เปิดใจ! เจ้าแม่ผับอีสานแนวอินดี้ “มี๊เกศ” กับปรากฎการณ์ร้านข้าวแกงบุฟเฟต์ 59 บาททำไมต้องมี “โคโยตี้” สาวสวยมาเสิร์ฟอาหารให้ ธรรมดาโลกไม่จำ! พลิกจากขาดทุนหลักล้านด้วยคอนเท้นต์ล้านแตก!!! แจ้งเกิดธุรกิจใหม่ได้สำเร็จในชั่วข้ามคืน
เราทำผับมาก่อน เราทำผับแนวอีสาน แนวหมอลำ เราทำเล้าจ์มาเราทำผับมาคือเราทำธุรกิจมาทุกอย่างแล้ว แล้วพอมันหมดสัญญาเช่า ซึ่งมันไปตรงกับโควิดฯ พอดีตอนนั้น เราก็เลยย้ายมาที่นี่ พอย้ายมาที่นี่ก็คือมาสร้างใหม่หมดเลย แล้วช่วงที่รอ อะไรที่มันสร้างใหม่มันไม่ได้ง่าย ช่วงที่รอบ้านเลขที่รออนุญาตอะไรทุกอย่าง เราก็เลยแบบคุยกับลูก ๆ ว่าเราต้องทำอะไรให้เด็ก ๆเขาอยู่ได้ “เพราะว่าเด็ก ๆ เขาอยู่กับเรามาเขาก็ไม่อยากไปไหนแล้ว อะไรที่ทำได้อะไรเงี้ยเขาก็บอกแม่ ทำเหอะแล้วแถวนี้มันยังไม่มีอย่างเงี้ย กลายเป็นว่าพอเราก็คุยกับเด็กอย่างที่บอกว่า ถ้าเราทำขายข้าวแกงอย่างเดียว ขายลาบอย่างเดียว มันช้านะกว่าลูกค้าจะรู้จัก ต่อให้เราโปรโมตแค่ไหน เราต้องมีคอนเท้นต์ของเราเอง เราต้องมีจุดขายของเราเอง รสชาติอาหารเราก็ต้องตายตัวของเรา คือทุกอย่างเราก็ต้องมีจุดยืนของเราเอง” มี๊เกศ-เกศแก้ว โสภาเลิศเจ้าของร้านข้าวแกงบุฟเฟต์ 59 บาท พุทธมณฑลสาย 1 เปิดประเด็นใจฉบับนักสู้กับทีมงาน “ชีวิตใหม่” ในวันซึ่งธุรกิจใหม่ของเธอกำลังไปได้สวยกลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงกันมากในโลกโซเชียลฯ และนำมาซึ่งลูกค้าที่หลั่งไหลเข้าร้านอย่างถล่มทลายจากอิทธิพลของ “คอนเท้นต์” ที่ใช้เป็นสื่อในการโปรโมตหลักของร้าน และมันได้ผลอย่างที่เจ้าของเองยังบอกว่าเหลือเชื่อมาก ๆ !!!
ข้าวแกงบุฟเฟต์ 59 บาท ถ้าธรรมดา “โลกไม่จำ”!
มี๊เกศ เล่าว่า แรก ๆ คือเปิดขาย “ร้านลาบ” อาหารอีสานตอนกลางคืนก่อนแล้วเราเห็นว่าตอนกลางวันมันว่าง แล้วพื้นที่ของเรามันเยอะและลูกน้องของเราเองก็มีเยอะด้วย ก็เลยคุยกันว่าทำอะไรดี ส่วนตัวเราเองเป็นคนชอบกินข้าวแกง ก็เลยคุยกับเด็ก ๆ ว่างั้นขาย “ข้าวแกง” แต่ถ้าขายธรรมดามันก็ แถวนี้มันก็มีเยอะแล้ว ก็ต้องหาอะไรที่มันเป็นจุดขาย และที่สำคัญก็คือรสชาติเราก็ต้องไปได้ด้วย มีจุดขาย มีรสชาติไปได้ ก็คืออย่างหลาย ๆ คนเขาทำบางคนก็จะทำมาเพราะว่านานแล้ว ทำเพราะฝีมือ แต่เราอยากให้มันไปคู่กันคือ มีจุดขายด้วย มีจุดเด่นด้วยและก็รสชาติอาหารด้วย และก็วัตถุดิบที่เรานำมาประกอบด้วย
จุดเด่นของร้านข้าวแกงบุฟเฟต์ 59 บาท พุทธมณฑลาสาย1 ที่พอเข้ามาที่ร้านจะเห็นเลยคือ อาหารที่มีหลากหลายอย่างวางเรียงรายอยู่จนดูสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว“เกือบ 100 ค่ะถ้าเป็นเสาร์-อาทิตย์ก็ประมาณ 100 กว่า ถ้าเป็นวันธรรมดาก็จะอยู่ที่ 70-80 แต่ถ้าเป็นวันหยุดเลยก็จะอยู่ที่ 100 กว่า เพราะว่าเราจะสแตนบายครัวตั้งแต่ตี 3 กับข้าวจะเริ่มทยอยออกก็ตี 5” ส่วนใหญ่ลูกค้าที่ไปกินมาเขาก็จะบอกว่า ที่อื่นนะเขาจะมีแบบ “แกง” ก็คือเทใส่ถาดแล้วก็คือตักราดหมดเลย แต่ในความรู้สึกของเรา เราเป็นคนกินข้าวแกงเราว่าที่มันเป็นน้ำแล้วเอาไปราดมันแฉะ“เรามีถ้วยให้ลูกค้า แล้วลูกค้าสามารถนำถ้วยใบเดียวเนี่ย กินให้หมดแล้วก็มาเติม คือแบบอยากกินอะไรอยากกินไอ้นี่อยากกินพะโล้ กินพะโล้หมดก็มากินแกงเทโพ กินเทโพหมดมากินต้มขาหมู ต้มขาหมูหมดมากินต้มจืด มากินแกงหน่อไม้ มากินแกงเขียวหวาน มัสมั่น ฯลฯ คือคุณสามารถกินได้ทุกอย่าง”
แล้วเราก็มองว่า คือลูกค้าถ้ากินไม่ใช่แบบนั่งกินข้าวอย่างเดียว แล้วแบบคุยกันมันก็แบบคือปกติทั่วไป แต่ถ้าเอ้อมาแล้วแบบมีอะไรแปลกหูแปลกตาด้วย มันก็จะแบบประมาณว่าปากต่อปาก กลายเป็นจุดขาย รสชาติไปได้นะ มันก็มีบ้างที่ “ทัวร์ลง” แต่ว่าเรามองข้ามตรงนั้นไป เพราะว่าเรามองว่าลูกค้าประจำเราส่วนใหญ่แล้วก็ลูกค้าที่มาคือเขาโอเค เราก็มองว่าตรงนี้มันไปได้ แล้วก็ลูกค้าทุกคนคือแฮปปี้
เลือกอิ่มกับเมนูหลากหลาย แถมอาหารตาให้จุใจจนเกินคุ้ม!
“มันก็เกินคาดจากที่เราคิดว่า ให้ลูกน้องมีงานทำเนาะแล้วก็ร้าน จะได้มีคนรู้จัก กลายเป็นว่าแบบชั่วข้ามคืนอะไรเงี้ย กระแสมาเต็มเลย” ซึ่งน้อง ๆ พีอาร์พริตตี้ของเราก็จะเป็น เด็ก ๆ ที่ทำงานอยู่กับเราอยู่แล้ว เป็นทีมงานของเราอยู่แล้ว เพราะว่าอย่างแต่ละสัปดาห์เราก็จะคุยกันว่าแม่อาทิตย์เอาเป็นยังไง ไม่ใช่ว่ามีแค่แดนเซอร์โคโยตี้อย่างเดียว ธิดาจำแลงก็มี หนุ่มหล่อก็มี เทพบุตรเวียนนาก็มี ธิดาช้างระดับประเทศ คือมีหมดเพียงแต่ว่าช่วงไหนที่กระแส อย่างตอนนี้กระแสลูกค้าอยากจะดูน้อง ๆ เราก็เอาลูกกระแสนี้ติดสัก 2-3 อาทิตย์นะ ให้ลูกค้าเขาเบื่อก่อน แล้วเราก็จะหมุนเวียนไปเป็นอย่างอื่น มันไม่ได้มีตายตัวว่าต้องมีโคโยตี้ต้องมีน้อง ๆ มา กลายเป็นว่าลูกค้าเขาก็จะสอบถามบางคนเขาก็บอกว่า ถ้าเรามาเนี่ยอยากจะเห็นน้อง ๆ ต้องมาวันไหน ก็บอกอ๋อต้องมา “วันอาทิตย์” เพราะว่ามีทุกวันไม่ไหว ตาย! (หัวเราะ)“คือแบบเพลินตาเพลินใจ แบบว่าสุขใจมีความสุขเลย นั่งกิน 59 บาทคือแบบเราไม่ได้จำกัดเวลาด้วย บุฟเฟต์เราคุ้มค่านั่งทานไปเลยเรื่อย ๆ ค่ะ ขอแค่ว่าลูกค้าทานให้หมด”
เราการันตีได้เลยว่าวัตถุดิบที่เราใช้คือมาตรฐานเดียวกับที่อื่นใช้แน่นอน อย่างบางที่ “กบ” ไม่มีนะ แต่ของที่นี่กบมี หมูป่ามี บางคนลูกค้ามาไม่กินอย่างอื่นตั้งใจมากินผัดเผ็ดกบ ดูรีวิวตั้งใจมากินผัดเผ็ดกบ ตั้งใจมากินผัดเผ็ดหมูป่า ตั้งใจมากินแกงคั่ว ตั้งใจมากินแกงมัสมั่น“อย่างเงี้ยเราก็เลยมีความรู้สึกว่า เราก็ดีใจและก็ประทับใจสำหรับลูกค้า ที่เขามากินแล้วเขาแบบปลื้ม แล้วส่วนใหญ่ก็ซื้อกลับบ้านด้วย” คือพอเขามากินแล้วถูกปาก กินประจำแล้ว ก็คือ 06.00-07.00น.แทบจะเป็นปิ่นโตกันเลย เจ้าละ 10ถุง 20 ถุง เจ้าละ 15 ถุง เจ้าละ 5 ถุง คือขั้นต่ำ 5-6 ถุง อย่างบางคนก็จะโทรมาจองเพราะว่าอย่างที่ร้านเองมีไลน์แมนมีออนไลน์ด้วย ก็จะแบบเจ้าละ 4-5 ถุงอย่างน้อย ๆ ก็ต้องมี5 ถุงขึ้น แล้วกับข้าวคือลูกน้องตักให้แบบเต็มถุงไปเลย ราคากับข้าวเริ่มต้นที่ 40 บาท ไม่เกิน 60 บาท อย่างเป็นพวกหมูป่า หรือว่ากบเป็นพวกเนื้อก็จะอยู่ที่ 60 บาท พวกผัดผักต่าง ๆ ก็จะอยู่ที่ 40 บาท นอกนั้นก็อยู่ที่กลาง ๆ ก็คือ 50 บาท
ขยับจากยอดขาย “หลักพัน” สู่หลักเกิน “ครึ่งแสน/วัน” สำเร็จ!!!
ระยะเวลาการเปิดดำเนินงานของร้านนับถึงตอนนี้ “มี๊เกศ” บอกว่า นี่เข้าเดือนที่ 5 แล้ว คือประมาณเดือนที่ 2 คนเริ่มรู้จัก“แรก ๆมันขาดทุนอยู่แล้วทำข้าวแกง ไหน ๆ เราก็ขาดทุนอยู่แล้วและก็ ในเมื่อเราคิดที่จะทำแล้วเป็นคนที่ใจใหญ่(หัวเราะ) ในเมื่อเราคิดที่จะทำอะไรอย่างเงี้ย มันต้องยอม เราต้องยอม แต่ทีนี้ไอ้ความที่ว่าเรายอมขาดทุนแล้ว ยอมลงทุนแล้ว เราจะทำยังไงเพื่อที่จะตีตลาด หรือว่าจะดึงคนมาได้ แล้วอย่างลูกค้าเขาบอกแถวนี้ของกินมันเยอะนะ แล้วอีกอย่างหนึ่งแถวนี้มันยังไม่ค่อยเจริญ ทำยังไงให้เราเป็นจุดเด่นทำยังไงให้คนรู้จักตรงนี้ ทำยังไงให้แบบว่าร้านเรามันดัง”ก็เลยหันมามองว่าเดี๋ยวนี้โซเชียลฯ มันมาเร็วแล้วก็อะไรก็ตาม ที่มันผ่านโซเชียลฯ แป๊บเดียวกระแสมันจะไปเร็ว แต่เราจะทำยังไงให้โซเชียลฯ เริ่มรู้จักร้านเรา“ก็ตอนแรก ๆ ก็ยิงเพจ ก็ยอมอัดเพจยิงเพจ แล้วก็บางทีลูกน้องเขาก็ท้อ แม่ยิงไปเป็นเดือนแล้วเนี่ยยอดคนกดติดตามมันแค่ 100 กว่าเอง เออใจเย็น ๆ เถอะเราทำอะไรต้องใจเย็น แต่เยอะแล้วนะ อะไรอย่างเงี้ยคือเขากลัวเราไม่ไหว อย่าไปคิดอะไรมากคนที่จ่ายตังค์คือกู พวกมึงทำให้ดีที่สุดก็พอ เชื่อแม่ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเวลาของมัน มันมีจังหวะของมัน คือเราจะให้กำลังใจเด็ก ๆ ลึก ๆ เราก็ให้กำลังใจตัวเองด้วย เพราะว่าในเมื่อเราทำแล้วเราก็ต้องมั่นใจในสิ่งที่เรา”
รายได้หลักจะมาจากกะกลางคืนมากกว่า แต่ว่าตอนหลัง ๆ มานี่ก็คือพอตรงนี้ลูกค้ามันเยอะแล้ว ก็คือโอเค“ถ้าเสาร์-อาทิตย์นี่พีคมาก จากที่แบบเมื่อก่อนเต็มที่ไม่เกิน 200-300 คน/วัน เพราะว่า 59 บาทใช่มั้ย 5,000 นี่ก็ต้อง 100 คนใช่มั้ย แต่ตอนนี้มันคือแบบว่ายอดมันครึ่งแสนขึ้นไป ยอดมันก็ต้องเป็น 1,000 คนใช่ป่ะ ก็คือแบบว่าพีคขึ้น” กลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้จากที่เมื่อก่อนเราจะใจเย็นหน่อยพาลูกน้องทำกับข้าว เดี๋ยวนี้เราต้องแบบแมฟเด็ก ๆ 09.00น. คือต้องเสร็จแล้วนะ แล้วถ้าอันไหนหมดหรือว่าของมันขาดเยอะ ถ้าวัตถุดิบยังเหลือคือเอามาเติม เพราะเวลาทำจะทำหม้อใหญ่แล้วอุ่นไว้ตลอด แล้วทยอยเอามาเติม
กระแสลบ(ทัวร์ลง!) มันก็มี แต่ถ้าเราคิดดีแล้วก็ไปให้สุด
มี๊เกศยังบอกด้วย กระแสลบมันก็มี มีเหมือนกัน“กระแสลบเขาก็บอกว่ามันไม่สมควร ที่จะเอาเด็กมาแต่งตัวแบบนี้มาตักข้าวแกงแบบนี้ มาทำแบบนี้คือมันไม่สมควร ดูยั่วยุ อะไรอย่างเงี้ยเหมือนที่บอกว่าบางคนเขาก็ถาม ว่ามีลูกค้าไปลวนลามเด็กบ้างมั้ย เราบอกอ๋อไม่มีเลยเพราะลูกค้าของเรา คือมันเป็นร้านข้าวแกงก็จริงนะแต่คุณอย่าลืมว่ามันเป็นร้านกลางวัน ก็คือมันไม่ใช่ร้านเหล้าไม่ได้มีเหล้ามีอะไรขาย แต่ที่เราเอาน้อง ๆ มาทำก็คือแบบให้เป็นสีสันแล้วก็ คือเป็นจุดขายของร้านก็ทำให้ร้านเรามีสีสันขึ้น แล้วก็แบบว่าคึกคักขึ้น”จริง ๆ มันคือต้นทุนที่เยอะมากเหมือนกัน ลูกค้าบางคนเขาก็พูดโห! พี่เกศกำไรได้เนี่ยเอาไปลงที่น้อง ๆ เลยใช่มั้ยเนี่ย เราก็บอกว่ามันก็ต้องอย่างงั้น ถ้าเราคิดที่จะทำก็เหมือนกับเราทำกิจการอะไรก็ตาม เราลงทุนทำธุรกิจ มันไม่มีที่ไหนหรอกลงทุนแรก ๆ เราจะได้กำไรเลย มันไม่มีหรอกในความรู้สึกของเรานะ ทุกอย่างที่เราทำเราทำธุรกิจมา เราจะเจอแบบนี้ตลอดอย่างน้อย ๆ มันคือต้องยอมขาดทุน แม้กระทั่งเราปลูกบ้านสร้างบ้านเราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อบ้านเราเสร็จอย่างเงี้ย เราก็มองอย่างนั้น เหมือนกันเราทำธุรกิจมันจะเสร็จสมบูรณ์เราจะมีความสุขก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างมันสมบูรณ์แบบเราก็จะมีความสุข
“เราบอกตรง ๆ เลยนะ โควิดฯ นี่แบบร้องไห้เลยนะ เพราะว่าคอนเสิร์ตน่ะตอนนี้ศิลปินหลาย ๆ คนและก็วงดนตรีหลาย ๆ วงที่เรามัดจำไป คือเราต้องรอเปิดร้าน เขาไม่ได้คืนมัดจำให้เราใช่มั้ยต้องรอเปิดร้าน แล้วเนี่ยเราเหลือเวลาแค่ 2-3 วัน แล้วเงินที่เราวาง ๆ ไปแล้วเขาบอกว่า 14 วันไม่มีจริงใช่มะ? มันล่อไปกี่ปีล่ะจนแบบสัญญาเราหมด แล้วลูกน้องเราล่ะเขาต้องกินต้องใช้ ถามว่าท้อมั้ย? เงินเก็บที่มีอยู่ อะไรที่มีอยู่คือเราขายหมดเลย แต่ถ้าเราท้อล่ะเรามองกลับมาที่ลูกน้องเขาก็ยังต้องกิน”บางทีเขาบอกแม่ยังไม่ต้องจ่ายก็ได้ ขอตังค์ซื้อบุหรี่มีเหล้าให้เขากินมีกับข้าวในครัวให้เขากิน แล้วมันทำให้เราแบบมีความรู้สึกว่า ถ้าเราท้อเราเป็นหม้อข้าวหม้อใหญ่ของเขา ถ้าวันไหนเขาเดินเข้ามาแล้วไม่มีข้าวกินไม่มีน้ำกินอย่างเงี้ย กำลังใจ เราก็แบบจากที่โควิดฯ นะพาลูกน้องทำข้าวกล่อง“แล้วพี่ทำแบบว่าเราไม่ได้ทำตรงนี้อย่างเดียว พี่ทำรับเหมาก่อสร้างด้วยตกแต่งภายในอะไรพวกนี้ด้วย เราก็มีงานตรงนั้น แต่พอคำสั่งมาที่แบบให้ปิดพวกธุรกิจก่อสร้างเป็นเดือนเราก็หยุดหมดเลย! คือมันก็จมหมดเลย อะไรที่มีอยู่คือขายหมดเลยจมหมดเลย” ถามว่าท้อมั้ย คือท้อเราก็จนแบบมันต้องสู้ ก็คือแบบคุย คุยกับลูกน้อง คุยกับคนรอบข้างคุยกับทุกคนว่า สู้อีกครั้งหนึ่ง!
ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง และสิ่งที่เราทำ!
10 กว่าปีมาแล้วตั้งแต่ ทำร้านชิล ทำเล้าจ์ ทำคาเฟ่แล้วก็ทำผับ คือทำทุกอย่างทำมาทุกอย่างแม้กระทั่ง สปา อาบอบนวด คือพี่ทำมาหมดเลยธุรกิจ เราอยากรู้อะไรเราโชคดีที่เรามีต้นทุนที่ดีกว่าคนอื่นนิดหนึ่ง เราอยากทำอะไรเราทำเลย“เวลาอยากเป็นอะไรอย่างเงี้ย อย่างพี่อยากเปิดผับหมอลำตอนนั้นแนวอินดี้กำลังมาแรง ตอนนั้นเราเปิดเป็นเล้าจ์อยู่เราเบื่อเด็กนั่งดริ้งเบื่อเด็กที่แบบมันทะเลาะกับลูกค้า แล้วก็มันแบบหยุมหยิม เรามาทำแนวที่แบบ ลองไปหาแบบแปลก ๆ ดูเราก็ไปตระเวนดู ว่าแนวอินดี้แนวอีสานไปศึกษามันต้องเป็นยังไง ต้องทำยังไง” อยากได้แบบนี้ เอาแบบนี้มาลอง อยากได้แบบนี้เอาแบบนี้มาลอง คือลองผิดลองถูกจนเรารู้หมดแล้วว่าเราต้องทำยังไง ต้องทำสายไหน ถึงบอกลูกน้องว่าไม่ต้องห่วงหรอกไอ้คำว่า 59 บาท พร้อมคอนเท้นต์ดี ๆ สิ่งดี ๆ มันจะตามมามึงเชื่อกู แต่มันต้องใช้เวลา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเวลาของมันแล้วก็มีจังหวะของมัน ถ้าฟ้าไม่เปิด ต่อให้เราทำแค่ไหน ให้เราทุ่มเงินแบบขาดทุนแค่ไหน เราเจอมาแล้วก็ไม่มีใครเห็นนะ แต่วันไหนที่ฟ้าเขาเปิดให้เรา แค่คืนเดียว! เหมือนทุก ๆ อย่าง“เหมือนที่แบบคืนเดียวตื่นมาลูกน้องบอกว่า แม่ล้านแตก! ไอ้เราก็อะไรของมึงล้านแตก? แม่ไปดูคลิปดิล้านแตกเนี่ย ไทยรัฐเอยอะไรเอยแบบว่าช่องคนเข้ามาแบบ เราแบบอึ้ย!ตกใจเลยมันขนาดนั้น คือไม่อยากจะเชื่อ”
เราทำมาทุกอย่าง อย่างใหม่ ๆ แค่ทำวันละ 20 อย่าง กับข้าวเหลือเต็มเลยถามว่า ขายได้หลักร้อย! ตอนที่คนยังไม่รู้จักแต่ลูกน้องท้อ เราบอกพวกมึงจะท้อทำไมคนที่จะท้อเนี่ยคือกู ตักใส่ถุงให้หมด เรารู้จักคนเยอะเอาไปแจกเขา “แล้วคำอวยพร คำแบบสรรเสริญที่แบบว่าขอให้มี๊เจริญ ๆ นะสาธุ ขอให้มี๊แบบเออรวย ๆ ร้านดัง ๆ ขายดิบขายดีเลย คำพูดพวกนี้มันเป็นกำลังใจเราแล้วเวลาเราเอาให้เขาแค่ตรงนั้นน่ะแต่สิ่งดี ๆ กลับมามึงไปคิดตรงนี้ คืออย่าไปคิดว่าทำไมมันขายไม่ได้ ๆ มั่นใจสิว่าสักวัน”เพราะลูกค้าวันนี้ขายได้ 700 พรุ่งนี้ขายได้ 1,000 /2,000 /3,000 คือพอมันเริ่มขึ้นเรื่อย ๆ และอีกอย่างเราเชื่อเรื่อง “การทำบุญ” มันเหมือนแรงดึงดูดนะ มันเป็นแรงดึงดูดอย่างหนึ่งเวลาที่เราทำอะไรแล้วเราจะเชื่อมั่น อย่างบางคนเขาบอกว่าเชื่อมั่นตัวเองระวังนะ! อะไรเงี้ย“คือมันก็โดนมาหมดแล้ว แต่เราก็ต้องเชื่อมั่นตัวเองบอกตัวเองว่า เราสู้มั้ยเราไหวมั้ย เออถ้าเราบอกเอ้ยกูท้อจังเลยกูไม่เอาแล้วแบบ บางทีแบบมีนะเหนื่อย ๆ อย่างเงี้ยโยนกระทะทิ้ง กูไม่ไหวแล้วกูเหนื่อยบางทีแบบความรู้สึกของเรา ทำไมมันเหนื่อยอย่างงี้วะแล้วทำไมกูต้องมาเหนื่อยขนาดนี้วะเนี่ย! แต่พอเรามองกลับมาก็มึงเลือกเองใช่มั้ย มึงอยากจะทำ มึงอยากจะแบบตอนนี้” แบบทำยังไงมันก็คือแบบว่า ถล่มทลายแล้วจะมาบ่นไม่ได้ คุณต้องทำยังไงให้แบบว่าตรงนี้ให้มันไปให้สุด
ข้าวแกงโลกต้องจำ
มี๊เกศ-เกศแก้ว โสภาเลิศ เจ้าของร้านข้าวแกงบุฟเฟต์ 59 บาท พุทธมณฑลสาย 1 ยอมรับว่าความสำเร็จของร้านที่เกิดขึ้นมา ใน เวลาเพียงชั่วข้ามคืน นั้นกลายเป็นว่าเป็นกระแสไปเลย รอดูว่าอ้าววันนี้อาทิตย์มีอะไร มีน้อง ๆ มาเยอะมั้ย อะไรอย่างเงี้ย ก็คือเหมือนกับว่ามันคุ้ม คุณมากินข้าวแกง 59 บาทคุณอิ่มแล้วก็ คุณมีความสุข แล้วก็คุณมีอะไรยิ่งกว่าไปเที่ยวงานวัดอีกนะ ไปเที่ยวงานวัดอย่างน้อยเราต้องมี 100 -200 แต่นี่คุณเดินมากินข้าวคุณได้กินข้าวกินขนม ทุกอย่างเลย แล้วคุณก็ได้เจอน้อง ๆ“น้อง ๆ เขาก็คือเอนเตอร์เทน แล้วก็แบบดูแลลูกค้าดีมากเด็ก ๆ ลูกค้าเขาจะชมว่า น้อง ๆ น่ารักตักอาหารให้แบบจนลูกค้าต้องบอกพอนะ”
สโลแกนของที่ร้านคือแบบว่าตอนนี้มีหลากหลายที่คนทำธุรกิจ แต่ของเราทำไมเราต้องใช้สโลแกนที่แบบว่า “โลกต้องจำ”คือถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้ขายแล้วก็จะมี คนพูดถึง ไม่ลืมเรา“มันจะเป็นตำนาน อึ้ย!เมื่อก่อนมันมีร้านข้าวแกงร้านนั้นนะ 59 บาทเองมันมี โคโยตี้ มีแดนเซอร์ มีกะเทย มีธิดา มีอะไรทุกอย่าง คือคนก็จะพูดถึง ใครที่นึกถึงเราเขาก็สามารถจะไปดูยูทูบได้ ไปดูเพจเก่า ๆ ได้ มันก็เลยเป็นที่มาของคำว่า เขาจะไม่ลืมเรา ถึงวันหนึ่งเราจะไม่ได้อยู่ตรงจุดนี้”
แต่มันเดินหน้าแล้ว มันสู้แล้ว ก็ดูสิเนี่ยปีกว่าแล้วก็ยังไม่ได้เปิด(ร้านใหญ่ที่อยู่ข้างใน) แต่เราก็ดีใจที่ว่าเราก็ทำอย่างอื่นประสบความสำเร็จแล้ว ต่อให้เรามาเปิดร้านใหญ่ทีนี้เราก็ไม่มีอะไรที่ต้อง มันไม่ต้องมาโฆษณาแล้ว แค่ขึ้นป้ายว่าทุกวันนี้ลูกค้าถามเมื่อไหร่จะเปิดข้างใน แค่เราขึ้นป้ายว่าเราจะเปิดวันไหน ลูกค้าเราก็เต็มแล้ว เพราะมันมีฐานลูกค้าแล้วไงมันไม่ต้องมานั่งกลัวว่าฮึ้ย!อย่างแรก ๆ เปิดมาเราต้องโฆษณาร้าน ตอนแรกที่มายังคิดจะเอารถแห่ให้คนรู้จัก รถแห่ก็แค่วิ่งประกาศใช่มั้ย คนได้ยินแป๊บ ๆ ก็ลืม“แต่อะไรที่เป็นโซเชียลฯ ไม่ต้องเสียเงินเยอะ แล้วก็เสียแต่ค่าเน็ตถึงบอกว่า เราต้องยอม ทำอะไรก็ตามถึงบอก ฝากถึงคนที่อยากจะลงทุน มันขาดทุนอยู่แล้วแรก ๆ เราต้องยอม ใช้ออนไลน์อย่างเดียวเลยเนี่ย ใช่ โลกออนไลน์นี่สุดยอดมาก คือไวมาก ถึงได้บอกพีคมาก”
“ข้าวแกงโลกต้องจำ” นี่คือวิสัยทัศน์การมองของนักธุรกิจหญิงแกร่ง ผู้ผ่านประสบการณ์การทำธุรกิจมาแล้วอย่างหลากหลาย ลองผิดลองถูกมา อยากได้แบบนี้ เอาแบบนี้มาลอง จนทำให้เจ้าตัวได้รู้ว่า “ต้องทำยังไง” ต้องทำสายไหน ถึงจะทำให้ธุรกิจไปได้รุ่งกับยุคนั้น ๆ ที่ตลาดกำลังนิยม ในวัยเกือบ ๆ จะแตะหลัก “เลขห้า” แต่ทว่าประสบการณ์นั้นไม่ธรรมดา ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แต่ “ใจใหญ่” มาก ๆ คนนี้เดินหน้าด้วยตัวเอง พร้อมกับทีมงาน(ลูก ๆ) ของ “มี๊เกศ” จนสามารถข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยาก ๆ มาได้อย่างเหนียวแน่นจริง ๆ ขอบคุณเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจดี ๆ สำหรับการทำธุรกิจจากร้านข้าวแกงบุฟเฟต์ 59 บาท พุทธมณฑลสาย 1 ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์แห่งความสำเร็จในครั้งนี้
สามารถแวะไปอุดหนุนข้าวแกงอร่อย ๆ พร้อมเพลินตากับน้อง ๆ สาวสวยได้ที่ร้านข้าวแกงบุฟเฟต์ 59 บาท พุทธมณฑลสาย 1 (อยู่ตรงข้ามโรงเรียนผดุงกิจวิทยา) บางแค กรุงเทพมหานคร หรือติดตามได้ทางTiktok :@buffet.59 สอบถามเพิ่มเติมโทร.081-564-9119
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *