ธุรกิจที่ไม่เคยซื้อโฆษณาเลย ไม่ขายแฟรนไชส์ แต่ปัจจุบันจดเป็น “บริษัท” เติบโตจากสื่อโฆษณาของตัวเองที่ผลิตขึ้นมาในยุคนั้น ค่าบล็อกพิมพ์ถุงหิ้วและซื้อมือถือมาก็แพง! แต่ชีวิตต้องเดินหน้าแล้วมันต้องตัดสินใจมาถึงตอนนี้ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ !!!
ก่อนจะเข้าสู่ช่วงของเดือนรอมฎอนในปีนี้ (22 มีนาคม-20 เมษายน2566) เรามีโอกาสดี ๆ ได้คุยกับเจ้าของธุรกิจตัวจริงเสียงจริง! ผู้ก่อตั้งแบรนด์ “บังแอไก่ทอดหาดใหญ่” ร้านไก่ทอดชื่อดังในย่านท่าอิฐ จ.นนทบุรี ซึ่งไม่บ่อยนักที่จะเปิดบ้านให้สื่อเข้าไปสัมภาษณ์หรือถ่ายทำรายการใด ๆ สักเท่าไร แต่ด้วยเข้าใจในจุดประสงค์ของการเผยแพร่เรื่องราวครั้งนี้ “บังแอ-นายนิพล สุทธิกาญจน์”กับภรรยาคือ “ก๊ะเพ็ญ-นางวรรณเพ็ญ สุทธิกาญจน์” ต้องบอกว่าร้านนี้เขามีชื่อเสียงมาก ๆ และเป็นที่รู้จักมานาน มีฐานของลูกค้าประจำอยู่เป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ให้เกียรติรายการ “ชีวิตใหม่” ร่วมแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในการประกอบอาชีพจนประสบผลสำเร็จ เพื่อคนที่สนใจได้นำไปปรับใช้ต่อไป
“ผมมาอยู่ซอยนี้ 2535 และก็น้ำท่วมปี 2538 พอน้ำท่วมเสร็จผมก็เริ่มขายไก่เลย 1995 ตอนนั้นผมก็เริ่มขาย เริ่มเข็นรถเข็นตอนนั้นผมก็คิดว่า ตอนนั้นรายการ “ฝันที่เป็นจริง” ไตรภพเขาให้รถเข็น ผมก็ไปซื้อรถเข็นมาคันหนึ่งที่บางบัวทอง 700 ผมยังจำได้เลย ผมก็ซื้ออุปกรณ์อะไร ตังทุนก็ไม่มี ก็เข็นขายทอดไปเรื่อย เข็นไปเรื่อยในซอยเนี่ย ไก่ทอดหาดใหญ่มันดังผมก็เขียนไก่ทอดหาดใหญ่ด้วย แต่ที่จริงผมไม่ใช่ต้องการที่ว่าจะเอาแบรนด์ หาดใหญ่ ไก่สูตรของผมเอง ผมก็ตั้งของผมเองว่าเออให้มันมีชื่อว่าเอ้อ หาดใหญ่มันดังผมก็ตกลงเอาตอนนั้น เอาไก่ทอดหาดใหญ่”
จากนายช่างใหญ่คุมโรงงาน สู่ร้านรถเข็นขายไก่ทอดสู้ชีวิต!
บังแอเล่าให้ฟังอีกว่า ตนเองเรียนจบมาทางด้านช่างกลโรงงาน“บังจบช่างมา แล้วก็ไปคุมโรงงานสแตนเลสมีลูกน้อง 40-50 คนนะ และก็เราเงินเดือนสมัยนั้นหมื่นกว่าบาท แล้วก็ขับรถบริษัทแต่งตัวหล่อ แต่ตังในกระเป๋าไม่มี! เถ้าแก่ผมรวยแต่ผมก็ได้แค่นั้นแหละ แปดโมงเช้าทำงาน-ห้าโมงเลิกงาน โหนรถเมล์ซื้อแกงถุงละ10 บาทใส่กระเป๋า มาถึงกินข้าวกับเมีย โอ้โหเมียบอกโทรหาโทรศัพท์ไม่มีก็ใช้หยอดตู้นั่นละ บอกว่าหุงข้าวแล้วเอาไข่ใส่ในหม้อข้าวด้วย ไข่ล้างแล้วเอาใส่ในหม้อข้าว ก็มาถึงกินแกงกับไข่ต้มนั่นแหละทุกวัน ๆ ผมอยู่2 ปี ผมว่าโอ้โหมันไม่ดีขึ้นชีวิต! บ้านก็ต้องเช่าอยู่ เช่าห้องอยู่ ผมบอกผมลาออกดีกว่า” ออกมาขายไก่ทอดดีกว่า คือจุดเริ่มต้น แล้วก็มานั่งลงทุนขายไก่ทอด กางเกงยีนส์ตัวหนึ่ง เสื้อยืดสีขาวตัวหนึ่ง รองเท้าผ้าใบนันยางคู่หนึ่ง เข็นรถเข็นขายไก่ทอดไปซึ่งตอนนั้นถนนยังเป็นลูกรังอยู่เลยในซอยนี้“คว่ำหมดน้ำมัน! ความที่ว่าเรามาจากบ้านเช่าและก็เราเทน้ำมันใส่กระทะ คือประสบการณ์ไม่มี ก็เข็นใครเรียกกูก็ทอดตรงนั้น ใครเรียกผมก็ทอดตรงนั้นแหละเดี๋ยวใครเรียก เข็นไปมันก็คว่ำหมดเลยวันนั้น โอ้โหมันเป็นบทเรียนเป็นประสบการณ์ เราไม่รู้”
ต้นทางที่มาของสูตร “บังแอไก่ทอดหาดใหญ่”
ตนเองเป็นคนมุสลิมและก็บ้านที่เคยอยู่ต่างจังหวัดตรงนั้น เป็นชุมชนมุสลิม เช้ามุสลิมหรือว่าคนทางใต้เองเช้ามาถึงเขาก็จะกิน “น้ำชา” และก็มี “ข้าวเหนียวไก่” นี่คือเป็นอาหารหลักของเขาเลย ซึ่งข้าวเหนียวไก่ก็คือส่วนมากจะเป็น “ไก่ทอด” มุสลิมส่วนมากจะเป็นอย่างนี้“คือพอเราเอามาปรับของเราเพราะว่าเรามาอยู่พื้นที่กรุงเทพฯ คนที่ต่างจังหวัดกินกับคนกรุงเทพฯ เขากินรสแบบไหน รสชาติแบบไหน เขาไม่กินเผ็ดคนกรุงเทพฯ เขากินรสจัดไม่ได้ เขากินรสเผ็ดไม่ได้ เราก็ต้องปรับให้มันเข้ากับคนในเมืองกรุง คนในภาคกลาง จากเดิมเครื่องเทศมันต้องจัดจ้านแบบนี้ อันนี้เราก็ลดลงนิดหนึ่งเขาไม่ชอบเครื่องเทศมาก อะไรอย่างนี้ใช่มั้ย เราก็ต้องมาดัดแปลงปรับปรุงให้มันเข้ากับคนกรุงเทพฯ เราพัฒนาไปเรื่อยคือสูตรที่บ้านเขาทำแบบนี้เราพัฒนาจากที่บ้านมา ตรงนี้มันไม่ดีก็พัฒนาจากตรงนี้ขึ้นมา ๆ เราก็ได้เป็นสูตรของเรา”
ประเดิมขายครั้งแรก จากไก่ 3 ตัว
ครั้งแรกเลยของการเปิดร้านขายไก่ทอด บังแอเล่าว่าตนเองได้ซื้อไก่มาทำขาย3 ตัวก่อน ทำเองทั้งสับไก่เองเป็นชิ้นขนาดนี้ ปีกได้6 ปีก มีเท้ามันด้วย6 เท้า เครื่องใน3 พวง มานั่งทอดนั่งขายเอง “ตอนนั้นราคามันชิ้นหนึ่ง15 บาท(ปัจจุบันชิ้นละ45) หลายปีแล้วยี่สิบกว่าปีแล้วมันต่างกัน ราคาไก่มันตามตลาด และก็ขาย ขายก็ไม่หมด! เฮ้ยเหลืออีกวันนี้ ทุนก็ยังไม่ได้เลย ผมก็ไม่เป็นไรเราต้องอดทน ผมก็เอาไปให้คนงานก่อสร้างที่เขามาสร้างหมู่บ้าน ให้เขากินเพราะเราเอาไปขายต่อไม่ได้พรุ่งนี้ ไม่ได้! เราต้องแจกเขา ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ผมก็สู้ต่อ ไปตลาดซื้อมาทำใหม่อีก ขายวันที่3 เฮ้ย! ขายหมดแล้ว วันที่4 ก็โอเคหมดอีก วันที่5 เพิ่มอีกสักตัวหนึ่ง เพิ่มขยับขึ้นไป เฮ้ย! โอเคเพิ่มทีละตัว ๆ เราเพิ่มไปเรื่อย เนี่ย! เป็นอย่างนี้”
จุดเด่นอีกอย่างของ “บังแอไก่ทอดหาดใหญ่” ในฐานะของเจ้าตำรับบอกด้วย ถ้าเป็นไก่ทอดหาดใหญ่ของเขาจะเป็น “หอมเจียว” แต่ถ้าของบังแอเอกลักษณ์จะเป็น “กระเทียมเจียว” ซึ่งจะฉีกแนวออกไปเลย ส่วน “ข้าวเหนียว”ของร้านบังแอจะนุ่มกินอร่อยไม่เหมือนใคร(สูตรเฉพาะที่ร้าน)“คือเราทำอะไรให้เป็นเอกลักษณ์ของเรา ทำให้มันเป็นแบรนด์ของเรา”หลังจากที่เพิ่มจำนวนของไก่เป็นตัวที่ 4 ที่5 ต่อวันและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับแล้ว พอมีความถนัดเรื่องของการทอด เรื่องไก่ก็โอเคแล้ว จากนั้นลองเอา“ปลาดุก”มาทอดเสริมด้วย(ทอดขมิ้นแบบทางภาคใต้) ปรากฏว่าปลาดุกทอดขมิ้นก็มาแรง! จนตอนนี้ทำท่าว่าจะแซงไก่ทอดไปแล้ว
“ความแตกต่างของเราคือ เราเน้นคุณภาพ เราต้องใส่ใจ เรากินแบบไหนลูกค้าต้องกินแบบนั้น นี่คือสำคัญเลย ถ้าเรากินไม่ได้ลูกค้าก็กินไม่ได้! ของที่เราทอดแล้วเราต้องขายให้หมด ไม่ใช่เอามาทอดอีกพรุ่งนี้ มันไม่ใช่! จะต้องทำแบบสดใหม่วันต่อวันเท่านั้น แล้วไก่ที่เรานำมาใช้หมักเนี่ยเป็น “ไก่สด” ไม่ใช่ไก่แช่ หนึ่งคือเนื้อมันไม่เหมือนกัน ถ้าคนกินไก่จะรู้ว่าไอ้นี่ไก่แช่มา ไก่ฟรีซมา มันต่างกัน ราคามันจะสูงส่วนมากเขาไม่ทำเพราะว่า ต้นทุนมันสูง เพราะเขาต้องการกำไรเยอะ มันเป็นอย่างนี้”
ทำเลทองการค้า “ซอยท่าอิฐ” และมีสื่อโฆษณาของตัวเองด้วย!
บังแอยังได้พูดถึงทำเลทองการค้าขายของ “บังแอไก่ทอดหาดใหญ่”ด้วย แจ้งเกิดก็ใน “ซอยท่าอิฐ”เนี่ยแหละ ในซอยท่าอิฐต้องรู้จักร้านไก่ทอดบังแอ“เข้ามาในซอยท่าอิฐถ้าว่าไม่ได้กินไก่บังแอมันมาไม่ถึงท่าอิฐนะ! (หัวเราะอย่างชอบใจ) ใช่คือถามปั๊บรู้จักร้านไก่บังแอมั้ย ส่วนมากสัก80% โอเคต้องรู้จัก ไม่รู้จักหน้าก็ร้านไก่อ้อ! ร้านบังแอรู้จัก เอาง่าย ๆ สมมุติว่ามาไม่ถูกรถเมล์สาย18 นี่บอกคนขับรถเมล์ว่าจอดหน้าร้านบังแอ ทุกคันมันต้องจอดให้เพราะว่า รถเมล์เขามาซื้อประจำ จอดซื้อสาย69 เขารู้ จอดให้หน้าร้านเลย(หัวเราะ) เพราะรถเมล์ลงมาซื้อไก่ด้วย”
เป็นการตัดสินใจเลือกทางเดินใหม่ที่บังแอบอกว่า เรามาถูกทางแล้ว!“คือเราไม่มองทางอื่นแล้วเราคิดตอนนี้ และก็หนึ่งโทรศัพท์ไม่มีผมลงทุนซื้อโทรศัพท์มือถือของSiemens เครื่องละสองหมื่นหก! ตังก็ไม่มีนะ แพงมากโทรเข้า-โทรออกอย่างเดียว เบอร์โทรก็ไม่ได้โชว์แค่โทรกับรับสายแค่นั้นแหละ ผมก็ทำ “ถุงหิ้ว” ให้มีเบอร์โทรด้วย นี่คือเป็นสื่อที่ดี หิ้วไปพอเขาโทรมาสั่งก็ไปส่งให้ฟรีด้วย! โอ้โหซื้อไก่ชิ้นเดียว10 บาทผมก็ไปส่ง” การโปรโมตร้านโดยผ่านสื่อหลักซึ่งเป็นแพคเก็จจิ้งสำหรับใส่ไก่ทอดให้กับลูกค้าด้วย เริ่มขึ้นในช่วงประมาณสัก20 ปีที่แล้ว“มีโลโก้แล้ว มีเบอร์โทร มีชื่อร้าน แต่ว่ามันยังไม่ได้จดบริษัทไม่ได้จดเป็นลิขสิทธิ์อะไรตอนนั้นยังไม่ได้จด ทุกวันนี้จดหมดแล้ว คือตอนนั้นเราต้องการคือโฆษณาสินค้าเราว่า เฮ้ย! มันกินแล้วมันโดน เฮ้ย!มึงซื้อที่ไหนวะโทรเลยเบอร์นี้! โอ้โหมันประทับใจ คือมันคุ้มค่าที่เราซื้อโทรศัพท์26,000 โอ้โหมัน! แหม รับลูกค้าอย่างเดียวเลย! โทรศัพท์นี่นอนกลางคืนไม่ได้คือรอลูกค้า พกนี่หมายความว่าต้องโชว์ให้เขาเห็นว่าผมมีโทรศัพท์นะตอนนั้น(หัวเราะ) แหมไม่ใช่ซ่อนไว้ไม่! ต้องให้เขาเห็นด้วยว่าโอบังแอมีโทรศัพท์”
ลงทุนซื้อโทรศัพท์มือถือราคาแพงในยุคนั้น เพื่อมารอรับลูกค้าโทรเข้ามาจากที่มีการโปรโมตผ่านสื่อที่ผลิตขึ้นมาเองก็คือ “ถุงหัวหิ้ว” “ถุงก็แพงด้วยตอนนั้นค่าพิมพ์ค่าบล็อกเนี่ย ตังก็ไม่มี แต่ต้องลงทุน นี่! แต่เราต้องลงทุน คือต้องสู้ต้องไปหน้าแล้ว” บังแอบอกด้วยตอนนั้นที่เริ่มขยับขยายกิจการเพราะว่าเริ่มเห็นรายได้ซึ่งมันชัดแล้ว ดีกว่าการทำงานประจำแน่นอน ได้เห็นเงินทุกวันก็ช่วยกันกับภรรยาเงินที่ได้มาส่วนไหนต้องจ่ายค่าอะไรบ้าง ส่วนไหนจะต้องเก็บเอาไว้ใช้เป็นทุนต่อไป“รถยนต์ก็ไม่มี จะซื้อรถยนต์สักคันหนึ่งเดี๋ยว ยังไม่คิดก่อนเอาตรงนี้ก่อนให้มัน พอเราขายมันขายดี ๆ ทุกวัน ๆ คือลูกค้าตอบรับ โอ้โห! กำลังผลิตก็มันเพิ่มขึ้น ๆ ทุกวัน ๆ จากตัวเป็นสองเป็นสามเราเพิ่มทีละตัว ๆ เราเพิ่มทีละนิดเราจะไปเพิ่มทีเดียวไม่ได้! ตอนนั้นที่เริ่มมีถุงหิ้วแล้วเราขายก็วันนึงโอเค ประมาณสัก30-40 ตัว ก็100 กว่าชิ้นเองสมัยนั้นแรก ๆ เริ่ม แต่ก็ขายหมดทุกวัน และก็ตอนนั้นวัตถุดิบก็ราคาไม่แพง ถูก กำไรมันจะดีหน่อย”
เติบโตสู่รูปแบบของ “บริษัท” มีพันธมิตรบริการส่งให้พร้อม
ถามบังแอว่ามีคนมาขอซื้อ “สูตร” หรือแฟรนไชส์เยอะไหม ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่าตนเองไม่คิดที่จะขายสูตรให้ใคร เพราะว่าส่วนตัวเองไม่ได้คิดไปไกลถึงว่าสูตรจะต้องไปถึงไหน ๆ ไม่ได้คิดแบบนั้น แต่ถือว่าโอเคชีวิตนี้และก็ครอบครัวไม่ได้ลำบากอะไรแล้ว ซึ่งถ้าลูกทำได้ก็ให้สูตรกับลูกทำต่อไป แค่นั้นไม่เป็นไร ถ้าเขารักเขาก็ทำต่อไปหรือถ้าไม่ทำก็ไม่เป็นไร“เราก็มีเหตุผลของเราผมก็ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน คือเราเก็บไว้คนเดียวเรา บอกตรง ๆ ว่าเราไม่อยากแม้แต่เพื่อนอะไรมาขอเนี่ยจริง ๆ ไม่ได้ กินดีกว่ามา มีอะไรให้ช่วย ช่วยได้ดีกว่า อย่าเอาเลย! เราคุยดี ๆ จริง ๆ นะ เพราะผมหวงมาก ๆ ทุกอย่างนี่เราต้อง ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ คนเราถ้าไม่ซื่อสัตย์ต่ออาชีพผมบอกมันไม่เจริญ”
ปัจจุบันนี้จดทะเบียนเป็นรูปแบบของ “บริษัท” ชื่อ บังแอ1995 คัมปานี ลิมิเต็ด มีชื่อแบรนด์และก็จดลิขสิทธิ์ด้วย “คือไก่ทอดหาดใหญ่ใครทำได้ แต่โลโก้บังแอขึ้นไม่ได้”และส่วนถ้าหากว่าพูดถึง “บังแอไก่ทอดหาดใหญ่” ลูกค้าก็จะนึกถึงเลยว่า “หนังกรอบ เนื้อนุ่ม ข้าวเหนียวนิ่ม” นี่คือครบเครื่องตามที่ใคร ๆ ทานแล้วก็ต้องติดใจ และด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของร้านเอง ซึ่งบังแอยืนยันว่าไก่ทอดของตนเองนั้นไม่เหมือนใครแน่นอน“จากวันนั้นถึงวันนี้กว่า29 ปีแล้ว ตอนนี้ก็ไก่มีทุกอย่างชิ้นส่วนไก่ทุกอย่าง ตอนนี้มีเพิ่มมาเป็น “ปลาดุก”ปลาดุกทอดขมิ้นมา 5-6 ปีแล้ว ส่วนราคาก็45 บาท เท่ากันทั้งไก่และปลาดุกทอด”
ในสมัยก่อนบังแอเล่าให้ฟังว่า ความที่ตนเองให้ความใส่ใจเรื่องของ “การบริการ” ลูกค้า จะใกล้ไกลหรือซื้อไก่แค่ไม่กี่ชิ้นก็มีบริการส่งให้ด้วย ส่งฟรีโดยมีตนเองขับมอไซค์ไปส่งเองเรียกว่าตอนนั้นจนตัวดำหน้าดำหมดเลย ใครสั่งก็ไปส่งให้หมด บางทีก็ให้หลานขับไปส่งให้บ้างเดี๋ยวก็เอารถไปชนมาก็มี เจอปัญหามาสารพัดรูปแบบแต่ว่าปัจจุบันนี้มีบริการผ่าน “ไรเดอร์” ของพาร์ทเนอร์ค่ายต่าง ๆ ที่เข้ามาร่วมให้บริการด้วย ซึ่งก็เลยทำให้เพิ่มความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้าแก่ลูกค้าได้มากกว่าด้วย เพราะเขาจะมีรูปหน้าตาสินค้าของร้านที่ร่วมบริการให้เห็นและเลือกได้ ซึ่งต่างกันกับยุคก่อนจึงถือว่าพอมีบริการแบบนี้แล้วยิ่งทำให้ร้านของตนเองขายได้มากขึ้นไปอีกด้วย “เราอยากได้ตังลูกค้า อยากได้เงินของเขา เราต้องบริการเขา ไม่ได้! บริการนี่สำคัญ ใช่!”
ส่วนปัญหาหรืออุปสรรคถามว่ามีบ้างไหม บังแอก็ตอบด้วย“ตลอดเส้นทางบังแอเป็นคนที่ เป็นคนโชคดี ปัญหาอุปสรรคมันมีแต่ว่ามันก็ไม่เยอะ อย่างช่วง “ไข้หวัดนก” ที่ระบาดตอนนั้น คนไม่กินไก่ ผมขายไม่ได้เลย ชิ้นเดียวไม่มีใครกินผมทำไก่ไว้ เลยเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสผมก็ขายข้าวแกง แกงปักษ์ใต้ขายดีมากเลย เราทำมาเป็นระยะสั้น ๆ เพราะว่าพอหวัดนกมันซา โอเคกลับมาขายไก่ดีเหมือนเดิม เพราะว่าหลักคือเราขายไก่อยู่แล้ว ส่วนช่วง “โควิด-19” นี่ ถ้าพูดถึงผมนี่มันตรงข้ามเลย ผมขายดีมากมากเลย ดีมากมาก! เพราะว่าลูกค้าไม่ออกจากบ้านโทรสั่งอย่างเดียว สั่งอย่างเดียวเลย! โอ้โห วัน ๆ จริง ๆ นะ มันเป็นโอกาสของผมเลย!”
กว่า29 ปีฝันที่เป็นจริง! อาชีพนี้ “พระเจ้า” ให้มา
เจ้าของแบรนด์ “บังแอไก่ทอดหาดใหญ่”บอกว่าสำหรับร้านที่อยู่ในซอย “ท่าอิฐ” แห่งนี้ต้องถือว่าเป็น สำนักงานใหญ่เลยของบริษัท เพราะหลังจากไม่ได้ตระเวนเข็นรถขายแล้วก็จะเป็นร้านที่ตั้งอยู่กับที่ซึ่งอยู่ที่นี่เลย “คือเราอย่าไปฟู่ฟ่าไม่ได้! ร้านหนึ่งเราเน้นหนึ่งต้อง “ความสะอาด” Quality service ไม่ได้เราต้องมี Vision ของเรา” ส่วนสาขาที่ตลาดฐานเพชรนนท์ อยู่ตรงข้ามกับตลาดนกฮูก จ.นนทบุรี(สาขาที่2) ลูกสาวเขาอยากจะเปิด ก็แล้วแต่ถ้าหากเขาชอบ อยากดำเนินการต่อก็แล้วแต่เขาเพราะตนเองอยู่เบื้องหลังให้อยู่แล้ว เป็นที่ปรึกษาให้
“เรานี่ปกติถ้าเป็นต้นไม้ “รากแก้ว” เราหยั่งลึกแล้ว คือทุกวันนี้คุณไม่กินหยุดไป5 วันคนโน้นก็มาเข้า ลูกค้าสมาชิกมันก็วันหนึ่งประมาณเท่าเดิม มันไม่สูงมันไม่ต่ำกว่านี้ มันจะอยู่ระดับนี้ รายได้เราก็โอเคเท่านี้ มันจะเสมอ คือช่วงนี้นะช่วงปัจจุบันนี้การค้าขายตอนนี้เงียบไปหมดเลยนะ แต่เรายังคงที่ โอเคลดไปสักหน่อยไม่เป็นไร แต่ลูกค้าเรามันฐานกว้างเราอยู่ได้ แต่ถ้าว่ามาเกิดใหม่เนี่ยยาก! ไม่โตให้เราเลย ลูกค้าไม่ได้สัมผัสไม่รู้! ต้องลองไม่กล้าลองอีก! อย่างนี้นะคือ ๆ ถ้าเราไม่มีฐาน ต่อให้อร่อยถ้าไม่มีฐานคือมันยาก เริ่มต้นใหม่นับหนึ่งเนี่ยมันยาก อย่างลูกสาวไปเปิดถ้าเขา เขาไปนับ11 เลย!ถ้าเขานับ1 เนี่ยเขาขายไม่ได้หรอก คนเขาไม่รู้จัก แต่ตอนนี้ออร์เดอเขาก็มี ลูกค้ากินแล้วกลับมาอีก เราประทับใจตรงนั้น เราสังเกตได้ลูกค้ากินแล้วกลับมาอีก ออเราต้องโดน เราต้องคิดแบบนั้น ไม่ใช่ขายอย่างเดียวไม่รู้ลูกค้าคนไหนไม่รู้จำไม่ได้ เราต้องสังเกตวันนั้นคนนี้มาซื้อ อ๋อพี่คนนี้วันนั้นมาซื้อ เราต้องใส่ใจลูกค้าเรา เราต้องเทคแคร์ลูกค้า ไม่มีลูกค้าเราก็อยู่ไม่ได้”
บังแอ-นายนิพล สุทธิกาญจน์ยังบอกด้วย“ต้องขอบคุณพระเจ้า ที่เขาให้ริสกีบัง ให้โอกาสบังได้ขายไก่ทอดนี่ บังต้องนึกถึงพระเจ้า เราต้องระลึกถึงพระเจ้าตลอด นี่บังก็ต้องไปทำฮัจย์เพราะอะไร เพราะว่าพระเจ้าให้ตังเราแล้ว ให้เราประสบผลสำเร็จเราต้องไปตอบแทนพระเจ้า เงินที่เราได้มามันเป็น“เงินฮาลาล” หรือเงินสะอาด มันไม่ใช่เงินสีเทา นี่คือมุสลิมสำคัญที่สุดคือ เงินฮาลาล(อาหารฮาลาลคือ อาหารที่สะอาด) เงินสะอาดที่ได้มาจากความอุตสาหะในการประกอบอาชีพของเรา นี่แหละมันได้บุญ!เราก็ไปทำพิธีกรรมที่เรามีความภูมิใจในฐานะของมุสลิม”
ร้าน “บังแอไก่ทอดหาดใหญ่” ทั้ง2 สาขา เปิดให้บริการทุกวัน ใครสะดวกหน้าร้านหรือสั่งผ่านออนไลน์ก็สะดวกสบายดีสอบถามเพิ่มเติม โทร.098-901-4871ขอบคุณข้อมูลจากเพจ : บังแอไก่ทอดหาดใหญ่