ใครว่าการ “ปลูกหญ้า” จะกลายเป็นอาชีพและสร้างรายได้ให้ไม่ได้ เพราะว่า “กานต์รวี บัวบุญ” เจ้าของสวนภูระวี เธอนั้นทำได้ จากอดีตพยาบาลสาวลาออกจากงานมาดูแลคุณแม่ที่บ้านและริเริ่มปลูกหญ้าขายพร้อมท่อนพันธุ์ รวมถึงมูลสัตว์จากควายที่เลี้ยงกว่า 20 ตัว กลายมาเป็นเกษตรกรเต็มตัวและทำเป็นอาชีพหลักสร้างรายได้หลักแสนต่อเดือน
นางสาวกานต์รวี บัวบุญ เจ้าของบ้านสวนภูระวี จังหวัดมหาสารคาม เล่าว่า เดิมทีนั้นเธอทำอาชีพพยาบาลมาก่อนแต่ลาออกมาเพื่อดูแลคุณแม่ ซึ่งในระหว่างที่เธอดูแลคุณแม่นั้นเธอก็ได้เป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ไปด้วยแต่เมื่อเลี้ยงไปได้สักพักก็ประสบกับปัญหาต้นทุนอาหารสัตว์ที่ค่อนข้างสูงถึง 70% เธอจึงมองว่าถ้าหากยังเลี้ยงสัตว์โดยที่มีต้นทุนอาหารสูงขนาดนี้ก็คงไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่นัก ทำให้เธอกลับมาคิดทบทวนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและริเริ่มสร้างความมั่นคงเรื่องอาหารสัตว์ด้วยตัวเอง โดยเธอเริ่มที่จะปลูกหญ้าเพื่อเอาไว้เป็นอาหารสำหรับควายของเธอแต่เมื่อเธอได้คิดทบทวนอีกครั้งและเกิดข้อสงสัยว่าทำไมเกษตรกรถึงไม่นิยมปลูกหญ้ากัน ทั้งๆ ที่เกษตรกรนิยมทำอาชีพเลี้ยงวัวและควายกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานที่ผู้คนมีอาชีพเป็นเกษตรกรและเลี้ยงวัว ควายควบคู่กันไปตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแต่มีจำนวนค่อนข้างน้อยที่จะปลูกหญ้าเพื่อไว้เป็นอาหารให้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง
ทั้งนี้เธอจึงมองว่าการปลูกหญ้าขายน่าจะมีความเป็นไปได้ ทำให้เธอเริ่มศึกษาเรื่องพันธุ์หญ้าต่างๆ และเริ่มปลูกหญ้าหวานเป็นชนิดแรกแต่หญ้าหวานนั้นเป็นหญ้าที่เติบโตในพื้นที่ลักษณะที่เรียกว่า เนิน เนื่องจากในตอนแรกเธอเองได้แบ่งเอานาข้าวมาปลูกหญ้า หญ้าหวานจึงไม่ตอบโจทย์กับพื้นที่ลุ่มนั่นเอง ต่อมาเธอจึงไปศึกษาเกี่ยวกับหญ้าพันธุ์อื่นที่สามารถปลูกและเติบโตได้ในพื้นที่นาข้าวที่ถูกแบ่งออกมา เหตุผลที่เธอเลือกแบ่งพื้นที่นาข้าวมาปลูกหญ้าเพราะว่าทุนเดิมเธอและครอบครัวก็ทำไร่ไถนากันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและเป็นวิถีการดำเนินชีวิตของเกษตรกรในหมู่บ้านและชาวนาแถบภาคอีสาน ซึ่งเธอเองมองว่าถ้าหากจะประยุกต์จากการปลูกข้าวมาปลูกหญ้าก็ต้องใช้พื้นที่ที่ตัวเองมีและตอบโจทย์สิ่งที่เธอกำลังจะทำอยู่นั่นเอง
หลังจากที่ศึกษาแล้วว่าหญ้าชนิดไหนที่สามารถปลูกในพื้นที่ลุ่ม ทนต่อน้ำขังในช่วงฤดูฝนได้ เธอก็เริ่มทดลองปลูกในแปลงขนาดเล็กเพื่อดูการเจริญเติบโตและความเป็นไปได้ของหญ้าเหล่านั้น เรียกอีกอย่างคือเธอทำการวิจัยการปลูกหญ้าชนิดต่างๆ ในแปลงขนาดเล็กเพื่อการขยายผลต่อไป ซึ่งหญ้าทุกชนิดที่เธอปลูกนั้นจะมีการนำส่งไปตรวจคุณค่าทางอาหารกับสถานีวิจัยอาหารสัตว์ของกรมปศุสัตว์ เพราะเธอมองว่าถ้าหากจะทำเป็นธุรกิจนั้นจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและจำเป็นต้องมีฐานข้อมูลสำหรับสิ่งที่เธอจะทำขาย
ปัจจุบันเธอทำธุรกิจมาได้ประมาณ 6-7 ปี ทำการตลาดทั้งขายหญ้าสดและขายท่อนพันธุ์หญ้าควบคู่กันไป รวมไปถึงขายหญ้าสดแบบเดลิเวอรี่ในพื้นที่ใกล้เคียงหมู่บ้านของเธอ กล่าวคือเมื่อมีลูกค้าสั่งหญ้าสดเข้ามาเธอก็จะทำการเก็บเกี่ยวแล้วนำไปส่งให้ลูกค้าถึงที่ ซึ่งจะเป็นหญ้าสดที่รวมหลายสายพันธุ์ไว้ด้วยกัน โดยเธอได้มีโปรโมชั่นการขายคือ ถ้าลูกค้าสั่งหญ้าสด 20 เข่งทางร้านจะส่งให้ฟรีถึงหน้าคอกของสัตว์เลี้ยง หรือในบางครั้งถ้าหากลูกค้าติดธุระหรือไม่สะดวกให้อาหารสัตว์ในตอนนั้นทางร้านก็จะมีบริการเสริมช่วยให้อาหารสัตว์ให้ลูกค้าอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นบริการที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังมีบริการผูกปิ่นโตหญ้าอีกด้วย นอกจากนี้เธอยังทำโชว์รูมหญ้าแปลงขนาดเล็กและนำหญ้าแต่ละสายพันธุ์มาปลูกลงในแปลงขนาดเล็กเหล่านั้นเพื่อให้ลูกค้าได้มองเห็นว่าหญ้าแต่ละชนิดนั้นมีลักษณะแบบใดก่อนที่ลูกค้าจะตัดสินใจเลือกซื้อหญ้าของทางร้านไป
ทั้งนี้ในปัจจุบันเธอมีพื้นที่สำหรับปลูกหญ้าขายประมาณ 30 ไร่ และมีพันธุ์หญ้าทั้งหมดประมาณ 9 ชนิด ได้แก่ หญ้าไนล์ หญ้าหลงซุปเปอร์ หญ้ามันมาเลย์ หญ้ามันสยาม หญ้าหวายข้อ หญ้าขนไม่มีขน หญ้าเภา และหญ้าหวาน ที่มีทั้งในไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ โดยหญ้าทุกชนิดนั้นเจ้าของร้านเผยว่าได้มีการทดลองปลูกให้ผ่าน 3 ฤดูไปก่อนถึงจะปลูกต่อเพื่อขายได้ เพราะจะได้มีข้อมูลตอบลูกค้าได้ว่าในฤดูกาลต่างๆ หญ้าแต่ละชนิดจะมีลักษณะแบบใดและวิธีการจัดการหญ้าอย่างไรบ้าง ซึ่งวิธีการดูแลหญ้าของเธอนั้นจะเน้นการให้สารอาหารด้วยปุ๋ยคอกเป็นหลัก เพราะเธอเองเลี้ยงควายประมาณ 20 ตัว ควบคู่ไปด้วยและยึดหลัก zero waste ทำให้เธอเน้นระบบหมุนเวียนภายในสวนของเธอไปด้วย ปลูกหญ้าให้ควายกิน นำมูลควายมาทำเป็นปุ๋ยคอกบำรุงดินและหญ้าหมุนเวียนกันไปอย่างต่อเนื่อง
หญ้าแต่ละชนิดจะมีระยะเวลาการเติบโตและสามารถเก็บเกี่ยวได้แตกต่างกันไป ซึ่งหญ้าไนล์สามารถเก็บเกี่ยวได้เร็วที่สุดประมาณ 30-45 วัน ส่วนท่อนพันธุ์จะอยู่ที่ประมาณ 30 วัน ในขณะที่หญ้าชนิดอื่นจะใช้เวลาในการเติบโตและสามารถเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 45-60 วัน สำหรับกลุ่มลูกค้าของเธอนั้นแน่นอนว่าจะต้องเป็นกลุ่มลูกค้าเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ โดยจะมีทั้งรายใหญ่และรายย่อยปะปนกันไป รวมถึงยังมีลูกค้าที่รับซื้อท่อนพันธุ์จากทั่วประเทศ นอกจากนี้หญ้าแต่ละชนิดที่ปลูกขายนั้นนอกจากวัวและควายแล้วก็ยังมีสัตว์ประเภทอื่นที่สามารถกินได้ เช่น แพะและแกะ
ทั้งนี้เจ้าของร้านยังให้ข้อมูลต่ออีกว่าฤดูฝนเป็นช่วงที่หญ้าอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแต่ก็เป็นช่วงที่ปราบเซียนอยู่เหมือนกัน เพราะเธอเองปลูกในพื้นที่แปลงนาทำให้เกิดน้ำขังตลอดฤดูฝน ถ้าหากหญ้าไม่ตอบโจทย์พื้นที่ลุ่มก็จะไม่สามารถปลูกได้ ปัจจุบันหญ้าที่ขายดีที่สุดคือ หญ้าไนล์ หลงซุปเปอร์ มันมาเลย์ และที่กำลังมาใหม่และได้รับความนิยมในตอนนี้คือ หญ้าหวายข้อ และช่วงหน้าแล้งหญ้าจะขายดีที่สุด ซึ่งในฤดูร้อนถ้าหากผลผลิตหญ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าทางร้านก็จะให้ลูกค้าพรีออเดอร์เอาไว้ก่อนและจัดส่งให้ตามลำดับการสั่งซื้อ
นอกจากนี้ผลตอบรับจากลูกค้านั้นอยู่ในระดับที่ดี ลูกค้ากลับมาซื้อหญ้าสดซ้ำอย่างต่อเนื่องและให้การตอบรับเรื่องการผูกปิ่นโตหญ้าเป็นอย่างดี ปัจจุบันมีลูกค้าผูกปิ่นโตหญ้ากับเธอประมาณ 20-30 ราย และในแต่ครั้งก็จะซื้อในจำนวนที่มาก คือ 20-30 เข่ง และระยะเวลาการซื้อจะถี่ประมาณ 2-3 วันต่อครั้ง ทั้งนี้หญ้ารวมเป็นเข่งจะมีราคาอยู่ที่เข่งละ 50 บาท ประมาณ 20 กิโลกรัม ส่วนท่อนพันธุ์จะเริ่มต้นที่กิโลกรัมละ 5-10 บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ ซึ่งลูกค้าจะสั่งซื้อท่อนพันธุ์ในปริมาณที่มากถึง 500 กิโลกรัมไปจนถึง 1 ตัน และลูกค้าที่สั่งซื้อท่อนพันธุ์ไปนั้นมีทั้งนำไปปลูกเพื่อต่อยอดเป็นธุรกิจและนำไปปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวเลี้ยงสัตว์ โดยทางร้านก็จะมีคำแนะนำเรื่องต่างๆ ให้ด้วย
ปลูกหญ้าขายจนกลายเป็นอาชีพนั้นสามารถสร้างรายได้หลักแสนต่อเดือนรวมทั้งหญ้าสดและท่อนพันธุ์ และนอกจากนี้เจ้าของสวนยังนำเอามูลควายมาสร้างรายได้อีกหนึ่งช่องทาง โดยนำมาแปรสภาพด้วยการนำไปตากแห้งและนำมาปั่นให้ละเอียดบรรจุถุงขาย รวมถึงมูลควายที่ปนอยู่กับดินเธอก็ได้นำมาทำเป็นปุ๋ยหมัก ดินหมัก และนำไปผสมกับใบก้ามปู ปุ๋ยคอก ดินปากคอก จนกลายเป็นดินพร้อมปลูกบรรจุถุงขายถุงละ 20 บาท ขนาด 5 กิโลกรัม เรียกได้ว่าสามารถขายได้ทุกสิ่งอย่างในสวนของเธอก็ว่าได้ ซึ่งรายได้ที่ได้จากการขายมูลควายของเธอนั้นอยู่ที่หลักหมื่นต่อเดือน
“ส่วนมากรายย่อยจะสนใจธุรกิจของเราเพราะมันใช้ต้นทุนที่ต่ำและไม่ต้องปลูกใหม่เหมือนข้าว ข้าวโพด หรือมันสำปะหลัง คือหญ้าเนี่ยพอเราตัดแล้วมันก็ขึ้นใหม่ ที่พี่บอกว่ามันมีความเสี่ยงต่ำเพราะว่ามันงอกขึ้นมาใหม่ได้ เราไม่ต้องลงทุนไปเรื่อยๆ ถ้าเราบำรุงเขาดีเขาก็อยู่กับเรานานค่ะ 7-8 ปี 10 ปี อย่างนี้ค่ะ” เจ้าของสวนระบุ
การปลูกหญ้าขายมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวแล้วบำรุงให้งอกใหม่ได้นานเป็นสิบปี เพราะฉะนั้นการปลูกหญ้าขายจึงตอบโจทย์และสนองความต้องการลูกค้าได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งสร้างรายได้ให้อีกหนึ่งช่องทาง
“คนแถวบ้านก็มีเข้ามาถามว่าที่เราปลูกหญ้าขายนั้นเราจะไปขายให้ใคร ในความคิดของเขาก็คิดว่าหญ้ามันก็ขึ้นตามถนนหนทาง ตามที่นา คันนาต่างๆ เขาก็มองว่าเราปลูกแล้วจะได้ขายเหรอ แล้วจะขายให้ใคร คือมันก็มีคนเฝ้ามองเหมือนกันว่าเราจะไปได้ไหม ก็มีทั้งคนที่เชื่อและคนไม่เชื่ออยู่ค่ะ มันขึ้นอยู่กับทัศนคติของแต่ละคนค่ะ” เจ้าของสวนระบุ
อย่างไรก็ตามในอนาคตเจ้าของร้านได้มีการวางแผนต่อยอดธุรกิจให้ไปในทิศทางของการพัฒนาการปลูกหญ้าทั้งหมด 30 ไร่ของเธอให้เป็นหญ้าที่ได้คุณภาพและในอนาคตถ้าหากมีพื้นที่ไม่เพียงพอรองรับความต้องการของลูกค้าจริงๆ ก็อาจจะมีการวางแผนขยายพื้นที่เพิ่ม
ติดต่อเพิ่มเติม
Facebook : บ้านสวนภูระวี ฟาร์มไข่อารมณ์ดี เลี้ยงตามวิถีธรรมชาติ
Facebook : กานต์รวี บัวบุญ
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *