยแล้วตอนที่เราเทสต์ เราเทสต์แค่กิโลเดียว แต่วันที่ทำขายเราขาย 20 โลเงี้ย เราจะยืนงงในดงกระทะว่า ฉันต้องปรุงอะไร? แต่เรารู้แล้วนะว่าตอนที่เทสต์ใส่อะไร ก็จะค่อย ๆ ค่ะค่อย ๆ ใส่ค่อย ๆ ใส่ ใช่ค่อย ๆ” น้ำพริกปลาย่างในสปีชีส์แรก ก็จะต่างจากสปีชีส์นี้เพราะโปรดักส์มันถูกพัฒนา ตลอดเวลา
น้ำพริกตัวที่สาม คือ น้ำพริกเผากุ้ง(น้ำพริกเผา) โจทย์ก็คือเป็นคนไม่ชอบกินน้ำพริกเผา เป็นคนไม่กินน้ำพริกเผาเพราะว่ามันหวานมาก แล้วมันมากก็เกิดคำถามว่าทำไมน้ำพริกเผามันต้องหวานขนาดนั้น แล้วทำไมน้ำพริกเผาเราเอามาคลุกข้าวสวยกินไม่ได้“กลิ่นกุ้งโดดมากจนทุกวันนี้ลูกค้าไม่เรียกว่าน้ำพริกเผา เรียกว่าน้ำพริกกุ้งเพราะฝ้ายใช้กุ้งแห้งเยอะมาก หอมมาก และรสชาติน้ำพริกเผาฝ้ายคือ หวานกับเค็มตีคู่กันมาแบบนี้ ไม่หวานแล้วเค็มตามหลัง มันมาคู่กันอย่างงี้เลยพี่ เพราะฉะนั้นคลุกข้าวกินได้เลย”ทาขนมปังได้มั้ย ได้ แต่ อาจจะแบบหวานกว่านี้อีกหน่อยก็คงดี “หนูก็เลยแตกโจทย์ออกมาอีกว่าต่อไปฝ้ายจะทำน้ำพริกเผาสูตรทาขนมปัง เป็นสูตรทางเลือกด้วย” แต่สูตรนี้ที่ทำปัจจุบันกินกับข้าว/คลุกข้าวกินได้อร่อย ถามว่าฝ้ายชอบกินหรือยัง ยัง แต่ลูกค้าชอบเราก็ทำต่อ ตัวที่สี่ที่เกิดขึ้นคือ ปีที่แล้วช่วงเข้าพรรษาคนกินมังสวิรัติเยอะมาก เราทำน้ำพริกที่มีเนื้อสัตว์เราก็กลัวว่าเราจะไม่ตอบโจทย์ช่วงเวลานั้น ก็เลยทำน้ำพริกเห็ดหอมมังสวิรัติขึ้นมาเทสต์ครั้งแรกแล้วก็ขายเลยมันเหมือนเราเริ่มชำนาญ “การปรุงน้ำพริกเห็ดหอม คือ การปรุงในหัวพี่งงการปรุงในหัวมั้ย หนูปรุงในหัวค่ะ หนูรู้ว่าหนูจะให้มันรสชาติแบบไหน ใช่ หนูปรุงในหัวแล้วก็ทำออกมาในกระทะ แล้วชิม ใช่ไม่ใช่ปรับตรงนั้น ในครั้งแรกที่เจอว่าใช่ อีกรอบหนึ่งทำขายเลย”
“ปุยแสบปาก” คอนเซ็ปต์น้ำพริกแบบบ้าน ๆ แต่ได้การตอบรับดีไม่มีแผ่ว
เพราะหนูยังคงมีความเชื่อว่า การทำอาหารคือศิลปะ ไม่ใช่การคำนวณ เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีสูตรตายตัวเอาไว้ อร่อยมั้ยอร่อยค่ะ บวกลบ5 เปอร์เซ็นต์ “ในวันที่มันจะเติบโตหนูต้องยอมให้มัน บวกลบ 5% แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมาตรฐานทุกอย่างยังต้องเหมือนเดิม เพราะหนูเชื่อว่าคนที่กินน้ำพริกหนูเขายังคงได้รับความอร่อยเหมือนเดิมแน่ ๆ แต่ถึงจะเป็นอุตสาหกรรมแต่ละล็อตการผลิต หนูยังคงชิมได้นี่นาถูกมั้ย หนูอาจจะไม่ได้ไปปรุงด้วยตัวเองแต่หนูยังคงชิมได้ สมมุติหนูชิมรอบนี้หนูรู้สึกว่ามันยังไม่เพอร์เฟ็กต์ หนูสามารถให้ทีมงานอันยิ่งใหญ่ของหนูadd บางอย่างลงไปได้ แต่ถ้าหนูทิ้งหนูไม่ชิมหนูไม่ตรวจตราน้ำพริกตัวเอง หนูว่าหนูชุ่ย ในวันหนึ่งที่มันโตขึ้นหนูคงไม่ได้มาจับกระทะจับตะหลิวเองน่ะค่ะมันอาจจะเป็นเครื่องจักรมากขึ้นด้วยซ้ำ อันนี้เราพูดถึงในเรื่องอนาคตที่ มันไม่รู้จะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นถ้าหนูชุ่ยกับการที่ไม่เทสต์สิ่งที่เราทำ ไม่เทสต์สิ่งที่เรารักแล้วปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น หนูก็คงแบบรู้สึกเสียใจ”
ซึ่งในแต่ละวันการผลิตน้ำพริกก็จะไม่ได้มีครบทั้ง 4 ชนิดที่แบรนด์ “ปุยแสบปาก” เปิดจำหน่ายอยู่ ปุยฝ้ายบอกว่าจะเป็นการทยอยทำเอามากกว่า ถ้าถามว่าเพราะอะไร“หนูคิดว่าน้ำพริกหนูมีเอกลักษณ์ในเรื่องของความดั้งเดิม บางคนอาจจะงงว่าดั้งเดิมคืออะไร คนสมัยก่อนเวลาเขาจะทำอาหารทำน้ำพริกเขาไม่ต้องมีวัตถุดิบที่วิริสมาหรา หรือไม่ต้องมีอะไรที่มันสเปเชียล หอม กระเทียม พริก ปรุงตามมีตามเกิดแต่ทำไม มันอร่อยจังเลยอ่ะ ทำไมเรากินข้าวที่ยายทำแม่ทำเราถึงรู้สึกเราชื่นใจ ไปกินร้านอาหารที่ไหนก็ไม่เหมือนที่แม่กับยายทำ เพราะว่ายายกับแม่ทำด้วยความโคตรจะธรรมดา เบสิกคืนสู่สามัญพี่ กินสเต็กให้ตายก็อยากกินส้มตำอยู่ดี กินอาหารหรูอาหารแพงก็อยากกินน้ำพริกอยู่ดี แล้วน้ำพริกที่มันอยู่ในใจอยู่ในความรู้สึกก็คือ น้ำพริกที่มันบ้านบ้าน นี่คือคอนเซ็ปต์”
เมื่อก่อนชื่อน้ำพริกฝ้ายคือ “หมูปุยโฮมเมด” แต่ทำไมถึงเปลี่ยน เพราะว่าช่วงระยะหลังมี “อิสลาม” เข้ามาอยากทานน้ำพริกฝ้ายเยอะมาก เพราะฝ้ายมีน้ำพริกหลายตัวที่ไม่ใช่หมูแต่ชื่อแบรนด์คือ “หมู” มันทำให้อิสลามไม่ทาน ก็เลยเปลี่ยนชื่อน้ำพริกเป็น มีคำว่า “ปุย” อยู่ ปุยคาแรคเตอร์น้ำพริกคือ เผ็ด! ปุยแสบปาก กินแล้วมันเผ็ดแสบปาก“ทีนี้ในเรื่องของการตลาดในอนาคต คิดว่ายังต้องทำการบ้านเยอะเพราะหนูไม่ถนัดเรื่องนี้จริง ๆ ไม่ถนัดเรื่อง financial ด้วยหนูถนัดแต่ว่าทำยังไงให้น้ำพริกอร่อย ส่วนเรื่องตรงนี้จะเป็นแฟนช่วยดูค่ะ ในเรื่องของตลาดของมันตอนนี้ที่เรา Move เข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ผลประกอบการเป็นยังไง เราได้แต่โจทย์ที่ว่าเราต้องขายให้ได้มากขึ้น เพราะตอนนี้ค่าใช้จ่ายเราสูงขึ้น แต่ที่ได้ยินมาก็คือดีกว่าเดิมมาก ๆ เลยค่ะ เพราะว่าที่ผ่านมาเราขายเต็มกำลังการผลิตแล้วแต่ไม่เคยพอ” ณ ตอนนี้เราแก้โจทย์นี้ก่อนก็คือว่า เราผลิตมากขึ้นแล้วดูซิว่าจะพอขายหรือเปล่า ซึ่งคำตอบก็คือมันยังไม่พอ“ที่สุดที่ทำตอนนี้ก็คือวันละ 1,200 กระปุก ก็ขายหมดเกลี้ยงภายในวันเดียว”
ความใส่ใจและรักในสิ่งที่ทำจนกลายมาเป็น “อาชีพหลัก” วันนี้
คือบางคนจะบอกทำไมไม่เล่นละคร ทำไมไม่รับงานเลย บางคนเข้าใจก็ดีบางคนไม่เข้าใจเขาจะมองว่ามึงประสาทมาก มึงทิ้งโอกาสหลาย ๆ อย่าง แต่เรามองว่าตรงนี้เราทิ้งไม่ได้จริง ๆ ถ้าไม่มีฝ้ายน้ำพริกไม่ออก และฝ้ายกำลังทิ้งลูกค้าด้วย สมมุติฝ้ายไม่อยู่สองวันฝ้ายไปถ่ายละครตรงนี้มันปิด มันเงียบ แล้วลูกค้าที่รอล่ะ“เงินมันน้อยกว่าถ่ายละครพี่หนูพูดตรง ๆ ร้อยกว่าบาทแต่ความรู้สึกหนูมันพองโตกว่า (หัวเราะ) หนูอาจจะทำ ถ่ายละครมาเยอะไม่ได้เป็นคนเก่งเรื่องละครด้วย แต่ว่าหนูเต็มอิ่มแล้ว แต่ตรงนี้หนูรู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่มันเพิ่มเติมขึ้นมาคือ ในวันที่เรามีพนักงาน พูดแล้วจะร้องไห้ (เสียงเริ่มเครือสั่น) อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยด้วยค่ะมันก็เลยแบบจะร้อง เหนื่อยแต่ว่ามันมีความสุข ในวันที่เรามีพนักงาน น้ำพริกมันไม่ได้เลี้ยงแค่ตัวเองพี่ วันที่จ่ายเงินเดือนให้พนักงานบางคนอาจจะรู้สึกแย่ที่ต้องเสียเงินใช่ป่ะ แต่หนูดีใจที่หนูได้จ่ายเงินให้เขาค่ะ เพราะตอนที่เขาทำงานกับเราเขาทำเต็มที่ เหมือนที่เราจ่ายเงินให้เขาเรารู้สึกพี่จะได้เอาไปใช้ชีวิต พี่จะได้เอาไปทำในสิ่งที่จำเป็น หนูขออย่างเดียวอยู่กับหนูขอให้รักน้ำพริกหนู หนูบอกเขาอย่างนี้” หนูก็ถือน้ำพริกขึ้นมานี่คือ ผู้มีพระคุณ เลี้ยงหนูทั้งบ้านเลย เลี้ยงครอบครัวพี่ด้วย ใครเอาเท้าดันน้ำพริกหนู หนูโกรธนะ! เพราะเป็นผู้มีพระคุณอย่างเครื่องกวนน้ำพริกให้ หนูยังไหว้เขาเลยเพราะถ้าไม่มีเขา หนูก็คงทำได้แค่วันละ 40-50 กระปุกเหมือนเดิม หนูมีเขาแล้วหนูแบบหนูเติบโตขึ้น“หนูไม่ได้บอกว่านี่คือที่สุดในชีวิต แต่เนี้ยะหนูรัก”
มีแพลนในการทำส่งออก ความฝันเราก็อยากให้น้ำพริกมันไปไกลที่สุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้“หนูใช้คำนี้ดีกว่าหนูเป็นคนไม่คาดหวัง แต่หนูเป็นคนมีเป้าหมาย นี่คือมาเกินคาด หนูไม่มี หนูมีเป้าหมาย แต่หนูไม่คาดหวัง บางคนอาจจะงง ถ้าหนูคาดหวังแล้วมันไม่ได้อย่างงั้นหนูผิดหวังค่ะ แต่ถ้าหนูมีเป้าหมายว่าวันหนึ่งน้ำพริกหนูจะต้องส่งได้ทั่วประเทศ หนูจะไป หนูจะทำ แล้วตอนนี้มันส่งแล้วทั่วประเทศ และหนูมีเป้าหมายว่าหนูอยากให้ประเทศเพื่อนบ้านได้กินน้ำพริกหนู หนูกำลังไป แต่หนูไม่ได้คาดหวังว่ามันจะได้เราไปเพราะแรงขับเคลื่อนที่เรามีเป้าหมาย และทำทุกวันให้ดีพี่ถ้าหนูไปคิดถึงอนาคตมากจนเกินไป หนูจะไม่อยู่กับปัจจุบันน่ะ หนูจะทำทุกวันให้มันดี ถ้าปัจจุบันมันดี ในอนาคตมันจะมาแน่! หนูคิดอย่างงั้นแล้วตราบใดที่เรายังคงจริงใจกับสิ่งที่เราทำ มันคือหัวใจหลัก ทุกวันนี้เหนื่อยน้อยลงก็ได้ หนูทิ้งครัวก็ได้แต่หนูไม่ทิ้ง”มีงานเข้ามาแล้วเมื่อไหร่ก็ตามชนเวลาปรุงน้ำพริกของหนู หนูเลือกที่จะทิ้งงานหนูขออยู่กับน้ำพริก มันทิ้งหมดเลย พูดแล้วก็จะร้องไห้“หนูยึดเป็นอาชีพหลักในชีวิตค่ะ อย่างอื่นเป็นอาชีพรองแล้ว และเป้าหมายของฝ้ายก็คือไม่ได้คิดว่าจะต้องดังไปทั่วโลก แต่เป้าหมายที่หนูตั้งคือตั้งกับตัวเอง คือ หนูจะทำให้ดีที่สุด ตราบใดที่ลูกค้ายังคงเอ็นดู “ปุยแสบปาก” แล้วยังคงกินแล้วอร่อย หนูใช้คำง่าย ๆ เลย กินแล้วยังอร่อยอยู่ แล้วยังคงอุดหนุนกันอยู่หนูก็ไปต่อได้ แล้วก็ไม่เคยคิดว่าต้องหยุดพัฒนาตัวเอง”
จากนักล่าฝันอาชีพ “การร้องเพลง” สู่ธุรกิจ “น้ำพริก” จากความฝันที่เป็นจริง
หนูเข้ามาเพราะความฝันเรื่อง “การร้องเพลง” แต่อยู่ ๆ ความฝันมันก้เปลี่ยนไป ความฝันมันกลายเป็นว่า หนูทำงานทุกอย่างเพราะว่าหนูอยากได้ตังค์ Passion เรื่องเงินเป็นตัวขับเคลื่อนเพราะว่า เราทำงานคนเดียวของบ้าน มันไม่ได้หมายความว่าตอนที่หนูมีโอกาสได้เล่นละครหนูทำไม่เต็มที่นะ หนูเชื่อว่าผลงานที่มันออกมาแล้วก็ผู้ใหญ่หรือผู้ที่ให้โอกาสหนูทุกท่านก็เห็นว่า หนูทำเต็มที่จริง ๆ แค่ว่าลึก ๆ มันไม่ได้สุขมาก ใช่ ทุกคนให้เกียรติมาก ๆ และก็ทำให้หนูรู้สึกชื่นใจจริง ๆ ที่ครั้งหนึ่งตอนที่เราได้มีโอกาสทำงานในวงการบันเทิง เราทำอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าแรงขับเคลื่อนจะเป็นเงินก็ตาม แต่หนูไม่เคยทรยศต่ออาชีพที่ตัวเองทำ หนูไม่อยากให้ใครผิดหวังในตัวหนู หนูทำเต็มที่จริง ๆ แต่ถามว่า Deep รักการเล่นละครแบบ deep ขนาดนั้นมั้ย ไม่ค่ะหนูไม่โกหก แต่ถ้าร้องเพลงอีกเรื่องหนึ่ง“หนูรักการร้องเพลง หนูรักการเล่นมิวสิคัลหนูชอบ อะไรก็ตามที่มันยังมีการร้องเพลงอยู่ในนั้น ใช่ค่ะ หนูทำเต็มที่ ณ ตอนนั้น”
ละคร ยากนิดหนึ่งตรงที่ว่า ใช้เวลานานเป็น routine แล้วทำให้ฝ้ายไม่มีเวลาที่จะทำตรงนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าเมื่อไหร่มันมีเกิดขึ้นในชีวิต ก็จะกระโจนเข้าไปหาเสมอ ก็คือมิวสิคัลค่ะ ก็ยังรอโอกาสนั้นอยู่ก่อนที่จะมีลูกก็อยากจะเล่นสักเรื่องหนึ่ง ถึงแม้ว่าเรามีลูกแล้วเราก็อยากเล่น “เพราะว่าทุกครั้งที่อยู่บนเวทีมิวสิคัลคือมันอิ่มเอมใจ เหมือนเวลาทำน้ำพริกแล้วคนชมแล้วอร่อย อิ่มเอมใจ ฟิวส์เดียวกัน ใช่ค่ะ”
เป็นการเสวนาในครัวทำน้ำพริก (โรงงานน้ำพริกปุยแสบปาก) ที่อบอวลไปด้วยความรู้สึกอัดแน่นถึง “ความตั้งใจ” และประกายแห่ง “ความสุข” ในวันนี้ของปุยฝ้ายAF ที่เธอมีกับเส้นทางสายใหม่ที่กำลังเจิดจ้าในชีวิตทอประกายแสงแห่งความปีติอย่างที่เราเองพอได้รับรู้แล้วก็ร่วมรู้สึกไปกับเธอด้วยจริง ๆ ขอบคุณเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจดี ๆ จากปุยฝ้ายAF “ภัทณชา วิภัทรเดชตระกูล”เจ้าของธุรกิจน้ำพริกแบรนด์ “ปุยแสบปาก” ที่ให้เกียรติร่วมแชร์ประสบการณ์แห่งความสำเร็จในธุรกิจกับเราครั้งนี้
สามารถติดตามหรืออุดหนุนสินค้าแบรนด์ “น้ำพริกปุยแสบปาก” ได้ผ่านช่องทางLine : @puisaabb, FB : Puisabpak by Puifai หรือโทร.092 562 5066
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด