xs
xsm
sm
md
lg

เมืองไทยก็มี!! 3 นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเมดอินไทยแลนด์ เอ็นไอเอ หนุนทุนแบบให้เปล่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“รถยนต์ไฟฟ้า” ยอดขายทั่วโลกที่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่องจาก 3.1 ล้านคันในปี 2563 เป็น 6.5 ล้านคันในปี 2564 และ10.2 ล้านคันในปี 2565 กว่า 14 ล้านคันในปี 2023 รวมถึงขึ้นมาเป็นแบรนด์ยานยนต์ที่มูลค่าสูงสุดในโลกจากผู้พัฒนาเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง “เทสล่า” ส่วนประเทศไทยเองก็ไม่น้อยหน้า ซึ่งล่าสุดพบว่ายอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจาก 570 คันในปี 2562 เป็นกว่า 66,000 คันในปี 2566 และล่าสุดในงานมหกรรมยานยนต์ชื่อดังมียอดจองรถกว่า 53,248 คัน เป็นรถ EV มากกว่า 20,400 คันเลยทีเดียว

โดยรัฐบาลวางเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนของภูมิภาคเอเชีย และผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ภายในปี 2573 มีรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ร้อยละ 30 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ส่วนแผนระยะยาวตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 การเตรียมความพร้อมระบบนิเวศสำหรับยานยนต์ไฟฟ้ารอบด้าน โดยส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า


ด้วยเหตุนี้ ทาง สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA จึงได้เลือกยานยนต์ไฟฟ้าและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เป็นหนึ่งในสาขา โครงการนวัตกรรมด้านเศรษฐกิจเพื่อรับทุนสนับสนุนธุรกิจนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ “Mandatory Innovation Business Platform” หรือ “เงินทุนให้เปล่า” วงเงินสูงสุดไม่เกินโครงการละ 5 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งการทดสอบตลาด การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ การทดสอบมาตรฐานและการขยายผลนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์ โดยในปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการ ขอรับการสนับสนุนกว่า 100 ราย โดย NIA ยังพร้อมช่วยสร้างโอกาสและเชื่อมโยงไปสู่ตลาดที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยว การคมนาคม อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า การระดมทุนฯลฯ วันนี้ พามารู้จัก กับ แพลตฟอร์มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และเกี่ยวเนื่อง รับทุนจาก NIA แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในประเทศไทย


Winnonie (วินโนหนี้) – วินรักษ์โลกที่ใครใช้ก็วิน สะท้อนพี่วินยุคใหม่ใส่ใจโลก

Winnonie หรือ วินโนหนี้ สตาร์ทอัพรายแรกของประเทศไทยให้บริการแพลตฟอร์มรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและเครือข่ายสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่อัตโนมัติ โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากปัญหาของกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ ร้อยละ 60 เป็นค่าใช้จ่ายในการผ่อนรถและค่าน้ำมัน ซึ่งแพลตฟอร์มเช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าวินโนหนี้ โดยส่วนที่ให้บริการหลัก 3 ส่วน ได้แก่ 1) รถจักรยานยนต์ไฟฟ้านำเข้า ขนาดเครื่องยนต์เทียบเท่ารถน้ำมันขนาด 125 ซีซี ใช้แบตเตอรี่สองลูกใช้งานได้ 80 - 100 กิโลเมตรความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 2) แบตเตอรี่พร้อมใช้งานและสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ และ 3 แอปพลิเคชัน โดยคิดอัตราค่าเช่าเป็นรายเดือน เริ่มต้นที่ 4,200 บาท หรือประมาณ 140 บาท/วัน ซึ่งรวมค่าบริการในการบำรุงรักษา พร้อมบริการสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่อัตโนมัติ (Automatic Battery Swapping Station) ที่ไม่ต้องเสียเวลารอชาร์จไฟฟ้า สามารถเข้ามาสับเปลี่ยนได้ทันทีใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าร้อยละ 50


นับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงปัจจุบัน Winnonie มีผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและบริการสับเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ ณ สิ้นปี 2566 กว่า 1,000 ราย มีสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้บริการแล้ว 120 สถานี ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้ได้ร้อยละ 10 ภายในปี พ.ศ.2569 จากกลุ่มผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างและกลุ่มไรเดอร์ซึ่งมีจำนวนมากถึง 500,000 คัน และจากตลาดผู้ใช้รถจักรยานยนต์จำนวน 4 ล้านคันในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ หากโครงการประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดโลกร้อน และลดมลภาวะทางเสียง ตอบโจทย์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมตามนโยบาย Net Zero และ ด้านเศรษฐกิจ BCG ช่วยให้เกิดการเติบโตของ GDP เนื่องจากมีการจ้างงานและเพิ่มการพัฒนานวัตกรรมในประเทศ มีการผลิตทั้งสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ และ Software ฯลฯ ซึ่งอาจต่อยอดไปถึงธุรกิจการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในอนาคต รวมถึงด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ทำให้ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างมีรายจ่ายคงที่ มีรายได้เพิ่มขึ้น และได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น


“มูฟมี” ผู้เปลี่ยนตุ๊กตุ๊ก ไทยแลนด์ ซอฟต์พาวเวอร์ “เที่ยว – เดินทาง” ด้วยการ “แชร์” สิ่งดี ๆ ให้เพื่อนร่วมทาง

มูฟมีเป็นบริการขนส่งสาธารณะในรูปแบบ “รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า” ซึ่งมีจุดเด่นที่ขนาดเล็กกะทัดรัด สามารถลัดเลาะเข้าตามตรอก ซอกซอยได้อย่างคล่องตัว และขนส่งผู้โดยสารได้หลายคนต่อเที่ยว จึงกลายมาเป็นนวัตกรรมรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า MuvMi ที่มาในรูปลักษณ์ใหม่ที่แตกต่างจากรถตุ๊กตุ๊กแบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่ทันสมัย โปร่ง นั่งสบาย เงียบ โครงสร้างที่แข็งแรง จุดศูนย์ถ่วงต่ำ โอกาสพลิกคว่ำมีน้อย ปลอดภัย ใช้พลังงานไฟฟ้า หมดปัญหาเรื่องกลิ่นหรือเสียงดัง และไม่ปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม


ยิ่งไปกว่านั้น MuvMi ยังมีจุดเด่นในด้านการให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน ‘MuvMi’ ที่เพิ่มความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ทั้งบอกข้อมูลเส้นทางการเดินทาง ปริมาณแบตเตอรี่ และตำแหน่งสถานีชาร์จ พร้อมบริการเรียกรถ โดยคิดค่าโดยสารตามระยะทางจริง ช่วยลดปัญหาเรื่องราคาค่าโดยสารไม่แน่นอน การเรียกเก็บค่าโดยสารเกินจริง หรือแม้แต่การเจรจาต่อรองในกรณีที่ผู้โดยสารเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติพูดภาษาไทยไม่ได้

นอกจากนี้ ยังมีระบบ Ride Sharing ที่ผู้โดยสารสามารถเลือกได้ว่าจะเดินทางเพียงคนเดียวในราคาเหมาจ่าย หรือเปิดให้แชร์ที่นั่งได้ โดยแชร์ได้สูงสุดถึง 6 คน มีค่าโดยสารเริ่มต้นเพียง 10 บาท ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2561 จนถึงปัจจุบัน MuvMi รองรับผู้โดยสารไปแล้วมากกว่า 3.7 ล้านเที่ยวมีรถตุ๊กตุ๊กให้บริการ 350 คัน มีจุดรับ 1,000 จุด กระจายอยู่ใน 12 พื้นที่ในกรุงเทพฯ และมีเป้าหมายจะเพิ่มเป็น1,000 คัน พร้อมทั้งขยายพื้นที่บริการ ไปสู่หัวเมืองหลักอื่นๆและเมืองท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ และภูเก็ต ในอนาคต


กอล์ฟดิกก์ นวัตกรรมชูอิมเมจสนามกอล์ฟไทยท็อป 5 โลก

กอล์ฟดิกก์ สตาร์ทอัพที่ใช้นวัตกรรมมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและยกระดับคุณภาพการบริการในสนามกอล์ฟ เพื่อใช้เป็นจุดขายดึงนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูงจากทั่วโลกพร้อมหวังจุดประกายให้สนามกอล์ฟในไทยเห็นความสำคัญของ Sustainable energy solution

จากการที่อยู่ในแวดวงธุรกิจสนามกอล์ฟมาก่อน ทำให้กอล์ฟดิกก์มองเห็นทั้ง “ศักยภาพ”และ “จุดอ่อน” ของธุรกิจ สนามกอล์ฟไทยซึ่งเป็นทั้งกีฬาและการท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีกำลังซื้อสูงทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้ปีละกว่า 1,000,000 คน มีมูลค่าตลาดประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี


โดยประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง TOP 5 ของนักกอล์ฟจากทั่วโลก และนักกอล์ฟมากกว่าร้อยละ 70 ใช้รถกอล์ฟ แต่กลับพบปัญหาว่ากว่าร้อยละ 90 ของรถกอล์ฟในสนามใช้แบตเตอรี่แบบตะกั่วกรด (Lead Acid Battery) ซึ่งมีอายุการใช้งานสั้นแค่ประมาณ 2 ปี และมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนสูงเฉลี่ย 25,000 บาท/คัน/ครั้ง อีกทั้งยังไม่สะดวกในการใช้งาน เนื่องจากการชาร์จแบตเตอรี่แต่ละครั้งต้องจอดรถทิ้งไว้นานถึง 8 ชั่วโมง และมีโอกาสที่แบตจะหมดระหว่างใช้งานโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ยิ่งไปกว่านั้นหากชาร์จไฟทิ้งไว้ในเวลากลางคืนโดยไม่มีระบบป้องกันที่ดีพอก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดไฟไหม้ นอกจากนี้ ยังมีความยุ่งยากในขั้นตอนการบำรุงรักษา

สำหรับ “กอล์ฟดิกก์” เป็นระบบบริหารจัดการรถกอล์ฟให้มีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างยั่งยืนที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาทั้งในเรื่องแบตเตอรี่และการบริหารจัดการโดยให้รถกอล์ฟเปลี่ยนมาใช้ Lithium Ion NMC ที่มีความสามารถในการกักเก็บพลังงานได้มากกว่าแบตตารี่แบบเดิมถึงร้อยละ 50 น้ำหนักเบากว่าถึง 5 เท่า ไม่ต้องเสียเวลาจอดชาร์จทิ้งไว้นานถึง 8 ชั่วโมง ควบคู่กับการพัฒนาระบบบริหารจัดการรถกอล์ฟในรูปแบบ Online fleet management system ที่ช่วยให้ทราบสถานะและติดตามการทำงานของรถกอล์ฟได้แบบ Real-time ทำให้สามารถวางแผนและบริหารจัดการการใช้งานรถกอล์ฟได้อย่างมีประสิทธิภาพมีรถกอล์ฟใช้งานอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาสถานีสำหรับการสลับแบตเตอรี่ ทำหน้าที่ในการชาร์จแบตเตอรี่ พร้อมระบบบริหารจัดการเลือกใช้พลังงานจากแหล่งที่เหมาะสมที่สุดในขณะนั้น และมีการเชื่อมต่อกับ "GM - POWERWALL" ที่มีการนำแบตเตอรี่กลับมาใช้ใหม่สำหรับกักเก็บพลังงานที่เหลือใช้ (Second Life Battery)


ปัจจุบัน กอล์ฟดิกก์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นโครงการและให้บริการรถกอล์ฟภายในสนามกอล์ฟในประเทศไทยเท่านั้น แต่ก็ถือเป็นการจุดประกายให้หลายสนามกอล์ฟในไทยเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืน และยอมลงทุนกับประเด็นดังกล่าวมากขึ้น และในอนาคตกอล์ฟดิกก์ได้ตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนานวัตกรรมนี้ไปใช้กับรถกอล์ฟนอกสนามกอล์ฟกว่า 200,000 คันในประเทศไทย และมากกว่า 1,000,000 คัน ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งมีแผนที่จะต่อยอดไปยังรถอื่นๆ เช่น รถตัดหญ้า หรือรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตรอีกด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น