ในช่วงวัยเด็กเมื่อสอบได้ที่ 1 ของห้องเด็กคนอื่นมักจะขอของขวัญหรือสิ่งของที่ต้องการกับพ่อแม่แต่ “แนท ปรทิพย์ นามชุ่ม บุษยวิทย์” เธอขอเข้าร้านทำเล็บเพื่อสนองความต้องการที่เธออยากมีเล็บที่สวยงามเรียวยาวเหมือนดาราที่เคยเห็นในสื่อโทรทัศน์ เพราะความชอบทำเล็บมาตั้งแต่เด็กทำให้เธอมุ่งมั่นที่จะได้เรียนรู้และอยู่กับสิ่งที่เธอชอบมาโดยตลอด ต่อยอดจนเธอสามารถเปิดเป็นหน้าร้านได้อย่างเต็มรูปแบบในชื่อร้าน Nail.mate
ปรทิพย์ นามชุ่ม บุษยวิทย์ เจ้าของร้านทำเล็บ Nail.mate เล่าว่า จุดเริ่มต้นในการทำเล็บนั้นเริ่มต้นจากความชอบส่วนตัว ซึ่งปกติแล้วเธอเป็นคนที่ชื่นชอบการทาเล็บมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอเล่าว่ามือและนิ้วของเธอนั้นไม่สวยเหมือนคนอื่น เวลาดูดารานักแสดงนิ้วมือจะเรียวยาวสวย เธอก็อยากจะมีมือแล้วนิ้วแบบนั้นบ้าง ซึ่งในอดีตตอนเธอยังเป็นเด็กจะมีการขายเล็บปลอมที่เป็นแบบ PVC ตามตลาด เธอจึงไปซื้อมาลองติดดู และเมื่อได้ลองติดเล็บปลอมแล้วนั้นยิ่งทำให้เธอชอบมากยิ่งขึ้น เพราะการมีเล็บที่สวยนั้นทำให้มือเรียวขึ้นมานั่นเอง ซึ่งสาเหตุนี้ทำให้เธอไว้เล็บยาวในทุกๆ ปิดเทอม จนกระทั่งช่วงมัธยมปลายจะมีความรักสวยรักงามเพิ่มมากขึ้นและเธอเองก็เริ่มเข้าร้านทำเล็บ และได้มีการต่อรองกับคุณพ่อของเธอว่าทุกครั้งที่เธอนั้นสอบได้ที่ 1 ของห้องเธอจะขอคุณพ่อเข้าร้านทำเล็บ ซึ่งในตอนนั้นยังเป็นการทาสีเล็บแบบสีธรรมดายังไม่มีสีเจลเหมือนทุกวันนี้
หลังจากช่วงมัธยมผ่านไปเธอก็เริ่มเข้าสู่มหาวิทยาลัยเธอก็ยังคงเข้าร้านทำเล็บอย่างต่อเนื่อง และเริ่มมีการทาเล็บแบบสีเจลเข้ามาแล้วแต่เธอก็ยังคงคอนเส็ปต์การต่อ PVC เพื่อให้เล็บนั้นยาวสวย เธอเล่าว่าเธอทำเล็บบ่อยจนกระทั่งสนิทกับเจ้าของร้าน ซึ่งเวลาไปทำเล็บเธอมักจะสอบถามเกี่ยวกับการทำเล็บกับเจ้าของร้านรวมถึงอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ในการทำเล็บ และเก็บความรู้เหล่านั้นมาอย่างต่อเนื่องและทำเล็บเองบ่อยขึ้นจนกระทั่งครบ 1 ปี เธอเริ่มหาวิธีทำเล็บแบบใหม่ๆ ให้กับตัวเองที่นอกจากการต่อเล็บแบบ PVC เธอเริ่มดัดแปลงให้มีความหลากหลายมากขึ้น และสีเล็บเจลเริ่มมีบทบาทในตลาดทำเล็บอย่างเต็มรูปแบบแต่ในช่วงแรกจะมีราคาที่สูงมาก และแน่นอนว่าเธอจะต้องไปทำ แต่ไปทำเพื่อให้รู้ว่ามันคืออะไรและจะต้องทำแบบไหนบ้างนั่นเอง
ต่อมาเธอมีความคิดที่จะซื้ออุปกรณ์ทำเล็บที่ครบครันมากขึ้น เธอจึงปรึกษากับแฟนของเธอแต่ราคาค่อนข้างสูง 1 ชุดราคาประมาณ 10,000 บาท เธอจึงปรึกษากับแฟนว่าขอซื้อมาแล้วรับทำเล็บแบบเดลิเวอรี่ในคอนโด ซึ่งเธออธิบายว่าในตอนนั้นที่พูดออกมาเป็นคำพูดที่พูดแบบยังไม่ทันได้คิด โดยเธอบอกว่าเป็นคำพูดเพื่อเป็นข้ออ้างในการซื้อของเท่านั้นเอง หลังจากที่แฟนเธอได้ฟังเช่นนั้นก็บอกว่าเดี๋ยวก็เจ๊งอีก! แต่ก็ยอมให้ซื้อ ซึ่งหลังจากที่ได้ชุดทำเล็บมาแล้วนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เนื่องจากเธอทาสีเล็บทุกสัปดาห์เพราะใช้สีทาเล็บแบบธรรมดา แต่พอทาสีเจลแล้วอยู่ได้นานเพราะสีเจลมีคุณสมบัติของการอยู่ได้นานกว่าสีธรรมดา ซึ่งเธอได้ทำเพียงเดือนละครั้งเท่านั้นทำให้เธอหมดสนุกในการทำเล็บเจล จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำแบบเดลิเวอรี่นั่นเอง
ทั้งนี้การทำเล็บเดลิเวอรี่เริ่มต้นด้วยการถ่ายรูปและโพสต์ลงในอินสตาแกรมเป็นที่แรกและใช้วิธีปริ๊นภาพโปรโมตร้านไปหย่อนในตู้ไปรษณีย์ของทุกห้องของคอนโดทำไปได้สักพักเธอก็ย้ายคอนโดมาอยู่ในโซนพระราม 9 ซึ่งเป็นโซนที่ค่อนข้างขึ้นชื่อว่ารถติด ทำให้เวลาผู้คนกลับเข้าบ้านแล้วมักจะไม่อยากออกข้างนอกอีกเท่าไหร่นัก จึงกลายเป็นจุดที่เธอสามารถเข้าไปแทรกช่องโหว่เหล่านี้ได้ ด้วยการที่เธอนั้นเข้าไปหาลูกค้าแทน และเธอได้มีการบอกกล่าวกับลูกค้าผ่านอินสตาแกรมอยู่เสมอว่าตนอยู่ที่ไหน เช็คอินคอนโดต่างๆ เวลาไปทำเล็บให้กับลูกค้า ซึ่งเธอทำอย่างต่อเนื่องจนทำให้มีลูกค้าติดตามเธอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และยังสามารถทำให้เธอนั้นมีลูกค้ากลุ่มนักศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะลูกค้าเหล่านี้มีการบอกปากต่อปากโปรโมตร้านให้เธอ ทำให้ร้านเป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้านักศึกษาอย่างรวดเร็ว ซึ่งลูกค้านักศึกษาของทางร้านนั้นส่วนมากจะเป็นนักศึกษาที่มีอิทธิพลต่อเพื่อนและรุ่นน้อง เมื่อบอกต่อออกไปก็จะมีลูกค้าตามมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการทำเล็บแบบเดลิเวอรี่นั้นเธอทำอยู่ประมาณ 2 ปี ลูกค้าหลักๆ จะเป็นนักศึกษาและพนักงานบริษัท ซึ่งเธอเล่าว่าเดลิเวอรี่เธอจะรับ 2 ช่วงเวลาคือ 19:00 น. กับ 22:00 น. สาเหตุที่เป็นเวลาดังกล่าวคือเธอนั้นทำงานประจำอยู่ก่อนแล้ว ทำเล็บเดลิเวอรี่จึงกลายเป็นอาชีพเสริมในช่วงนั้น ซึ่งใน 1 วันที่เป็นวันทำงานเธอสามารถรับลูกค้าได้ไม่เกิน 5 คน แต่ถ้าเป็นวันเสาร์และวันอาทิตย์เธอจะรับตั้งแต่เวลา 10:30-22:00 น. จะสามารถรับลูกค้าได้ประมาณ 5-8 คน
ในช่วงที่ทำเดลิเวอรี่เธอเล่าว่าจะมีให้ลูกค้าเลือก 2 ทาง ทางแรกคือ เธอเตรียมชุดอุปกรณ์ทำเล็บไปทำให้ถึงบ้านหรือคอนโดของลูกค้า และอีกทางคือให้ลูกค้ามาทำที่คอนโดของเธอ เนื่องจากไม่สะดวกให้ไปที่บ้าน และถ้าหากระยะทางไกลทางร้านจะไม่รับทำ ทำให้ลูกค้าเหล่านี้เลือกที่จะมาทำเล็บที่คอนโดของเธอนั่นเอง ซึ่งในส่วนที่เธอไปทำเล็บที่บ้านลูกค้าจะคิดค่าเดินทางตามมาตรฐานของแอปฯ เดลิเวอรี่ นอกจากนี้ในช่วงนั้นราคาการทำเล็บของทางร้านเริ่มต้นที่ราคา 200 บาท
ทำเดลิเวอรี่ได้ 2 ปี จึงเปิดเป็นหน้าร้าน ซึ่งเธอเล่าให้ฟังว่าในความเป็นจริงเธอไม่ต้องการเปิดหน้าร้าน แต่เป็นเพราะว่าจังหวะและช่วงเวลามีความสมควร เมื่อทำเดลิเวอรี่ได้ประมาณ 1 ปีครึ่งเธอก็ลาออกจากงานประจำและหันมาทำแค่เดลิเวอรี่อยู่ประมาณ 5 เดือน จึงตัดสินใจเปิดหน้าร้าน บวกกับลูกค้าแนะนำพื้นที่ว่างให้สำหรับเปิดเป็นหน้าร้านเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเดินทางอีกต่อไป แต่เธอก็ยังคงไม่มีความต้องการที่จะเพิ่มภาระต้นทุนให้ตัวเองมากขึ้น เพราะการเปิดหน้าร้านจะต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งค่าที่ ค่าน้ำและค่าไฟ แต่เมื่อเธอลองคิดทบทวนบวกกับอุปกรณ์ทำเล็บที่มีจำนวนมากขึ้น เธอเริ่มที่จะขนไม่ไหว จากเดิมที่มีเพียงกระเป๋าใบเดียวไม่ใหญ่มาก กลายเป็นกระเป๋าลากใบใหญ่รวมถึงเพิ่มอุปกรณ์อีกหลายอย่าง นอกจากนี้เธอยังได้รับฟีดแบกจากลูกค้าในเรื่องของการไม่สบายใจและกลัวการมาทำเล็บที่คอนโดของเธอ และเธอเองก็กลัวที่ลูกค้าต้องมาทำเล็บที่ห้องของเธอนั่นเอง จึงทำให้เธอตัดสินใจเปิดเป็นหน้าร้านในที่สุด
เริ่มต้นเปิดเป็นหน้าร้านเล็กๆ อยู่ในซอยที่ผู้คนไม่พลุกพล่านมากนัก เพราะเธอต้องการหน้าร้านที่เป็นส่วนตัวแต่ไม่ลึกลับน่ากลัว ลูกค้าเข้าถึงได้และสะดวกใจที่จะมาทำเล็บที่ร้านนั่นเอง เนื่องจากเธอจะรับเฉพาะลูกค้าที่จองคิวเอาไว้ ไม่รับลูกค้าที่วอล์คอินเข้ามา เพราะว่าถ้าคิวเต็มแล้วลูกค้าที่วอล์คอินเข้ามาก็จะไม่ได้ทำ เธอจึงรับเฉพาะจองคิวเท่านั้น และในปัจจุบันเธอเปิดหน้าร้านอยู่ที่พระราม 9 ซอย 41 ทั้งนี้กลุ่มลูกค้ามีเข้ามาหลากหลายรูปแบบแต่ส่วนมากจะเป็นลูกค้าวัยทำงานเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ตั้งแต่ทำแบบเดลิเวอรี่จนเปิดเป็นหน้าร้าน ร้านทำเล็บของเธอก็ได้เดินทางเข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว
สำหรับการทำการตลาดนั้นทางร้านจะเน้นการตลาดแบบให้ลูกค้าบอกปากต่อปาก ยอดการติดตามในอินสตาแกรมมีทั้งเพิ่มและลดในแต่ละช่วงเวลา เพราะเธอไม่ได้ซื้อโฆษณาโปรโมตร้าน แต่จะอาศัยให้ลูกค้าบอกต่อกันเองและการรีวิวจากลูกค้าเป็นหลัก รวมถึงอาชีพเดิมเธอทำงานเกี่ยวกับออนไลน์ มาร์เก็ตติ้ง เธอจึงนำร้านของเธอเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์มาตั้งแต่แรกเริ่ม และอาศัยการบอกต่อและรีวิวจากลูกค้า ทำให้ผลตอบรับนั้นงอกงามในปัจจุบัน
ตั้งแต่เปิดหน้าร้านมานั้นแฟนของเธอก็เข้ามาช่วยทำและไม่รับเป็นรอบเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งเมื่อลูกค้าจองคิวเข้ามาทางร้านก็จะสอบถามว่าทำอะไรบ้าง และเธอบอกอีกว่าเคยรับคิวได้มากสุดคือ 10 คิว เฉพาะที่ทาสีเจลและในแต่ละคนจะใช้เวลาค่อนข้างนานรวมๆ แล้วประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เพราะต้องมีการเคลียร์หน้าเล็บก่อนทุกครั้งที่จะลงสี เพื่อให้ได้เล็บที่สวยงาม แต่ถ้าลูกค้าต้องการทำเล็บที่มีลวดลายเพิ่มก็จะใช้เวลาเพิ่มขึ้นไปอีก ปัจจุบันเธอขยับราคาขึ้นมาเป็น 390 บาทเฉพาะทาสีพื้น เน้นเรียบหรูดูดีมากกว่าลวดลายน่ารัก นอกจากนี้ทางร้านยังมีบริการสปามือและเท้า ลิฟติ้งขนตา แวกซ์คิ้ว ให้ลูกค้าอีกด้วย
ปัจจุบันไม่เพียงเฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่จะชื่นชอบการทำเล็บ ผู้ชายยุคใหม่ก็หันมาสนใจแฟชั่นการเล็บมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันเริ่มเห็นผู้ชายทำเล็บเพื่อเป็นแฟชั่นและความสวยงามกันมากขึ้น ซึ่งลูกค้าของเธอเองก็มีลูกค้าผู้ชายเช่นเดียวกันแต่ยังคงน้อยกว่าผู้หญิงเฉลี่ยแล้วประมาณ 10% นอกจากนี้ยังมีลูกค้าผู้ชายที่เข้ามาทำสปาเล็บ ตัดเล็บ ตัดหนังกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งลูกค้าผู้ชายเหล่านี้จะค่อนข้างมีอายุมากกว่าวัยรุ่นหรือวัยทำงานที่เข้ามาใช้บริการ
ทั้งนี้ในอนาคตเธอเล่าว่าเธอวางแผนต่อยอดธุรกิจให้ไปในทิศทางของการเปิดคอร์สสอนการทำเล็บ แต่อยู่ในช่วงวางแผนว่าจะให้เป็นรูปแบบการสอนแบบใด รวมถึงวางแผนขยายสาขาเพิ่มเพื่อรองรับลูกค้าให้ได้มากยิ่งขึ้น เพราะในปัจจุบันเธอทำกับแฟนเพียง 2 คนเท่านั้นไม่มีพนักงาน แต่วางแผนขยายสาขาและจะรับพนักงานมาช่วย เพราะว่าถ้าหากเธอรับลูกค้ามากขึ้นจะทำให้ร่างกายเกิดความล้าได้ เมื่อร่างกายเหนื่อยล้าอาจจะทำให้คุณภาพของงานลดลง การขยายสาขาและเพิ่มพนักงานจึงตอบโจทย์ในส่วนนี้ได้
จากความชอบสมัยเด็กและต่อยอดมาจนเปิดเป็นหน้าร้านและมีลูกค้าชื่นชอบการทำเล็บของเธอทำให้เธอรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เธอเองบอกความรู้สึกกับทาง SMEs Manager ว่า “รู้สึกภูมิใจมากๆ เลยค่ะ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ที่บ้านไม่ได้สนับสนุนอะไรเลย ที่บ้านเห็นด้วยกับการออกไปทำเล็บเลยด้วยซ้ำ ใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองนานมากประมาณ 5-6 ปี เขาถึงได้ยอมรับ จนแบบล่าสุดปีที่แล้วได้ออกหนังสือพิมพ์ไป เขาพึ่งรู้ว่าแนทรับเดลิเวอรี่ และเขาเคยบอกว่ามันน่ากลัวแต่ความลับก็ถูกเปิดเผยเมื่อปลายปีที่แล้ว เขายอมรับได้ก็ใช้เวลา 6 ปีค่ะ ที่เขายอมรับจริงๆ เพราะตอนลาออกก็คือไม่บอกเขา ไม่บอกอะไรเลยจนเหมือนทะเลาะกันแล้วต้องบอกไป แต่ไม่ได้พูดเดลิเวอรี่พูดแค่เปิดร้าน ก็เลยรู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่ทำไป มันอาจจะดูเล็กมากสำหรับคนอื่นนะ สำหรับแนทแนทรู้สึกว่า แนทภูมิใจในตัวแนทเองมากที่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่ชอบกลายมาเป็นงานที่รักได้ คือแนทรู้ตัวจริงๆ ว่า ฉันจะอยู่กับงานนี้ได้ตลอดชีวิต ตอนช่วงเดลิเวอรี่ ช่วงที่คาบเกี่ยวจะลาออกอะค่ะ ที่แบบคิดหลายรอบว่าจะอยู่ต่อหรือเปลี่ยนงาน เราก็เลยพูดว่าเราจะเปลี่ยนงานเพื่อไปรับหน้าที่ใหม่เพราะเราจะอยู่กับงานเดิมๆ ไปอีกนานแค่ไหนกับที่เราทำเล็บ เรารู้สึกว่าทุกเช้าที่ตื่นมาไม่อยากไปทำงานออฟฟิศเลย เรารอเวลาว่าเมื่อไหร่จะเย็น อยากไปทำเล็บ มันก็เลยชัดเจนว่าใช่แล้ว ต้องลาออกแล้ว คืองานออฟฟิศเขาไม่มีเราเขาก็อยู่ได้ เราแค่เจอสิ่งที่เราชอบก่อนคนอื่นเท่านั้นเองด้วยวัยที่เด็กมาก ก็เลยตัดสินใจลาออกเลย” แนท ปรทิพย์ ระบุ
อย่างไรก็ตามเธอรู้ตัวว่าเธอชอบการทำเล็บมากและการเป็นพนักงานออฟฟิศนั้นไม่ตอบโจทย์เธอสักเท่าไหร่ เธอตัดสินใจลาออกจากงานประจำในช่วงอายุประมาณ 24 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่น้อยคนจะลาออกจากงานประจำ แต่เธอรู้สึกว่าเธอสามารถอยู่กับงานที่เธอรักและสามารถอยู่ได้ตลอดชีวิตนั่นเอง ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวสำหรับผู้ประกอบการที่กำลังค้นหาตัวเองได้เป็นอย่างดี เมื่อรู้สึกว่าต้องการอะไรและรักในสิ่งไหน บวกกับมีปัจจัยที่พร้อมก็สามารถตัดสินใจทำในสิ่งที่ตัวเองรักได้ เมื่อรักในงานที่ทำก็จะมีความสุขในทุกๆ วันของการทำงาน
ติดต่อเพิ่มเติม
Instagram : nail.mate
Facebook : Nail.mate
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *