“ความน่าสนใจของฝรั่งตัวนี้ก็คือว่ามันไส้แดง เอกลักษณ์และก็เสน่ห์ของมันคือตรงไส้แดง เพราะประเทศไทยทุกคนจะเห็นแค่ว่าถ้าไส้แดงคือขี้นกถูกไหม และก็คนเห็นทั่วไปก็คือกิมจูเป็นไส้ขาวทั้งหมด พอตัวนี้เข้ามามันก็เลยฮือฮาเสน่ห์ด้วยตัวของมันเอง”
พี่ธนพร สุดใจเจ้าของ “สวนธนพร” ซึ่งอยู่ในย่าน อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี นำชมสวนพร้อมเชื้อเชิญให้ผู้ไปเยือนได้ลองชิมดูรสชาติของ “ฝรั่งไส้แดง” ไต้หวัน สายพันธุ์ต่าง ๆ ที่ปลูกรวบรวมเอาไว้สำหรับกิจการขายพันธุ์ไม้ที่สวนแห่งนี้เปิดดำเนินการอยู่ ดูไปด้วยคุยไปด้วยและยังได้ชิมฝรั่งอย่างจุใจไปด้วย “ตัวนี้ หงษ์จ้วนสือ หรือเพชรแดง(ชื่อไทย) มันจะคล้าย ๆ กัน ซึ่งถ้าคนไม่รู้เขาก็จะแยกไม่ออกว่าพันธุ์อะไร เพราะทุกคนเวลาซื้อไม้จะไปซื้อตามร้านตลาดตามอะไรพวกนั้น แต่ถามว่าเวลาแม่ค้าเขารับมาเขาก็ไม่รู้ เขาก็จะมาบอกพี่ว่าเอาไส้แดงไต้หวัน พี่ถามพันธุ์อะไรเขาไม่รู้! จุดเด่นของพันธุ์นี้รสชาติส่วนใหญ่ก็จะหวานกรอบ และก็ดกการปลูกดูแลไม่ยากทำเหมือนกัน ที่เห็นนี่จากกิ่งทาบปลูกอีกประมาณ5 เดือน ลูกขายกิโลละ 150 มาเนี่ยจะ 4 ปีแล้ว เพิ่งจะลดได้ 2-3 เดือน เพราะว่าเราสงสารลูกค้า”
กล่าวสำหรับฝรั่งไต้หวัน หรือฝรั่งไส้แดง ที่พี่ธนพรปลูกบนเนื้อที่กว่า5 ไร่นี้เจ้าตัวเล่าว่า เริ่มทำมาได้ก็ราว ๆ 4-5 ปีจากแต่ก่อนวิถีชีวิตก็แบบคนเมืองทั่วไป ทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นมนุษย์เงินเดือน แต่ด้วยปัญหาสุขภาพมีอาการเป็นภูมิแพ้อย่างหนักจึงตัดสินใจลาออกมาทำสวนอยู่ที่เมืองนนท์แทน ซึ่งเป็นละแวกบ้านเดิมของสามีโดยตัวเองจะทำเป็นหลักคนเดียวก่อน ส่วนสามีก็ยังคงทำงานต่ออยู่ที่ รพ.ศิริราช กระทั่งเกษียณแล้วจึงได้มาช่วยกันจัดการงานสวนอีกแรง โดยแรก ๆ ตนเองก็จับพลัดจับผลูปลูกโน่นทำนี่มาเรื่อยตามประสามือใหม่หัดทำการเกษตร ค่อย ๆ เรียนรู้มาพร้อมกับสิ่งที่ทำซึ่งก่อนจะมาจับทำฝรั่งไต้หวันอย่างเต็มตัว ล่าสุดที่ปลูกอยู่ก็มีมะนาว(วงบ่อ) มัลเบอร์รี่นอก (หม่อนกินผลสด) รวมถึงไม้ผลในกระแสอย่าง Fig หรือมะเดื่อฝรั่งที่ปลูกแบบในโรงเรือนด้วย แต่ว่าพอได้รู้จักกับฝรั่งไส้แดง (ไต้หวัน) จากการแนะนำของเพื่อน ๆ ที่ทำ Fig เหมือนกันโดยช่วงนั้นก็จะมีการประมูลพันธุ์ไม้พวกนี้กันด้วย ลงทุนครั้งแรก1 แสนบาท! ซื้อพันธุ์มาลองปลูกก็รู้สึกเครียดเหมือนกันจะขายได้จริงไหม? แล้วก็ลองเสียบยอดดู จากนั้นพอโพสต์ขึ้นfb เพื่อบอกขายพันธุ์ลองดู ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าแค่แป๊บเดียว ตอนนั้นสวนเองก็พอจะมีฐานลูกค้าที่ติดตามอยู่บ้าง ยอดสั่งซื้อที่เข้ามาเป็นหลายร้อยต้นเลย ทำให้เห็นได้ว่ามันมีความต้องการซื้อจริงและขายได้แน่ ๆ จากนั้นมาก็เลยเดินหน้าขยายสวนปลูกเพิ่มเรื่อย ๆ จนถึงทุกวันนี้
ใครได้ชิมก็ติดใจ ขนาดขายกิโลละ 100 กว่าก็รอซื้อ!!!
ตัดสด ๆ จากต้นเฉาะให้ชิมจนรู้รสกันไปแล้ว “หงษ์จ้วนสือ” หวานกรอบ ต่อมาถึง “เพชรน้ำหนึ่ง” ที่มีผิวสวยสมชื่อจริง ๆ รสชาติดีหวานนำ เนื้อแน่น มีกลิ่นหอมนิด ๆ เป็นเอกลักษณ์ ฝรั่งของสวนนี้พอแกะออกจากถุงห่อก็เฉาะชิมเนื้อกันได้เลยเจ้าของสวนบอกว่าการปลูกและดูแลที่นี่จะเน้นแบบปลอดภัย ไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเลย และสวนเองก็ได้การรับรองมาตรฐานGAP ด้วย ถามพี่ธนพรว่าจากราคาขาย “ลูก” ที่บอกสวนขายอยู่กิโลละ150 บาททุกพันธุ์นั้น ถือว่าแพงไหม? แล้วคนกินมีการซื้อซ้ำมากน้อยอย่างไร? พี่ธนพรบอกว่าสามารถขายได้ทุกระดับ พอใครได้ลองชิมแล้วก็ติดใจกลายเป็น “ลูกค้าประจำ” ของสวนที่ซื้อกันมาอย่างต่อเนื่อง หากแต่สวนเองเท่านั้นไม่ค่อยจะมีผลผลิตพอให้กับลูกค้าที่อยากซื้อ อยากชิม เพราะเนื่องจากว่าการผลิตจะเป็นลักษณะของการเน้นทำ “กิ่งพันธุ์”(แบบการทาบกิ่ง) และมีผลผลิตเป็นผลพลอยที่ติดอยู่เรื่อย ๆ ในต้นควบคู่ไปด้วย ดังนั้นก็เลยจะบอกไม่ได้ว่าช่วงไหนมีอะไรออกบ้าง หรือลูกค้าอยากจะสั่งว่าเอาพันธุ์นี้ ๆ ก็ไม่ได้อีก ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นมีต้นไหนหรือพันธุ์อะไรที่ออกมา ตนก็ถึงจะโพสต์ fb บอกกับลูกค้าเป็นแต่ละรอบไป ขายเฉพาะในจำนวนที่มีอยู่ หมดแล้วก็หมดเลย หากใครที่ไม่ทันก็ต้องรอดูว่ารอบหน้าจะมีอะไรออกใหม่มาอีก ฝรั่งไส้แดง(ไต้หวัน) ทุกพันธุ์ที่ปลูกอยู่รสชาติจะออกหวานนำ ที่นอกจากสีสวยแล้วยังกินอร่อยและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกด้วย ลูกค้าที่เคยมาที่สวนพอใครได้ชิมแล้วก็จะบอกต่อ ๆ กัน
ปลูกฝรั่งในวงบ่อฯ จัดการง่าย แต่ว่าได้อย่างก็เสียอย่าง!
อีกสิ่งหนึ่งที่ดูแปลกตาอยู่ไม่น้อยสำหรับสวนนี้ก็คือว่า การปลูกฝรั่งในวงบ่อซีเมนต์ เพราะปกติทั่วไปที่เราเริ่มเห็นจนชินตาแล้วก็คือจะเป็นมะนาว แต่ที่สวนธนพรมีการใช้วงบ่อซีเมนต์ปลูกฝรั่งอยู่ไม่น้อยเลย ถามเจ้าของสวนได้ความว่าเป็นความบังเอิญที่มี“ของ” เหลือจากการปลูกมะนาวอยู่ก่อน แล้วก็เลยเกิดไอเดียว่าลองเอามาปลูกฝรั่งดูจะให้ผลเป็นอย่างไรบ้าง เป็นวงบ่อซีเมนต์แบบเปิดก้นซึ่งกลายเป็นข้อดีว่า ปลูกต้นพันธุ์แบบเสียบยอดหรือพันธุ์ทาบกิ่งมาซึ่งใช้ “ต้นตอ” ที่เป็นฝรั่งขี้นกไทย ดังนั้นทำให้พืชสามารถหยั่งรากลึก(รากแก้ว) ลงไปในดินได้ดีอีกด้วย ขณะที่ระบบรากฝอยที่หากินอยู่ในระดับหน้าดินก็มีการเจริญอยู่ในวงบ่อ การให้-ให้ปุ๋ยก็มีประสิทธิภาพดีกว่าลดการสูญเสียทิ้งไปได้มาก การจัดการวัชพืชก็ดูแลได้ง่ายขึ้น แต่ว่าข้อด้อยของพื้นที่จำกัดก็คือ อาจทำให้ระบบรากฝอยไม่สามารถแผ่ขยายหาอาหารได้เต็มที่อย่างควรจะเป็น เกิดการขดงออยู่ในวงบ่อบ้าง แล้วอีกอย่างต้องเพิ่มความถี่ของการให้น้ำช่วยระบบรากที่อยู่หน้าดิน เพื่อไม่ให้แห้งหรือขาดน้ำจนเกินไป
การให้น้ำ: โดยเฉลี่ยจะวันเว้นวัน ปริมาณการให้ต่อครั้ง คือ ดูว่าชุ่มชื้นเพียงพอดีแล้ว
การให้ปุ๋ย: ที่สวนจะไม่มีสูตรว่าออกดอกให้ปุ๋ยสูตรอะไร ติดผลให้ปุ๋ยสูตรอะไร แต่จะใช้วิธีการจัดการ คือ ใส่ปุ๋ยคอก(ขี้วัว) ปีละ 2 ครั้ง ควบคู่ไปกับการให้ปุ๋ยเคมี “สูตรเสมอ” ร่วมกับ “น้ำหมักปลา” และ “จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง” ทำแบบนี้ทุก ๆ เดือน อันนี้เป็นสูตรของที่สวนทำอยู่ เหมือนต้นไม้ได้สะสมอาหารอยู่ทุกเดือน ๆ ไม่ขาดสารอาหาร ได้กินเต็มที่อยู่ตลอด
การป้องกันกำจัดศัตรูพืช: จากการที่สวนใช้น้ำหมักปลาและจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงราดลงไปในดินให้กับฝรั่งที่ปลูกอยู่ทุกเดือน ๆ โดยน้ำหมักปลาจะช่วยในเรื่องของความดกและรสชาติที่ดี ส่วนจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงจะช่วยเรื่องของระบบรากที่อยู่ใต้ดิน ลดการเสียหายจากเชื้อก่อโรคพืชและแมลงศัตรูที่อยู่ในดินได้อีกทางหนึ่ง แบบไม่มีการใช้สารเคมีเพื่อปราบศัตรูพืชเลยพี่ธนพรบอกว่าปัญหาโรคและแมลงศัตรูที่เข้ามากวนก็เจอบ้างแต่ว่า ความเสียหายไม่ได้มากนัก มีโรคแอนแทรกโนสของฝรั่งที่พบบ้าง เพลี้ย หรือแม้แต่ ไส้เดือนฝอย(สาเหตุของโรครากปม) พบบ้างแต่ก็อย่างที่เห็นคือ ต้นฝรั่งในสวนนี้ยังสามารถให้ผลผลิตได้ดีทุกต้น
มาถึงการชิมฝรั่งไส้แดงที่อยู่ในวงบ่อบ้าง โดยเริ่มจาก “เฟิ่นหงษ์มี่”รสชาติคือหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ กรอบ ครบรส ตามด้วย “หงษ์โล่”ลูกใหญ่ไซส์2 ลูก/กก. พันธุ์นี้จะมีรสชาติ(กลิ่น) ที่คุ้นเคยคล้ายกับฝรั่งพันธุ์ไทยอยู่ไม่น้อยเลย ถัดไปคือ “เอาใหญ่” เป็นชื่อที่เจ้าของพันธุ์ตั้งขึ้นเอง จากนำเมล็ดไต้หวันมาแล้วเกิดการกลายดี(กลายพันธุ์) พอปลูกที่ไทยพบว่าได้รสชาติดีกว่า “แม่” คือมีความหวานหอมกินอร่อยกว่า และมี “กิมจูแดง” เบอร์3 อันนี้เป็นผลงานของคนไทยผสมขึ้นมาเอง ไส้แดงรสชาติดีหวานกรอบไม่แพ้กัน แล้วก็ข้ามไปอีกร่องปลูกหนึ่งเป็นแบบการปลูกลงดินปกติ แต่ที่นี่การเว้นระยะห่างต้นที่ค่อนข้างจะถี่พอควร คือราว1x1 เมตร ทว่าทุกต้นก็สามารถให้ผลผลิตได้อย่างดีไม่น้อยหน้ากันเลย บนต้นที่มีทั้งการ “กิ่งทาบ” เพื่อการขายพันธุ์ด้วยและก็ “ผล” ที่เจ้าของบอกว่าจริง ๆ แล้ว การขายลูกคือเป็นโบนัสที่เพิ่มเข้ามาให้ เพราะว่าฝรั่งจะมีการติดดอกออกผลอยู่ตลอดทั้งปี ซึ่งบางต้นก็ติดลูกดกมาก ๆจะต้องมีการปลิดทิ้งไปบ้างเพื่อไม่ให้แย่งอาหารกันจนเกิน ไม่น่าเชื่อว่าขนาดต้น(ทรงพุ่ม) ไม่ได้ใหญ่เลยแต่ว่าฝรั่งมีมีการติดผลทยอยต่อเนื่องอยู่ไม่หยุดเลย ในร่องนี้เราได้ชิมรสของ “ซีกัวปาล่า”หรือฝรั่งแตงโมทรงผลกลมใหญ่ด้วย รสชาติดี หวาน อร่อยไม่แพ้เช่นกัน และยังมีฝรั่งแตงโมทรงผลรี(ลูกเล็กกว่า) หวานกรอบอร่อย ให้ชิมด้วยนะ แล้วจากนั้นก็ย้อนกลับมาทางเดิมผ่านร่องที่ปลูกในวงบ่อเป็นแนวยาว ระหว่างทางพี่ธนพรยังได้ให้ชิมอีกพันธุ์หนึ่งที่พิเศษมาก ๆ คือ “ขาวปุยฝ้าย”ซึ่งพันธุ์เดิมนำมาจากไต้หวันที่คนไทยมาพัฒนาต่อจนได้คุณสมบัติที่ดีออกมา หอมและหวานเป็นเอกลักษณ์ แล้วจากนั้นมุ่งหน้าต่อเพื่อไปเจอกับอีกหนึ่งทีเด็ดของสวนปิดท้ายสำหรับทริปนี้
รู้จัก “ฝรั่งแดง” แดง!!!ตั้งแต่ใบยันเนื้อในผล พันธุ์ใหม่ “แดงอโยธยา3”
“เคยเห็นไหมล่ะเกิดมาเคยเห็นมั้ย ฝรั่งลูกแดง! ทั่วไปจะเป็นลูกเขียวถูกไหม ไอ้ลูกเขียวที่ไส้แดงทุกคนก็เพิ่งเคยเห็นแล้วฮือฮา ถ้าไม่ผ่าก็ไม่รู้ว่าไส้แดงถูกมั้ย แล้วทีนี้ขั้นต่อไปก็คือฝรั่งลูกแดงที่จะมาวางคู่กับลูกเขียว ถ้าไม่บอกว่าเป็นฝรั่งแล้วจะรู้ไหมว่าเป็น “ฝรั่ง” ลูกสีแดงเลยเนี่ยแดงแม้กระทั่งใบ! ความแปลกเห็นไหมล่ะ”
หลังจากการลัดเลาะชมสวนและชิมฝรั่งไส้แดงไต้หวัน กันอย่างจุใจมาหลากสายพันธุ์แล้ว พี่ธนพรก็ชวนให้มาดูอีกไฮไลท์น้องใหม่ของสวนที่กำลังเร่งขยายพันธุ์ให้เพียงพอกับลูกค้าที่สั่งจองมา นั่นก็คือฝรั่งแดงพันธุ์ใหม่ “แดงอโยธยา3”ที่เจ้าของได้บอกถึงความโดดเด่นให้ฟังข้างต้นแล้ว พันธุ์นี้ดีกรีราคาของกิ่งพันธุ์(ทาบ/ต้นตอฝรั่งขี้นก) ถือว่าแรง! อยู่ไม่น้อยเลยคือเริ่มที่900 บาท/ต้น พี่ธนพรยังบอกด้วยถ้าใครกล้าลงทุน ปลูกสัก 4-5 ไร่ กล้ามั้ย? อยู่ที่คนกล้า ถ้ากล้าเล่นก็คือปลูกก่อนใครเลย แล้วพอปลูกได้สัก5-6 เดือนฝรั่งพันธุ์นี้เริ่มมีผลผลิตออกสู่ตลาด คุณดังอยู่เจ้าเดียวเลย “ไม่นาน ๆ ฝรั่งพวกนี้นะสายพันธุ์ที่สวนขยายออกไป ในลักษณะของกิ่งทาบเอาจริง ๆ คือเขาติดดอกติดอะไรหมดแล้ว เหมือนกันกับต้นแม่เลย เพียงแต่ว่ารอเวลาให้ต้นเขาโตเต็มที่ก่อนแล้วก็ค่อยเอาผลผลิตที่เราอยากได้ ทั้งไม่ว่าจะเป็นลูกหรือแม้แต่การทำกิ่งพันธุ์ต่อไป”
ถามพี่ธนพรเรื่องราคาขายสำหรับ “ลูก” ฝรั่งแดงพันธุ์ใหม่นี้ว่า ควรอยู่ที่ประมาณเท่าไร? ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ กิโลละ200 บาท! เชื่อว่าก็มีคนซื้ออย่างแน่นอนเพราะขนาดที่สวนขายอยู่ที่กิโลละ 150 บาทมาได้กว่า 4 ปีแล้ว สำหรับพันธุ์ลูกเขียวไส้แดงพบว่าก็ยังมีลูกค้าซื้อหมดเกลี้ยงทุกรอบที่มีการบอกขายผ่านทางเพจอยู่ตลอด แล้วจริง ๆ ก็คือการทำเกษตรในยุคนี้ คนปลูกสามารถมีทางเลือกเรื่องช่องทางการขายใหม่ โดยผ่านทางออนไลน์หรือส่วนใหญ่ก็ใช้โซเชียลเป็นกันอยู่แล้ว เน้นทำการตลาดผ่านช่องทางใหม่นี้เป็นหลัก ยกตัวอย่างฝรั่งไส้แดงไต้หวันที่มีหลาย ๆ สวนเริ่มปลูกกันอยู่ตอนนี้ และมีการขายผ่านช่องทางการตลาดของตนเองที่สามารถกำหนดราคาเองได้ แต่สำคัญว่าจะต้องทำ “คุณภาพ” ให้ดีด้วย ตนก็ยังเห็นว่าราคาบางที่สามารถขายได้เป็น 100 กว่าถึง 200 บาทต่อกิโลกรัมขึ้นไปก็มีเลย!
จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า สารสีแดงของฝรั่งแดงอุดมไปด้วย “ไลโคปีน”(Lycopene) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประเภทแคโรทีนอยด์ ที่มีฤทธิ์แรงมาก และสารแทนนิน(Tannin) สารสำคัญเหล่านี้ ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่มดลูก มะเร็งปอด และป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้สูงถึง20% และอุดมไปด้วยวิตามินต่าง ๆ อาทิ วิตามินเอ บี ซี และ เค นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุสำคัญ เช่น โพแทสเซียมโบรอน เป็นต้น
ความแปลก(ใหม่!) สีสวยและแถมรสชาติยังกินอร่อยอีกด้วยทั้ง “ฝรั่งไส้แดง”(ไต้หวัน) และฝรั่งแดงสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่มาพร้อมคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ทางยาที่น่าสนใจ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่กำลังมองหาอาชีพการเกษตรที่สามารถทำการตลาดสร้างรายได้อย่างดีในยุคนี้ ทั้งนี้สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.081-529-4199
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *