ในยุคปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “วีแกน” และ “แพลนท์เบส” กำลังมีบทบาทในการดำเนินชีวิตและสุขภาพของหลายคน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น ทำให้ “วี ฟาร์ม” ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จากข้าวโพด ปัจจุบันชู “น้ำนมข้าวโพด” ป้อนตลาดรับเทรนด์แพลนท์เบส พร้อมจับมือกับร้าน “อัลท์ อีทเทอรี่” รังสรรค์ 7 เมนูสุขภาพจากข้าวโพด พร้อมเปิดเผยความร่วมมือและยกระดับเอสเอ็มอีและเกษตรกร ปูทางไลฟ์สไตล์การกินเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วี ฟู้ดส์ (ไทยแลนด์) จำกัด เล่าว่า จุดเริ่มต้นของแบรนด์ วี ฟาร์ม นั้นเริ่มต้นเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว ซึ่งโปรดักส์ของแบรนด์คือ “ข้าวโพด” โดยทางแบรนด์เล็งเห็นความสำคัญเรื่องสุขภาพ และย้อนกลับไปเมื่อ 8-9 ปีที่แล้ว คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นจนถึงปัจจุบัน กระทั่งทางแบรนด์เองได้พัฒนาจากบริษัทที่ขายข้าวโพดมาเป็นบริษัทอาหารแพลนท์เบส โดยมีการแบ่งธุรกิจเป็น 3 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ ข้าวโพด วี ฟาร์ม หรือข้าวโพดพร้อมรับประทานตรา วี ฟาร์ม ซึ่งมีหลากรูปแบบ เช่น ข้าวโพดฝัก ข้าวโพดสายพันธุ์ต่างๆ ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดข้าวเหนียว ข้าวโพดข้าวเหนียวม่วง ข้าวโพดที่บรรจุในถ้วย รวมถึง น้ำนมข้าวโพด เป็นต้น
โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทางแบรนด์ได้มองเห็นเทรนด์และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นประเทศ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ยุโรป และอีกหลายประเทศในเอเชีย ก็จะเห็นกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์ใส่ใจและดูแลสุขภาพมากขึ้น และมากไปกว่านั้นไม่เพียงแค่ใส่ใจสุขภาพอย่างเดียวแต่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมร่วมด้วยเช่นกัน เหตุผลนี้เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วและเป็นช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาด ทำให้ทางบริษัทมีความต้องการที่จะเข้าสู่ตลาดแพลนท์เบส ฟู้ดส์ เพราะฉะนั้นทางแบรนด์ได้มีการร่วมทุนกับบริษัท มอร์ฟู้ดส์อินโนเทค จำกัด หรือ ผลิตภัณฑ์ มอร์มีท ที่เป็นแพลนท์เบสเนื้อที่ทำจากพืช นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์แพลนท์เบสที่จำหน่ายในร้าน อัลท์ อีทเทอรี่ เช่น ลาบทอดทำจากพืชรสต้มยำ รสกะเพรา ทอดมันข้าวโพดเนื้อปู ซึ่งจะเป็น 1 ใน 7 เมนูที่ใช้โปรโมทในช่วงเทศกาล เวิลด์ วีแกน เดย์ ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 นี้
ทั้งนี้สิ่งที่ทางแบรนด์วางแผนอนาคตในบทบาทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น NRF หรือ ร้าน อัลท์ อีทเทอรี่ ที่จะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าในกรุงเทพมหานครที่เป็นเมืองหลวงของประเทศไทยแล้วนั้น ยังเป็นศูนย์กลางของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งย่านสุขุมวิท ถือว่าเป็นโลเคชั่นที่สำคัญของกรุงเทพฯ ทั้งคนไทยที่อาศัยอยู่ในย่านดังกล่าวหรือต่างชาติ ด้วยเหตุนี้เองทางแบรนด์จึงเล็งเห็นโอกาสในเทศกาลเวิลด์ วีแกน เดย์ เพื่อโปรโมทสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในอดีตและปัจจุบันคนไทยคุ้นเคยกับเทศกาลกินเจมาโดยตลอดและต่อเนื่อง