เคยหมดหวังจนเลิกขายและประกาศขายรถในที่สุด แต่ความพยายามไม่เคยทรยศใคร ฮึดสู้และกลับมาขายใหม่เกิดเป็น “กะเพราตุ๊กตุ๊ก” เจ้าดังในจังหวัดลพบุรี สร้างจุดขายให้กะเพราด้วยการเปิดขายบนรถตุ๊กๆ ดึงเอกลักษณ์ความเป็นตัวเองจนลูกค้าติดใจ ตั้งราคาเข้าถึงง่าย 25 บาททุกจาน อนาคตตั้งเป้าการเติบโตด้วยการเร่ขายให้ครบทั้ง 77 จังหวัดพร้อมผลิตน้ำซอสผัดกะเพราส่งออกต่างประเทศ
นายภคิน สว่างโรจน์ เจ้าของธุรกิจร้านกะเพราเจ้าสัว รถตุ๊กตุ๊ก เล่าว่า เดิมทีตนเปิดร้านล้างรถแต่มีอุปสรรคทำให้ต้องปิดตัวลง หลังจากนั้นก็เริ่มทำธุรกิจน้ำขวดขาย รวมถึงเปิดร้านขายสเต็กที่บ้านและเปิดขายผ่านเดลิเวอรี่ แต่ก็ต้องมีเหตุให้หยุดขายไป เนื่องจากภรรยาของตนคลอดลูกทำให้ต้องปิดร้านไปก่อน จนกระทั่งลูกเริ่มโตตนจึงมีเวลากลับมาขายสเต็กใหม่ แต่เปลี่ยนรูปแบบจากเดิมที่เคยขายแบบเดลิเวอรี่ เปลี่ยนมาขายบนรถสามล้อหรือรถซาเล้งขับขายแบบเดลิเวอรี่แทน และเพิ่มจากสเต็กมาเป็นเมนูผัดกระเพราขายควบคู่กันไป ซึ่งเมนูผัดกะเพรานั้นตอบโจทย์ลูกค้ามากกว่าสเต็ก ทำให้ตนเลือกขายเพียงผัดกะเพราเมนูเดียวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งรถสามล้อในช่วงนั้นเกิดการพังและต้องซ่อมค่อนข้างบ่อย เจ้าของร้านเลยเปลี่ยนมาเป็นรถตุ๊กๆ แทน เพราะต้องการคงคอนเส็ปต์รถมีสามล้อเอาไว้ ปัจจุบันขายผัดกะเพราบนรถตุ๊กๆ มาได้ประมาณ 7 เดือน
ไอเดียในการขายบนรถตุ๊กๆ นั้นมีที่มาจากการเริ่มขายสเต็กบนรถสามล้อหรือรถซาเล้งแล้วติดไฟให้มีสีสันเพื่อเรียกลูกค้า บวกกับรถซาเล้งและรถตุ๊กๆ นั้นมีความแปลกใหม่และดึงดูดลูกค้าได้ ทำให้เจ้าของร้านยึดเอาไอเดียจากรถสามล้อต่อยอดมาเป็นรถตุ๊กๆ จนถึงปัจจุบันนั่นเอง
ทั้งนี้ผัดกะเพราของทางร้านมีจุดเด่นและเน้นในเรื่องการขายเป็นหลัก โดยสร้างจุดขายด้วยการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างเป็นกันเอง เมื่อถึงสถานที่ขายเจ้าของร้านก็จะเข้าไปทักทายกลุ่มลูกค้าและเรียกลูกค้าด้วยการสร้างเอกลักษณ์ให้ร้านคือติดไมค์เปิดลำโพงเรียกลูกค้า ทำให้การขายมีความสนุกและสร้างรายได้ควบคู่กันไปอีกด้วย ปัจจุบันทางร้านจะเร่ขายผัดกะเพราเฉพาะตอนกลางวันและในช่วงเวลาเที่ยงทางร้านจะมีจุดที่ต้องไปขายประจำและลูกค้าก็จะเป็นลูกค้าประจำรวมถึงขาจรทั่วไป ซึ่งลูกค้าประจำจะมากกว่าประมาณ 80%
ในส่วนของการตลาดนั้นทางร้านจะใช้เทคนิคและกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ คือ “ความขยัน” และ “ความแปลก” ของเจ้าของร้าน โดยที่ตนนั้นมีคติประจำใจที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการทำงานของคนจีน นั่นก็คือ “ตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น นอนหรือเลิกงานหลังพระอาทิตย์ตก” ซึ่งทำให้มีแรงผลักดันในการชีวิตและในการทำธุรกิจของตนเองให้สำเร็จและเป็นจุดยืนที่ช่วยให้ตนประสบความสำเร็จในชีวิตไปอีกขั้น เพราะที่ผ่านมาตนไม่เคยประสบความเร็จในชีวิตเลยนั่นเอง
กว่าจะเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ตนเคยท้อกับชีวิตจนถึงขั้นประกาศขายรถตุ๊กๆ ที่ซื้อมาเพื่อขับเร่ขายของในช่วงนั้น แต่พอคิดไปคิดมากว่าจะมีทุกวันนี้ได้ กว่าจะมีลูกค้าประจำ กลับทำให้ตนเปลี่ยนใจไม่ขายรถแต่กลับมาฮึดสู้ขายกะเพราต่อดีกว่า
นอกจากนี้เมนูของทางร้านนั้นจะมีเพียงเมนูเดียว คือ กะเพราหมูสับ เพราะว่ามีข้อจำกัดหลายเรื่อง เช่น พื้นที่บนรถหรือข้อจำกัดในการสั่งซื้อของลูกค้า ซึ่งกะเพราหมูสับเพียงเมนูเดียวตอบโจทย์มากกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นในเรื่องของความง่ายและการเข้าถึงลูกค้าได้ค่อนข้างดี แต่ถ้าหากลูกค้าสั่งท็อปปิ้งเพิ่มเติม เช่น ไข่ดาว และอื่นๆ ทางร้านจะให้ลูกค้าสั่งเอาไว้แล้วในวันถัดไปทางร้านก็จะเอามาเสริมให้กับลูกค้านั่นเอง ทำให้ผลตอบรับจากลูกค้านั้นอยู่ในระดับที่ดีมาก ถ้าหากวันไหนทางร้านไม่ได้ไปขายในสถานที่นั้นๆ ลูกค้าบางรายก็จะโทรตามบ้าง เพราะติดรสชาติและการเข้าถึงง่ายของทางร้านนั่นเอง โดยส่วนมากลูกค้าที่เข้ามาสนับสนุนส่วนมากจะเป็นพ่อค้า แม่ค้าด้วยกันรวมถึงพนักงานในร้านค้าต่างๆ
สำหรับเวลาขายนั้นทางร้านจะเริ่มขายตั้งแต่เวลา 10:30-13:00 น. หยุดทุกวันอาทิตย์ และในช่วงเที่ยงลูกค้าจะแน่นมากกว่าช่วงเวลาอื่นบวกกับทางร้านจะต้องรีบขับรถไปให้ทันเวลาบริเวณแยกเซ่งเฮงของ จ.ลพบุรี อีกด้วย เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวก็จะมีร้านค้าอื่นๆ มาขายด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ผัดกะเพราของทางร้านจะผัดแบบจานต่อจาน ไม่ได้มีการผัดมาก่อนจากบ้านแล้วค่อยมาตักให้ลูกค้า ทำให้ลูกค้ามองเห็นว่าเป็นความสดใหม่และได้กินแบบร้อนๆ และมีราคาที่เข้าถึงง่าย โดยทางร้านขายในราคาจานละ 25 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นราคาที่ขายง่ายลูกค้าเข้าถึงได้รวดเร็ว ส่วนลูกค้าจะสั่งแบบพิเศษทางร้านก็สามารถทำให้ได้เช่นกัน ทำให้ใน 1 วันสามารถขายได้ประมาณ 70-80 จาน
ในส่วนของข้าวที่นำมาขายนั้นใน 1 วันจะใช้ข้าวประมาณ 4-5 กิโลกรัม และเป็นข้าวสารที่ทางครอบครัวไปทำนาเอง จึงช่วยลดต้นทุนในการซื้อข้าวสารไปอีกหนึ่งช่องทาง ซึ่งในอนาคตได้วางแผนต่อยอดเรื่องข้าวในส่วนของการรับซื้อข้าวสารจากชาวบ้านในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นพื้นที่ทำนาของทางครอบครัว เพื่อนำมาขายต่ออีกที และเป้าหมายของร้านกะเพรานั้นทางร้านมีความต้องการเดินทางไปขายในต่างจังหวัดให้ได้มากที่สุดให้ครบ 77 จังหวัด
“รู้สึกดีใจครับเมื่อก่อนที่เราทำมา เรารู้สึกว่าเราผิดพลาด เราอยากใช้คำว่า “อยากรวยเร็ว” ถ้ารวยเร็ว คือ รีบรวยได้แต่อย่ารีบร้อน เพราะว่ารีบร้อนคือ วันนี้คิด พรุ่งนี้ทำ อีกวันหนึ่งเจ๊ง เพราะว่าผมเป็นคนแบบนี้มาก่อน เป็นคนรีบร้อนมากและมันจะทำให้เจ๊ง ตอนนี้เราเปลี่ยนไปคือ ผมกลับมาคิดก่อนทำ อย่าทำก่อนคิด เพราะว่าถ้าทำก่อนคิดเวลาเราจ่ายเงินไปแล้วเราก็ไม่รู้ว่าอนาคตมันจะขาดทุนหรือเปล่า แต่ถ้าเราคิดก่อนว่าถ้าเราลงทุนไปเท่านี้ก่อนแล้วมาดูกันว่าเราจะขายในราคาไหน ได้กำไรเท่าไหร่ กี่วันคืนทุน ในการลงทุนครั้งนี้อะไรอย่างนี้ครับ” นายภคิน ระบุ
นอกจากนี้รสชาติของผัดกะเพรานั้นจะมีรสชาติที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยจะทำออกมาในรสชาติกลางๆ แต่เข้มข้นเข้าถึงกะเพราได้เป็นอย่างดี เพื่อให้ลูกค้าสามารถกินได้ง่าย นอกจากนี้ทางร้านยังได้มีการทำซอสผัดกะเพราขาย เนื่องจากเจ้าของร้านมีคติประจำใจว่า “ขนาดเรายังขายได้ คนอื่นก็ต้องขายได้เช่นเดียวกัน” แต่ขอเพียงอย่าหยุดฝันเท่านั้นเอง ปัจจุบันเริ่มขายน้ำซอสมาได้ไม่นานและสามารถสั่งซื้อผ่านเพจเฟซบุ๊กของทางร้าน
อย่างไรก็ตามในอนาคตทางร้านได้มีการวางแผนต่อยอดธุรกิจให้ไปในทิศทางของการผลิตน้ำซอสผัดกะเพราและส่งออกไปยังต่างประเทศ และพัฒนาสูตรการผัดกะเพราให้ตอบโจทย์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น
ติดต่อเพิ่มเติม
Facebook : ซอสกะเพราเจ้าสัว อร่อยเด็ด
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *