xs
xsm
sm
md
lg

โควิดกลับมา !! “ศุภโชค เมท เมดิคอล” ผู้ผลิตหน้ากากอนามัย เตรียมรับทรัพย์ หลังยอดหายไปกว่า 10 ล้านชิ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายศุภโชค อินทริง
หลังจากผ่านพ้นเทศกาลแห่งความสุขในวันสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ของไทยไป คนไทยก็ต้องเผชิญกับข่าวร้ายอีกครั้ง เมื่อมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม และที่สำคัญคือพบว่ามีผู้ติดเชื้อในประเทศไทย ทำให้ทุกคนต้องระวังตัวและหันมาสวมหน้ากากอนามัยกันอย่างจริงจังอีกครั้ง วันนี้ พามารู้จักกับเอสเอ็มอีไทย ที่ผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ และในวิกฤตเป็นโอกาสอีกครั้งไหม สำหรับผู้ผลิตหน้ากากอนามัยหลังจากที่โควิดคลี่คลายทำยอดขายหายไปกว่า 50%


มารู้จัก เอสเอ็มอีผลิตหน้ากากอนามัยทางแพทย์ แบรนด์ไทย

นายศุภโชค อินทริง กรรมการผู้จัดการ บริษัทศุภโชค เมท เมดิคอล จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และหน้ากากอนามัย เล่าว่า เดิมที่ ใช้ชื่อว่า “บริษัทศุภโชค เคมีคอล ซัพพลายจำกัด” ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ ด้านกำจัดยุงและแมลง น้ำยาฆ่าเชื้อไข้หวัดนก บำบัดน้ำประปาและน้ำทุกชนิด ชุดตรวจสารเสพติดในปัสสาวะ งานทำความสะอาด และจำหน่ายอุปกรณ์ดับเพลิง เป็นต้น โดยก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 ประมาณ 5-6 เดือน บริษัทมีแผนที่จะผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์จำหน่าย

และพอเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทางบริษัทได้วางแผนกับหุ้นส่วนเดินหน้าผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ทันที และจากจำหน่ายเพียงแค่เคมีภัณฑ์ หันมานำเข้าและจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นเหตุผลที่ทางกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) แนะนำให้ต้องเปลี่ยนชื่อ ตัดคำว่า “เคมีคอล” ออกถึงจะสอดคล้องในการจำหน่ายหน้ากากอนามัยได้ เมื่อปี 2563 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “บริษัทศุภโชค เมท เมดิคอล จำกัด”


หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในช่วงนั้น ได้เริ่มเดินเครื่องผลิตหน้ากาก ส่งให้กับบุคลากรทางแพทย์ ภายใต้ชื่อ แบรนด์ว่า LION MASK ซึ่งกว่าจะผ่านการตรวจสอบ ผ่านมาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข ใช้เวลาหลายเดือน ทำให้การนำหน้ากากอนามัย ออกจำหน่ายล่าช้าออกไป โดยได้เริ่มจำหน่ายปี 2564 ซึ่งหน้ากากอนามัยของ ศุภโชค เมท เมดิคอล แบ่งออกเป็น หน้ากากอนามัยส่งขายให้กับหน่วยงานทางการแพทย์ ในกล่องสีส้ม ภายใต้แบรรนด์ LION MASK และ หน้ากากอนามัย ที่ขายทั่วไป ในกล่องฟ้าขาวภายใต้ชื่อแบรนด์ CARE MASK และมีหน้ากากอนามัยสำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ LION MASK KIDS ออกมาจำหน่ายด้วย


ผลิตหน้ากากขายช่วงโควิด 2 ปี กว่า 20 ล้านชิ้น

สำหรับในปี 2564 เพียงปีเดียว สามารถขายหน้ากากในช่วงโควิดระบาดหนักในประเทศไทย ได้จำนวน 2 ล้านชิ้น แต่ถ้านับรวมการผลิตหน้ากาก ตั้งแต่ปี 2564 ถึงปัจจุบัน โรงงานได้ผลิตหน้ากากออกจำหน่ายไปแล้วกว่า 20 ล้านชิ้น ซึ่งจุดเด่นของหน้ากาก LION MASK และ CARE MASK คือ เป็นโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ซึ่งการผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ได้ จะต้องได้มาตรฐานตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดเท่านั้น โดยมีคุณสมบัติที่ป้องกันเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้มากกว่าหน้ากากทั่วไป เพราะบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้ารับมือกับเชื้อโรค

ทั้งนี้ เมื่อบริษัทได้ผลิตหน้ากากอนามัยออกขายคนทั่วไป หลายส่วนๆที่ใช้ผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์นำมาใช้กับการผลิต หน้ากากทั่วไปด้วย เช่น ความยืดหยุ่นของสายคล้อง เพราะสายคล้องที่ดียางต้องไม่รัดหู ยืดหดและคืนตัวได้ดี แม้ว่าจะใช้มาเป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง ยางก็จะไม่ไปรัดหูทำให้คนสวมใส่รู้สึกเจ็บ หรือ รำคาญ เป็นต้น ซึ่งจุดเด่นของหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ต้องผ่านมาตรฐานกรองเชื้อโรคและอื่นๆ ได้ในระดับ 0.1 ไมครอน และแผนในอนาคต ต้องการที่จะผลิตหน้ากากที่สามารถกรองฝุ่น PM.2.5 ออกมาจำหน่ายโดยเฉพาะด้วย เพราะหน้ากากของเราสามารถกรองฝุ่นและเชื้อโรคในระดับ 0.1 ไมครอนได้ ก็สามารถกรองฝุ่น PM.2.5 ได้


เตรียมออกหน้ากากกันฝุ่น PM.2.5 และหน้ากากฆ่าเชื้อได้ในตัว

อย่างไรก็ดี การขายหน้ากากป้องกันฝุ่น PM.2.5 ต้องผ่านมาตรฐานของ มอก. กระทรวงอุตสาหกรรมก่อน จึงจะขายได้ แต่หน้ากากอนามัยของเรา ตอนทำเจาะจงไปที่ป้องกันเชื้อโรคไวรัสและแบคทีเรียช่วงโควิด เราก็เลยขอแค่มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข เท่านั้น ในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากมองว่า ปัจจุบันปัญหาฝุ่น PM.2.5 เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทยเช่นกัน การใส่หน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่น มีความจำเป็นมากขึ้นในอนาคต

โดยในส่วนของหน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อโรค เตรียมแผนที่จะพัฒนาหน้ากากอนามัยตัวใหม่ ที่สามารฆ่าเชื้อโรคได้ในตัว เพราะเชื่อว่าการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสต่างๆ ในอีก 2-3 ปีข้างหน้ามีความรุนแรงกว่าเดิม หน้ากากอนามัยอาจจะไม่ใช่แค่ป้องกัน ต้องฆ่าเชื้อได้ด้วยเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าสถิตประจุบวก ประจุลบ ช่วยให้หน้ากากฆ่าเชื้อโรคได้ในตัวเมื่อไปสัมผัสกับเชื้อโรค ช่วยให้คนไทยปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้อีกทางหนึ่ง


ในส่วนของหน้ากากแฟชั่น เนื่องจากเดิมทำหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ทำให้ไม่สามารถใส่เรื่องของแฟชั่นเข้าไปได้ ถ้าจะทำหน้ากากแฟชั่นเพิ่มขึ้นมา ต้องขอมาตรฐาน มอก. เช่นเดียวกับการทำหน้ากากป้องกันฝุ่น PM.2.5 ทำไมถึงต้องเพิ่มไลน์ มาเจาะจงลูกค้ากลุ่มป้องกันฝุ่นโดยเฉพาะ เพราะหลายคนไม่ทราบว่า หน้ากากอนามัยของเราที่ใช้ในช่วงโควิด จริงป้องกันฝุ่นได้ ตามที่กล่าวมาข้างต้น ผ่านมาตรฐานป้องกันเชื้อโรคในระดับ 0.1 ไมครอน แต่ฝุ่นแค่ 2.5 ไมครอน แต่เราไม่สามารถเคลมตรงนั้นได้ เพราะเป็นข้อกำหนดว่าหน้ากากกันฝุ่นต้องผ่านมาตรฐานของ มอก. ก็เลยต้องแยกออกมาเป็นหน้ากากป้องกันฝุ่นเพิ่มขึ้นมาโดยเฉพาะ


ความแตกต่างหน้ากากไทยและนำเข้า ทำไมไทยแพงกว่านำเข้า

นายศุภโชค กล่าวถึงการขายหน้ากากในช่วงที่ผ่านมา ว่า หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น และไม่ได้มีมาตรการว่าทุกคนต้องสวมหน้ากากก่อนออกจากบ้าน ในช่วงนั้น ยอดขายลดลงไปกว่า 50% เพราะสถานการณ์โควิดไม่ได้น่ากลัวคนไม่ได้ความสำคัญกับการสวมหน้ากากทำให้ยอดขายลดลง แต่พอมีสถานการณ์ไฟป่า ทำให้เกิดฝุ่น PM.2.5 รุนแรงที่เชียงใหม่ ตอนนั้นทางบริษัทก็เลยหันไปจับตลาดหน้ากากกันฝุ่น โดยมีตัวแทนขายจากเชียงใหม่ ก็มาสั่งซื้อหน้ากากกันฝุ่นเพิ่มขึ้น

ในส่วนของราคาหน้ากากทุกประเภทของบริษัท จะขายส่งอยู่ที่ราคากล่องละ 45 บาท ถึง 50 บาท บรรจุทั้งหมด 50 ชิ้น ราคาขายปลีก มีตั้งแต่ 65 บาท ไปจนถึง 95 บาท ที่ผ่านมา เจอคู่แข่งเป็นหน้ากากจากต่างประเทศ อย่างจีนขายหน้ากากที่ราคาถูกกว่ามาก ซึ่งหน้ากากเหล่านั้น ได้เปรียบเราเพราะสามารถจำหน่ายได้เลย ต่างจากหน้ากากที่ผลิตโดยผู้ประกอบการไทย ต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานก่อน จึงสามารถจำหน่ายได้ และต้องส่งไปตรวจสอบมาตรฐานในต่างประเทศ โดยครั้งหนึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท ซึ่งหน่วยงานภาครัฐ ค่อนข้างจะเข้มงวดอย่างมาก สำหรับผู้ผลิตหน้ากากในประเทศไทย ต้องได้มาตรฐานจริงๆ จึงจะออกจำหน่ายได้ อยากให้คนไทยได้สนับสนุนสินค้าไทย และเชื่อมั่นได้ว่าจะได้หน้ากากที่ได้มาตรฐานจริง แม้ว่าราคาอาจจะสูงกว่าบ้าง


นายศุภโชค กล่าวว่า หลังจากมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีโรงงานที่ผลิตหน้ากากในประเทศไทย เกิดขึ้นมากกว่า 200 แห่ง เป็นโรงงานที่มีผู้ประกอบการจากต่างประเทศเข้ามาเปิดด้วย แต่พอสถานการณ์โควิดคลี่คลายหน้ากากขายได้น้อยลง มีโรงงานที่เป็นนักลงทุนจากต่างประเทศ ก็ค่อยๆ เลิกกิจการไปเกือบหมด ปัจจุบัน เหลือแต่โรงงานที่เป็นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ซึ่งเมื่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิมเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้ง เชื่อว่า ความต้องการหน้ากากอนามัยกลับมาเพิ่มมากขึ้น

ติดต่อ www.supachock co.th
โทร.09-5168-6556 , 09-6696-5544
ID. @SCS.CO.LTD

คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น