แต่เนื่องด้วยในยุคปัจจุบันผู้คนใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้นและมีอาหารยุคใหม่เกิดขึ้นมากมาย ที่เป็นวีแกนหรือแพลนท์เบส โดยมีเนื้อสัมผัส รสชาติ ความอร่อย ที่หลากหลาย เพราะฉะนั้นจากข้อมูลข้างต้นทางแบรนด์ได้มีโอกาสพูดคุยกับทางร้าน อัลท์ อีทเทอรี่ ทำให้มองเห็นโอกาสและเป็นจุดที่สามารถสนับสนุนและโปรโมทไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน โดยที่ไม่ได้จำกัดอายุ อย่างไรก็ตามทางแบรนด์เชื่อว่าจะเป็นโอกาสให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการทำธุรกิจอีกด้วย
นอกจากนี้ การบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ และการรับประทานวีแกนเป็นเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และเป็นไลฟ์สไตล์ที่สำคัญสำหรับการทำตลาดของหลาย ๆ ธุรกิจไม่ว่าจะเป็นอาหาร บริการทางสุขภาพ ความงาม ฯลฯ และถือเป็นภาคอุตสาหกรรมขาขึ้น ซึ่ง International Food Information council ได้ระบุข้อมูลที่น่าสนใจว่าในอีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า ตลาดอาหารเพื่อสุขภาพทั่วโลกจะมีมูลค่ามากถึง 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ อีกทั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ 54% ของผู้บริโภคอาหารทั่วโลก เลือกอาหารและเครื่องดื่มที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากกว่าเรื่องรสชาติและราคา โดยกลุ่มที่เห็นการเติบโตอย่างชัดเจนคือวีแกน แพลนต์เบส เกษตรอินทรีย์ และอาหารที่ถูกออกแบบมาเพื่อไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม
เพื่อตอกย้ำการเติบโตของตลาดอาหารเพื่อสุขภาพ และเทศกาล วันมังสวิรัติโลก หรือ World Vegan Day ปีนี้ แบรนด์วี ฟาร์มจึงได้มีการเดินหน้าแคมเปญ Plant-based is calling ที่ตั้งใจเชิญชวนกลุ่มผู้บริโภคทั้งวัยรุ่น วัยทำงาน และกลุ่มคนทั่วไป ให้ได้เอ็นจอยกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ปัจจุบันมีรูปแบบที่หลากหลาย มีช่องทางที่สะดวก และมีผลิตภัณฑ์ที่ถูกสร้างสรรค์ออกมาเป็นจำนวนมาก อีกทั้ง วี ฟาร์มยังมีกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตของตลาดอาหารเพื่อสุขภาพที่สำคัญ ได้แก่
1.การพัฒนาโปรดักส์ โดยเฉพาะ “อาหารจากพืช” ให้มีความน่าสนใจทั้งในเชิงรูปลักษณ์ รสชาติ สตอรี่ของสินค้า คุณประโยชน์ สะดวกและรู้สึกดีเมื่อได้รับประทาน และทำให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึง Urban Healthy Lifestyle โดยโปรดักส์สำคัญ ยังคงเป็น “ข้าวโพดหวาน จากข้าวโพดสายพันธุ์ Golden Sweet Corn” ซึ่งยังคงเอกลักษณ์ข้าวโพดพร้อมทานในรูปแบบที่หลากหลาย รับประทานง่าย หาซื้อได้ในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งในปี 2022 สินค้าดังกล่าวยังคงได้รับความนิยม และมีการเติบโตเฉลี่ย 30% เมื่อเทียบกับปี 2021 และอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ได้แก่ “น้ำนมข้าวโพดหวาน Sweet Corn Milk” ผลิตจากข้าวโพดหวานสายพันธุ์ Golden Sweet Corn ปรับสูตรใหม่เพิ่มข้าวโพดถึง 40% ให้ความสำคัญกับการควบคุมความหวานจากข้าวโพดให้พอดีในทุกๆ ขวด อร่อยหวานกำลังดี ใช้กระบวนการ HPP Process เพื่อเก็บความสดใหม่ได้นานถึง 30 วันแบบไม่เสียรสชาติ และยังคงรักษาคุณค่าทางสารอาหารให้ได้ประโยชน์มากที่สุด เหมาะกับผู้ที่แพ้โปรตีนจากนมวัวหรือถั่ว โดยยังมีกลยุทธ์การผลิตที่สำคัญคือ ข้าวโพดจะต้องตัดสดใหม่ในช่วงเช้า และส่งตรงถึงโรงงานผู้ผลิตทันที
2.การสนับสนุนเกษตรกร ในการเพาะปลูกผลผลิตที่มีคุณภาพ เนื่องจากผู้บริโภคปัจจุบันให้ความสำคัญกับสินค้าเกษตรที่มีความปลอดภัย มีคุณภาพและรสชาติดี โดยแนวทางนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในด้านการเลือกซื้อสินค้ากับทางวี ฟาร์ม ซึ่งปัจจุบันทางบริษัทได้สนับสนุนผู้ปลูกข้าวโพด แห้ว มัน และธัญพืช ในพื้นที่ต่าง ๆ คือ ภาคกลาง กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สระบุรี ภาคเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย นครสวรรค์ และสุโขทัย อีสาน นครราชสีมา และบุรีรัมย์
3.การขยายช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภค ทั้งการจับมือร่วมกับพันธมิตรในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จาก วี ฟาร์ม และพาร์ทเนอร์ เช่น การทำสื่อและช่องทางสินค้าขายในร้าน Jones' Salad หรือความร่วมมือกับแบรนด์มอร์มีท ในการต่อยอดผลิตอาหารแพลนต์เบสพร้อมทาน การเข้าสู่ช่องทางสะดวกซื้ออย่าง 7-11 ซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ อย่าง กูร์เมต์ มาร์เก็ต, ท็อปส์, เซ็นทรัลฟู้ดส์ฮออล์ วิลล่า ฟู้ดส์แลนด์ ทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัดอย่างริมปิง และซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ ยังมีแผนที่จะนำผลิตภัณฑ์เข้าไปร่วมสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ (Plant – Based Creation) ในร้านอาหารทางเลือก - คาเฟ่ เพื่อให้อาหารจากพืช และ แพลนต์เบส สามารถหารับประทานได้ง่ายเหมือนกับอาหารทั่วไป และตอกย้ำความอร่อยตามไลฟ์สไตล์ของสายเฮลธ์ตี้ทั้งในกลุ่มวีแกน มังสวิรัติ หรือกลุ่ม Flexitarian กลุ่มคนที่ทานแบบยืดหยุ่น ที่จะได้รับประทานอาหารคุณภาพ – รสชาติดีในทุก ๆ วัน
โดยล่าสุดได้จับมือร่วมกับ ร้าน alt.Eatery คอมมูนิตี้และร้านอาหารที่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยจะนำผลิตภัณฑ์จากทางแบรนด์วี ฟาร์ม มารังสรรค์เป็นเมนูพิเศษ – เมนูที่ทุกคนรู้จักคุ้นเคยกันดี ด้วยรสชาติที่หลากหลาย อร่อยถูกปาก ให้คุณค่าทางโภชนาการ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และเป็นอาหารที่ไม่ว่าจะสาย เฮลธ์ตี้ หรือผู้บริโภคที่ต้องการลิ้มลองแพลนต์เบสก็สามารถรับประทานได้ อีกทั้งยังช่วยตอกย้ำคอมมูนิตี้ของสายรักสุขภาพ ของ alt.Eatery ที่มีความครบครันทั้งเรื่องของอาหาร การจำหน่ายสินค้าสุขภาพ กิจกรรมเวิร์คชอป การให้ความรู้ ทั้งนี้ การเสิร์ฟผลิตภัณฑ์แพลนต์เบสจะมีทั้งของทานเล่น อาหารจานหลัก ขนมหวาน และเครื่องดื่ม รังสรรค์และปรุงขึ้นโดย Top Chef ชื่อดังของทางร้าน
ด้านนายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็น อาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการบริษัท NRPT เปิดเผยว่า ในฐานะของผู้พัฒนาธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพต้องการที่จะให้ไลฟ์สไตล์ดังกล่าวได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องด้วยสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งในเชิงสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเป็นการปูทางไลฟ์สไตล์ที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคต โดยในความร่วมมือครั้งนี้ ทางร้าน alt.Eatery จะนำร่องใช้วัตถุดิบข้าวโพดหวาน และน้ำนมข้าวโพดหวาน วี ฟาร์ม มาเป็นส่วนประกอบหลักในเมนูต่าง ๆ อย่างหมวดอาหารทานเล่นเช่น ทอดมันข้าวโพดเนื้อปู ข้าวโพดปิ้ง วีแกนชีส หมวดอาหารจานหลักจะนำเสนอในเมนู ข้าวโพดตำแซ่บ สปาเก็ตตี้ข้าวโพดและเบคอน หมวดอาหารหวาน เช่น โดนัทครีมชีสข้าวโพดปิ้ง และในหมวดเครื่องดื่มอย่างเมนู Sweet Corn Latte และ Sweet Corn Salted Caramel เพื่อเป็นเมนูสำหรับคนที่ไม่รับประทานคาเฟอีน ซึ่งการเสิร์ฟเมนูเหล่านี้ จะเป็นการขยายอาหารจากพืชให้เติบโตในวงกว้าง เพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตของเกษตรกรที่ทางวี ฟาร์มสนับสนุน และทำให้ไลฟ์สไตล์การกินแบบเฮลธ์ตี้ถูกพูดถึง ตามเทรนด์การสนทนาเรื่องอาหารบนโซเชียลมีเดียที่กำลังเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
“ในปีนี้ผู้คนบนโซเชียลมีเดียให้ความสำคัญกับหัวข้อการสนทนาเรื่องผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นกว่า 20% ซึ่งความสนใจนี้ อาหารเพื่อสุขภาพก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเช่นเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามการจะทำให้ไลฟ์สไตล์การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพเป็นที่นิยมมากขึ้นได้นั้น จำเป็นจะต้องทำให้ผู้บริโภคได้เห็นถึงแนวทางการใช้ความคิดสร้างสรรค์ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดอาหารดังกล่าว ซึ่งเมื่อผู้คนเห็นความแปลกใหม่ก็จะทำให้เปิดใจยอมรับ หรือเพิ่มสัดส่วนในการบริโภคอาหารประเภทเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น นำไปสู่วิถีชีวิตที่เคยชินกับการรับประทานอาหารที่ยังอร่อยเหมือนทุกวัน แต่ได้ฟังก์ชันสุขภาพที่ดีเพิ่มตามมา”
ทั้งนี้ นอกจากการเพิ่มไฮไลต์ให้กับเมนูอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว alt.Eatery ยังมุ่งตอบโจทย์กับวิถีชีวิตคนเมือง ด้วยขนม อาหารว่าง อาหารแช่แข็งจากแพลนต์เบสหลากหลายชนิด ผ่านโซนสินค้าที่มาจากผู้ประกอบการและเอสเอ็มอีรายย่อยในไทย เพื่อให้กลุ่มเหล่านี้ได้มีพื้นที่ในการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคและทำตลาดที่เพิ่ม มากขึ้น และเป็นการตอกย้ำจุดยืนของทางร้านที่ต้องการขับเคลื่อนสิ่งแวดล้อมและวิถีการบริโภคแบบใหม่ที่เน้นความยั่งยืนเป็นสำคัญ อีกทั้งสถานที่ตั้งร้านยังรายล้อมด้วย ที่พักอาศัย โรงเรียน ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคหลากหลายช่วงวัย ซึ่งนับเป็นอีกจุดแข็งหนึ่งที่จะเป็นโอกาสเข้าถึงผู้คนและขยายแผนเพื่อการพัฒนา ปัจจุบัน alt.Eatery มีสินค้าจากผู้ประกอบการหลากหลายแบรนด์ และกำลังจะมีการเพิ่มสินค้าจากทางวี ฟาร์ม ในพื้นที่จัดจำหน่วย เช่น กลุ่มสินค้า Plant-Based Whole Veggie Bites และ Plant-Based Classic Thai Tastes Series ทั้งนี้ ทุกการให้บริการของ alt.Eatery มาจากความพิถีพิถันและเน้นสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อไลฟ์สไตล์ใหม่ของทุกคน สามารถพบกับทางเลือกที่ดีสำหรับอนาคตได้ที่ alt. Eatery ทุกวัน
ติดต่อเพิ่มเติม
Facebook : V Farm TH
Facebook : alt.Eatery
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *