ถ้าหากจะเลือกซื้อแฟรนไชส์ชื่อดังชั้นนำอย่างไก่อย่างห้าดาวกับเชสเตอร์จะต้องมีงบประมาณในการลงทุนมากน้อยเท่าไหร่ และเมื่อลงทุนไปแล้วจะได้อะไรกลับมาบ้าง ซึ่งทั้งสองแบรนด์มีรูปแบบแฟรนไชส์ที่แตกต่างกัน จึงต้องมาดูว่าแฟรนไชส์แบบใดตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน
เริ่มต้นที่ธุรกิจ ไก่ย่างห้าดาว ถือกำเนิดก่อตั้งมาเมื่อปี 2528 และเริ่มขายในปี 2543 ภายใต้บริษัท ซีพีเอฟเรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด โดยสินค้าแรกที่ขายคือไก่ย่างห้าดาวที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ในปี 2543 เริ่มขายแฟรนไชส์ให้ผู้ที่สนใจร่วมธุรกิจและส่งผลให้บริษัทมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีมากกว่า 5,000 สาขาที่ครอบคลุมทั่วไทย
ถ้าหากใครจะลงทุนซื้อแฟรนไชส์ไก่ย่างห้าดาวจะมีค่าแรกเข้าแฟรนไชส์ 5,000 บาท (เก็บครั้งเดียว) ระยะเวลาสัญญา 1 ปี ถ้าต่อสัญญาจะไม่มีค่าใช้จ่าย งบการลงทุนจะอยู่ที่ 99,000-1,000,000 บาท (ขึ้นอยู่กับรูปแบบที่ผู้ประกอบการเลือก) เงินทุนหมุนเวียน 30,000 บาท ค่าธรรมเนียมการตลาด 1.5% จากยอดซื้อสินค้า และอัตราการคืนทุนจะขึ้นอยู่กับทำเลที่ขาย
สิ่งที่ผู้ประกอบการจะได้รับ คือทางแบรนด์จะมีการประเมินพื้นที่ขายให้หากมีทำเลเอง การฝึกอบรม ระบบตรวจสอบคุณภาพ การส่งสินค้าไปยังจุดดำเนินธุรกิจ การพัฒนาสินค้าใหม่ รายการโปรโมชันอย่างต่อเนื่องและการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนผู้บริโภคไปยังจุดที่ขายให้
ปัจจุบัน ไก่ย่างห้าดาวมีอัตราการเติบโตของการขยายสาขาเพิ่มขึ้น 22%
แฟรนไชส์ที่สองคือ เชสเตอร์ ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2531 และเริ่มขายในปี 2537 ภายใต้บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด โดยที่เชสเตอร์ถือกำเนิดขึ้นในฐานะธุรกิจอาหารฟาสต์ฟูดระดับสากลของคนไทยเป็นรายแรกที่มีคุณภาพมาตรฐานเทียบเท่ากิจการฟาสต์ฟูดชั้นนำจากต่างประเทศ
แฟรนไชส์เชสเตอร์จะเป็นร้านในรูปแบบของ Restaurant ขนาดพื้นที่ 100x120 ตารางเมตร มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าไม่รวม vat 700,000 บาท ค่ารอยัลตี้ 4% ของยอดขาย ค่าการตลาดส่วนกลาง 3% ของยอดขาย งบการลงทุน 6 ล้านบาท ส่วนระยะเวลาในการคืนทุนทางแบรนด์ยังไม่มีข้อมูลเปิดเผย เงื่อนไขข้างต้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมโดยที่ไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า
สิ่งที่ผู้ประกอบการลงทุนจะได้รับจากแบรนด์คือ ได้เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ที่เป็นที่ชื่นชอบและครองใจลูกค้าทั่วประเทศมากว่า 24 ปี ได้รับการยอมรับจากลูกค้าด้วยรสชาติที่หลากหลายและถูกปากคนไทย มีฐานลูกค้าในทุกที่ที่เปิดร้านที่แสดงถึงหลักประกันของการมีกำลังซื้อจำนวนมาก
ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้รับทั้งการวิจัยทางการตลาด การพัฒนาสินค้าและแนวทางธุรกิจใหม่ๆ การสนับสนุนด้านวัตถุดิบ เทคโนโลยี ตลอดจนความรู้ความชำนาญในการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งได้รับคำปรึกษาเกี่ยวกับการบริหารจัดการร้านตั้งแต่เริ่มและตรวจเยี่ยมร้านพร้อมโปรแกรมรับรองด้านคุณภาพและการสนับสนุนดูแล
นอกจากนี้ ยังได้รับคำปรึกษาด้านการเลือกทำเลร้าน การออกแบบร้าน การก่อสร้างและจัดหาอุปกรณ์ มีการฝึกอบรมทีมงานทุกระดับก่อนเปิดสาขาอย่างน้อย 30-45 วัน ทางบริษัทจะจัดเก็บค่าบริหารจัดการ 5% จากสินค้าและวัตถุดิบที่สั่งและส่งไปจากบริษัท ได้รับการฝึกอบรมด้านการบริหารร้านที่ร้านสาขาของบริษัทเป็นเวลา 7 วัน รวมถึงเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงในช่วงเปิดร้าน 2 เดือนแรกโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ปัจจุบัน เชสเตอร์มีจำนวนสาขาที่แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ เป็นร้านของบริษัทเอง จำนวน 100 สาขา และร้านแฟรนไชส์มีทั้งหมด 100 สาขา รวมเป็นทั้งหมด 200 สาขา นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม แฟรนไชส์ทั้งสองแบรนด์มีความแตกต่างทั้งด้านรูปแบบแฟรนไชส์ การลงทุน ทำเลที่ขายและรูปแบบร้าน ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการจะชื่นชอบหรือตัดสินใจเลือกลงทุนกับแฟรนไชส์ไหนให้ตอบโจทย์ตัวเองมากที่สุด
ที่มา : ThaiFranchiseCenter
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *