“วากิว” เนื้อคุณภาพจากประเทศญี่ปุ่น แต่วันนี้ สามารถเพาะเลี้ยงในประเทศไทยได้ ในหลายพื้นที่ หันมาทำฟาร์มเลี้ยงโคเนื้อไทยวากิว กันอย่างแพร่หลาย ราคาขายหลักแสน ไปจนถึง สองแสนบาทต่อตัว สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงวัวสายพันธุ์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก และหนึ่งในนั้น ฟาร์มเพาะเลี้ยงโคเนื้อ SJ.DOUNGJAI FARM รายแรกๆของจังหวัดสุรินทร์ที่เพาะเลี้ยงโคเนื้อสายพันธุ์วากิว
จากทำร้านมินิมาร์ท สู่ เจ้าของฟาร์มโคเนื้อวากิว
คุณดวงใจ หลิน เจ้าของ SJ.DOUNGJAI FARM หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ดวงใจฟาร์ม” และ Butcher ร้านขายเนื้อ Premium Wagyu (พรีเมี่ยม วากิว) จังหวัดสุรินทร์ เล่าว่า ที่มาของดวงใจฟาร์ม เริ่มขึ้นเมื่อปี 2557 โดยตนเองมีบ้านเกิดอยู่บ้านโคกสะอาด ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ หลังจากที่ตนเองได้ไปทำงานเปิดร้านมินิมาร์ทอยู่ที่ พัทยา กว่า 20 ปี และเกิดความเสียดายว่าพื้นที่บ้านเกิดของเราถูกปล่อยทิ้งไว้ให้รกร้างโดยไม่ได้ทำประโยชน์อะไร วันหนึ่งเราก็เลยตัดสินใจจะมาพัฒนาพื้นที่ทำการเกษตรอะไรสักอย่าง และก็มาลงตัวที่การเลี้ยงวัวเนื้อ เพราะคิดว่าเราไม่ต้องดูแลเองสามารถจ้างคนดูแลแทนได้
โดยตอนเริ่มต้นเลี้ยงตอนนั้นเลี้ยงแค่ 3 ตัว ได้จ้างคนในพื้นที่มาช่วยดูแลซึ่งหวังแค่มีรายได้พอจ่ายค่าจ้างคนดูแลไม่ให้พื้นที่รกร้างก็พอใจแล้ว แต่พอทำจริงๆไม่ได้ง่าย การเลี้ยงวัวแม้จะเป็นพันธุ์พื้นเมือง ต้องมีขั้นตอนการดูแล ถึงจะขายได้ราคาคุ้มกับค่าเลี้ยง ซึ่งในครั้งนั้นถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ รายได้ไม่คุ้มค่าใช้จ่ายทำให้ขาดทุนไปเยอะ หลังจากนั้น คิดว่าต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงวัวให้มากกว่านี้ พอได้ศึกษาก็เริ่มลงลึกไปเรื่อยๆ ทำให้เราตัดสินใจเลิกร้านมินิมาร์ทกลับมาลงมือทำฟาร์มด้วยตัวเอง
ราคาตัวละหลักแสน ไปจนถึง 200,000 บาท
“เนื่องจากในช่วงแรกเริ่มต้นจากการไม่มีความรู้ในการทำฟาร์มโคเลย วัวที่เราเลือกมาเลี้ยงก็เป็นวัวพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งมีข้อจำกัดหลายอย่าง ทำให้เมื่อนำมาขายก็ขายไม่ได้ราคา การให้ลูกของวัวก็ไม่ดีเท่าที่ควร แม่วัวให้ลูกได้ไม่ถึง 30% หลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จในครั้งนั้น ก็มาศึกษาเพิ่มเติมว่าจะเลี้ยงวัวสายพันธุ์ไหน และลงทุนเท่าไหร่ และเมื่อขายจะขายได้เท่าไหร่ จนเราได้มาเจอกับโคเนื้อสายพันธุ์ Wagyu ก็รู้เลยว่า ถ้าเราจะจริงจังกับการทำฟาร์มโคเนื้อ เราจะต้องเลือกเลี้ยงสายพันธุ์โคเนื้อ Premium Wagyu และถ้าเราเลี้ยงได้คุณภาพอย่างที่ตลาดต้องการ ราคาขายสูงกว่าสายพันธุ์พื้นเมืองหลายเท่า แม้จะมีต้นทุนสูง แต่คุ้มค่ากับการลงทุนมากกว่า”
“โดยวัวสายพันธุ์วากิวหนึ่งตัว สามารถขายได้ในราคาหลักแสนไป ไปจนถึง สองแสนบาท ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของฟาร์มจะนำมาขายช่องทางไหน แต่สำหรับวากิวที่ฟาร์มของเราจะขายใน 2 ลักษณะ ได้แก่ การขายซากทั้งตัวอยู่ที่ตัวละ100,000 - 119,000 บาท แต่ถ้าชำแหละขายโดยผ่านการบ่มในโรงบ่มก่อน ให้กับร้านอาหาร โรงแรม หรือ ขายเองหน้าร้าน สามารถขายได้ราคาเพิ่มขึ้นถึงตัวละ 170,000-200,000 บาท ทางฟาร์มของเราจึงเลือกที่จะชำแหละขายปลีก มากกว่า ขายซาก
รวมกลุ่มเกษตรกรสร้างเครือข่าย ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
คุณดวงใจ เล่าวว่า เริ่มทำฟาร์มโคเนื้อสายพันธุ์วากิว ในปี 2558 ซึ่งในช่วงนั้นการทำฟาร์มโคเนื้อสายพันธุ์วากิว ยังเป็นสิ่งใหม่และตลาดมีความต้องการสูง ขายได้ราคา ซึ่งข้อดีของเนื้อวากิว คือ การให้มันแทรกอยู่แทบทุกส่วน ถูกใจคนที่ชื่นชอบการกินเนื้อเป็นอย่างมาก แต่การเลี้ยงโคเนื้อสายพันธุ์วากิว ไม่ใช่เรื่องง่ายในช่วงนั้นถือว่าเป็นสิ่งใหม่มาก จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับการทำฟาร์มวากิวในประเทศไทย ถ้าเราไม่ศึกษาให้ดีโอกาสที่จะพลาดไม่ประสบความสำเร็จก็มีสูง แต่ถ้าเราสามารถทำได้ในเกรดที่ดีผลตอบแทนสูงมากเช่นกัน และส่วนตัวก็เป็นคนที่ชื่นชอบทำอะไรที่ท้าทาย ก็ไม่ลังเลเลยที่จะทำมัน ปัจจุบัน ประสบความสำเร็จ สามารถเลี้ยงและผลิตเนื้อวากิว คุณภาพเกรดพรีเมี่ยม 3A+ ให้ผู้บริโภคคนไทย ลดการนำเข้าเนื้อคุณภาพจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ เอส.เจ.ดวงใจฟาร์ม เป็นผู้บุกเบิกการพัฒนาผลิตเนื้อวัว Wagyu ในระดับ Preiem ในจังหวัดสุรินทร์ เป็นการทำฟาร์มแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อจะให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด ซึ่งเรามีโรงบ่มเนื้อของเราเอง ในส่วนของการจัดจำหน่าย เรามีร้านอาหารของเราเองด้วย ทั้งนี้ ยังได้ชักชวนชาวบ้านเกษตรกรที่สนใจการเลี้ยงวัว เข้ามารวมกลุ่มเป็นเครือข่ายการเลี้ยงโคเนื้อเพื่อเกษตรกรจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น และมีตลาดช่องทางจัดจำหน่ายโคเนื้อที่แน่นอน ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง
ลงทุนไปแล้วกว่า 30 ล้านบาท เป้า 5 ปี เลี้ยงวัว 500 ตัว
ดวงใจ เล่าว่า สำหรับวัวที่ผลิตจากฟาร์มของเรา ได้มีการนำออกมาขายใน 2 รูปแบบ ส่วนแรกขายที่ร้านอาหารของเราเอง และ ขายเนื้อวัวสดที่หน้าฟาร์ม บางส่วนของส่งให้ร้านอาหาร โรงแรม ภัตตาคาร และขายออนไลน์ ผ่านช่องทางโซเชียลฯ การขายออนไลน์ ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีมาก จากในช่วงโควิด ทำให้เราได้โปรโมทช่องทางออนไลน์ จนถึงปัจจุบันทำให้สามารถขายออนไลน์ได้อีกช่องทางหนึ่ง นอกจากนี้ ได้ตัดแบ่งขายแบบขายซากด้วยเช่นกัน สำหรับร้านที่ต้องการเนื้อวัวที่ราคาไม่สูงมาก เพื่อนำไปชำแหละ และบ่มขายหรือใช้เอง
กว่าจะมาถึงวันนี้ คุณดวงใจ บอกว่า ไม่ได้ง่าย ต้องลองผิดลองถูกและต้องศึกษาให้เข้าใจ รวมถึงการดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อทำฟาร์มออกมาให้ประสบความสำเร็จเหมือนอย่างทุกวันนี้ ซึ่งต้องลงทุนไปแล้วกว่า 30 ล้านบาท ในขณะนี้มีวัวที่เลี้ยงในฟาร์มจำนวน 200 ตัว โดยตั้งเป้าไว้ว่า ภายใน 5 ปีนี้ จะต้องการจะมีวัวภายในฟาร์มไม่น้อยกว่า 500 ตัว ซึ่งวัวในฟาร์มของเราจะมาจากการขยายพันธุ์ของเราเอง เป็นการทำฟาร์มแบบครบวงจร ตั้งแต่การเพาะพันธุ์ การเลี้ยง ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 27 เดือน กว่าจะวัวพร้อมจะชำแหละออกขายได้
และสุดท้ายการทำตลาด โดย “คุณดวงใจ” เลือกที่จะทำตลาดเอง เพราะสามารถทำรายได้ให้กับเค้ามากกว่า คุ้มกว่า การขายซากให้กับโรงชำแหละ หรือ สหกรณ์ แต่บางส่วนต้องมีการขายซากบ้างให้ลูกค้าที่ต้องการวัวในราคาไม่แพงด้วย เมื่อถามถึงความยากในการทำตลาดเนื้อวัววากิว “คุณดวงใจ” บอกว่า ส่วนตัวไม่ว่าจะทำอะไร ขายอะไร ไม่ได้กังวลหรือกลัวในการลงมืออะไรเลย ส่วนตัวชอบทำอะไรที่ท้าทาย และเชื่อว่า ตัวเองทำได้
ที่ผ่านมา ผ่านการทำงานที่ต้องขายของมาตลอด สิ่งสำคัญของการขายของ เพียงแค่เราจะต้องรู้และเข้าใจธรรมชาติการตลาดของสินค้าชนิดนั้น ทุกอย่างก็ขายได้หมดสำหรับตัวเอง การตลาดไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจทำฟาร์มในครั้งนี้ เพราะศึกษาจนเข้าใจเรื่องการตลาด ต้องรู้ว่าใครคือผู้บริโภค เราก็จะรู้ว่าเราจะขายให้ใคร แต่ความยากอยู่ในขั้นตอนการทำฟาร์ม เพราะบางครั้งไม่สามารถคาดเดาได้
ติดต่อ Facebook : SJ.Doungjai Farm
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *