xs
xsm
sm
md
lg

กลุ่มอุตฯ สมุนไพร รวมตัวร้อง สวรส. ทบทวนวิจัยที่ส่งผลเสียต่อ “ฟ้าทะลายโจร” เผยผลกระทบต่อผู้ผลิต-ผู้ปลูกสมุนไพร คาดเสียหาย 2,500 ลบ.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สภาแพทย์แผนไทย ร่วมกับสมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร เรียกร้องสถาบันวิจัยระบบสาธารณะสุขทบทวนงานการนำเสนอบทวิจัย “การใช้ฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด” ชี้บทความเผยแพร่ข้อมูลคลาดเคลื่อน ขัดแย้งงานวิจัยอื่นๆ และกลุ่มตัวอย่างไม่ครอบคลุม ส่งผลสังผมขาดความมั่นใจในยาฟ้าทะลายโจร คาดกระทบต่ออุตสาหกรรมผลิตยาสมุนไพร และกระทบเกษตรกรไทย คาดสร้างความเสียหายมูลค่าเกือบ 2,500 ล้านบาท


นายศรัณย์ แจ้วจิรา นายกสมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับ ดร.ชนิญญา ชัยสุวรรณ นายกสภาแพทย์แผนไทย และนายเมธา สิมะวรา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อรวมตัวกันเรียกร้องให้สถาบันวิจัยระบบสาธารณะสุข (สวรส.) ทบทวนการนำเสนอบทวิจัย “การใช้ฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด” โดยในบทวิจัยดังกล่าวได้เผยแพร่ข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมธุรกิจผลิตยาสมุนไพรไทย ที่ระบุว่า “ยาฟ้าทะลายโจรไม่สามารถลดอัตราการเกิดปอดอักเสบหรือลดอาการและลดปริมาณเชื้อไวรัสได้เมื่อเทียบกับยาหลอก และหากใช้ยาฟ้าทะลายโจรต่อเนื่องกัน 5 วัน จะมีผลแทรกซ้อนต่อการทำงานของตับ” ซึ่งข้อความของ สวรส.ดังกล่าวแตกต่างกับข้อมูลการวิจัยจากสถาบันอื่นๆ เช่นก การวิจัยของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ที่แสดงผลวิจัยที่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโควิด -19 และมีผลข้างเคียงน้อยมาก

นอกจากนี้ยาฟ้าทะลายโจรยังได้ถูกบรรจุไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ และถูกนำไปใช้รักษาโควิด – 19 อย่างกว้างขวาง มีการส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกเพื่อเป็นตัวยา ที่ใช้ทั้งในประเทศและส่งออกยังต่างประเทศ พร้อมทั้งได้ยกระดับขึ้นมาเป็นจากพืชสมุนไพรพื้นบ้านมาเป็นยาหลักของประเทศสร้างรายได้ให้เกษตรกรเป็นจำนวนมาก ซึ่งความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เกิดจากความเชื่อมั่นในงานวิจัย และการประกาศของส่วนราชการในกระทรวงสาธารณะสุข ได้แก่ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สภาการแพทย์แผนไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

อย่างไรก็ดีบทความของ สวรส.นั้นมีข้อน่าสังเกตว่า เป็นบทความที่มีข้อสรุปกว้างเกินไป เนื่องจากเป็นการทดลองในกลุ่มผู้ที่มีโอกาสติดเกิดปอดอักเสบต่ำ เพราะกลุ่มทดลอง เป็นกลุ่มคนวัยทำงาน ที่ได้รับวัคซีนโควิด -19 แล้ว งานวิจัยนี้จึงไม่ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร อีกทั้งยังจะกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกพืชสมุนไพรในวงกว้าง โดยปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมของยาฟ้าทะลายโจรอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท ซึ่งหากมีบทวิจัยที่ทำลายความเชื่อมั่นก็จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าตลาดรวมเกือบทั้งหมด

นอกจากนี้พบว่าผู้ป่วยทุกรายไม่พบความผิดปกติของตับ ในระดับที่มีผลต่อสุขภาพ ข้อความที่ระบุว่า “การได้รับยาฟ้าทะลายโจรติดต่อกัน 5 วัน จะเกิดผลแทรกซ้อนต่อการทำงานของตับ” จึงเป็นการรายงานที่คลาดเคลื่อนจากข้อพบของงานวิจัย อีกทั้งงานวิจัยของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ มีการทดสอบความเป็นผิดของฟ้าทะลายโจรต่อตับ ว่าการรับประทานฟ้าทะลายโจรติดต่อกัน 5 วัน ไม่มีผลต่อตับ

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *


กำลังโหลดความคิดเห็น