ราคานี้ยังมีกำไร! ยุคข้าวยากหมากแพงอย่างนี้ ที่อะไร ๆ ก็พาเหรดกันขึ้นราคาซ้ำเติมภาระค่าครองชีพ เดิมกระทบจาก “โควิด 19” ว่าแย่สุด ๆ แล้ว แต่ก็ยังมีข้าวกะเพราถาดแถมฟรี "ไข่ดาว" ขายราคาดีต่อใจ 39 บาท พอเป็นที่พึ่งได้!!
ชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ของอดีตเหยี่ยวข่าวสาวสายสื่อสิ่งพิมพ์เกษตรเดิม และปัจจุบันมีการปรับตัวสู่ยุคการทำคอนเท้นต์ผ่านโลกออนไลน์ด้วย ตามครรลองของการเปลี่ยนผ่านการปรับตัวเท่านั้นจึงจะสามารถอยู่รอด วันนี้ “จอย-นันท์นภัส ราชเจริญ”ในวัยเลขสี่เกือบจะปลาย ๆ แล้วและยังมีหน้าที่สำคัญรั้งอีกตำแหน่งหนึ่งด้วยก็คือ การเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวสายสตรอง(มาก ๆคอนเฟิร์ม!) บอกกับเราพร้อมอัพเดตเรื่องราวให้ฟังว่า ช่วงวิกฤตโควิด19 ที่ผ่านมาได้ทำให้ตนเอง เปลี่ยนวิถี เพื่อหันหาทำอาชีพหลาย ๆ อย่างให้มีการขับเคลื่อนชีวิตที่ดำเนินต่อไป เป็นคนไฮเปอร์ที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ กับที่ด้วยและอีกอย่างคือเป็นคนที่ชอบทำอาหารมาก และนี่เองที่กลายเป็นจุดเริ่มของธุรกิจเล็ก ๆ ในช่วงโควิดระลอกที่ 2 อยู่ดี ๆ ก็คิดอยากทำร้านขายอาหารผ่านบริการเดลิเวอรี่ซึ่งในห้วงเวลานั้น คือเป็นอะไรที่เป็นกระแสมาก ๆ การทำอาหารแบบ “ครัวหลังบ้าน”(homemade) และมีการเปิดรับออร์เดอผ่านระบบของพาร์ทเนอร์เดลิเวอรี่ต่าง ๆ ก็มา!
“ตอนที่เราสุ่มตลาด เราเปิดแค่เดือนเดียวลูกค้าเราเยอะมาก ไม่น่าเชื่อว่าเดือนเดียวเราขายได้ถึง7 หมื่น! เปิดเดือนแรกเราขายได้ เดลิเวอรี่ยิ่งขายดีเลยตอนนั้น เพราะมันเป็นช่วงโควิดระลอก 2 พี่เปิดขายครั้งแรกขายดีมาก ช่วงนั้นจะเป็นช่วงโครงการ
“คนละครึ่ง” ด้วย ขายเดือนแรกได้เยอะมากถึง 7-8 หมื่นบาทเลยนะ แต่ว่าเราก็ต้องเข้าใจว่าพอเราเป็นเดลิเวอรี่ เราจะได้กำไรแค่ 20% เพราะอีก 30% คือเราจะต้องแบ่งเป็นค่า MarketShare ให้กับทางพาร์ทเนอร์เดลิเวอรี่ของเราด้วย”
#มาฟาดกะเพรากะเรามั้ย จากครัวหลังบ้าน (homemade) สู่ร้านนั่งทานได้
พอสถานการณ์ของโควิดเริ่มคลี่คลาย ในแง่ของการไปมาหาสู่กันได้ตามปกติแล้ว แต่ทว่าสถานการณ์ของโรคและการระบาดที่ถึงตอนนี้ก็ยังคงต้องเฝ้าระวังกันอย่างเข้มข้นอยู่ต่อไป คุณจอยเล่าให้ฟังอีกว่าจังหวะของการทำงานในชีวิตก็ได้เริ่มขับเคลื่อนขึ้นอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้จำเป็นต้องห่างบ้านที่กรุงเทพฯ และลูก ๆ วัยรุ่นทั้งสองคนเพื่อมาทำงานแบบสแตนบายอยู่ที่ อ.แกลง จ.ระยอง คราวละยาว ๆ หน่อยกว่าจะได้กลับเข้ากรุงเทพฯ หรือยกเว้นมีงานด่วนมาก็จะได้เข้ากรุงเทพฯบ่อยครั้งขึ้น เพราะว่าก็ยังคงรับทำงานอยู่หลาย ๆ หน้าที่เช่นเคยเป็นมา ส่วนการมาอยู่ทางนี้ อ.แกลง-ระยอง หน้าที่หลักก็คือเป็นทีมการตลาดของบริษัทปุ๋ยรายใหญ่เจ้าหนึ่ง ซึ่งยังพอมีเวลาช่วงว่าง ๆ อยู่ก็เลยคิดหาอะไรทำเพิ่มดีกว่า แต่ขอแบบว่าตามใจแม่ค้านะคือมีเวลาวันไหนอยู่ก็เปิดร้าน แต่ถ้าหากวันไหนติดงานก็ขอกับลูกค้าว่า โปรดรอแม่ค้ามาเปิดร้านอีกวันได้ไหม
“ชื่อ “ฟาดกะเพรา” คือเรามีความรู้สึกว่ามันเป็นคำแบบคำที่มันเตะ! ปาก ฟังแล้วจำ คือร้านกะเพรามันมีเยอะแยะเลย เราก็พยายามหาคำที่ฟังแล้ว อยากฟาดใช่มั้ย อะไรอย่างเงี้ย เราก็เลยว่า “ฟาดกะเพรา” แล้วกันมันยังไม่มีใครตั้ง เราเห็นมีร้านกะเพราเยอะแต่ยังไม่มี “ฟาดกะเพรา” เลย พอเราเป็น “ฟาดกะเพรา” เออมันโดนเนาะคำนี้ ก็จะเป็นแนวอินดี้ ๆ นิดนึง”
สำหรับตัวร้านเองตั้งอยู่ที่ 449/69 แยกเขาดิน ต.ทุ่งควายกิน อ.แกลง จ.ระยอง ที่นี่ลูกค้าจะสามารถมาสั่งอาหารแล้วนั่งทานในร้านได้เลย จะคนละแบบกับตอนที่ขายอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ซึ่งเน้นเป็นเดลิเวอรี่อย่างเดียว และเนื่องจากที่นี่จะมีลักษณะของการเป็นชุมชน ซึ่งปัจจุบันด้วยการสื่อสารกันผ่านโลกออนไลน์และมีการใช้โซเชียลมีเดียต่าง ๆ กันมากขึ้น ทั้งแบบส่วนบุคคลและแบบกลุ่ม ดังนั้นการสื่อสารกับลูกค้าเพื่อบอกกล่าวเกี่ยวกับร้านว่าเราขายอะไร อย่างไร อยู่ที่ไหน ต่าง ๆ เหล่านี้คือจะใช้บริการโซเชียลมีเดียแบบ “กลุ่ม” ซึ่งที่นี่ก็จะมีหลายกลุ่มมากที่ใช้สื่อสารระหว่างกัน เป็นช่องทางการตลาดที่สำคัญตั้งแต่เริ่มเปิดร้านมา และพอลูกค้าได้มาลองชิมดูรสชาติของอาหารแล้วก็ทำให้เกิดการบอกต่อกันให้กับร้านด้วย
ผัดกะเพราโบราณ (สูตรไร้น้ำมัน) ที่รับรองได้ใครทำก็อร่อย
“คำว่ากะเพราคนไทยไม่มีใครไม่รู้จักเนาะ เราพยายามที่แบบว่าสมมุติเราจะทำอาชีพอะไรสักอย่าง ทำอย่างไร ขายของกินเนี่ยรอดแน่นอนในยุคนี้ถูกไหมคะ ก็จะขายอะไรล่ะ ขายอะไรที่คนไทยกินง่าย ลองนึกถึงเวลาเราไปสั่งข้าวกิน เอาอะไร กะเพรา ๆ กะเพราอะไรอย่างนี้เนาะ เราก็เลยคิดว่าอาหารสิ้นคิดของคนเนี่ยทำยังไง ให้เอามาเป็นอาหารที่ทุกคนต้องกิน แล้วก็คือพอกินแล้วเนี่ยมันไม่ใช่อาหารสิ้นคิดอย่างที่คิดนะ กินแล้วทำไมหนึ่ง รสชาติ รสชาติเราจะอร่อย(เราก็ว่าของเรา) แล้วก็คอนเซ็ปต์อีกอย่างก็คือง่าย ง่ายคือ เรามีสูตรพร้อมปรุงให้เรียบร้อย คือ “ฟาดกะเพรา” เนี่ยเป็นเคล็ดลับก็คือว่า ฟาดกะเพราใครฟาดก็อร่อย
แต่ต้องเป็นสูตรเรานะ”
คุณจอยยังบอกด้วย ฟาดกะเพราเป็นสูตรการผัดกะเพราโบราณแบบไม่ใช้น้ำมันเลย! จะใช้เพียงน้ำซอสผัดกะเพราสูตรเฉพาะของร้านเท่านั้น กับเนื้อสัตว์ตามที่ต้องการและใส่ “ใบกะเพรา” ลงไปเท่านั้นก็เป็นอันว่าจบแล้ว จะมีที่ต้องใช้น้ำมันทอดอยู่บ้างก็คือ “ไข่ดาว” ที่ยังใช้สูตรการทอดด้วยน้ำมันตามปกติอยู่ แต่สำหรับการผัดกะเพราเมนูต่าง ๆ ของที่ร้านจะเป็นสูตรที่ไม่มีการใช้น้ำมันสำหรับการผัดเลย
ราคาดีต่อใจ เริ่มต้นที่ 39 บาทแถมฟรี “ไข่ดาว”!
สำหรับราคา “39 บาท” นี้ คือราคาปกติซึ่งก็จะประกอบไปด้วย ข้าวเปล่า1 ถ้วย กับ “ผัดกะเพรา” ตามเมนูที่ลูกค้าเลือก และยังมี “ไข่ดาว” แถมให้อีก1 ฟองด้วย และที่ร้านยังมีบริการ “น้ำซุป” ให้ฟรี และน้ำแข็งเปล่า1 แก้วให้ด้วย ซึ่งปริมาณที่ให้ต่อจานนี้ถือว่าเป็นมาตรฐานตามปกติ แต่ว่าถ้าหากลูกค้าท่านใดยังบอกทานไม่อิ่มหรือว่าในกรณีมาด้วยกัน 2 คนหรือมากกว่านั้นทางร้านเองก็จะมีชุดราคาพิเศษที่เพิ่มความเต็มอิ่มมากขึ้นและมีความคุ้มค่ามากขึ้นให้กับลูกค้าด้วย ก็จะมีให้เลือกได้ทั้งราคาเริ่มที่49 บาทและ59 บาท(เลือกเนื้อสัตว์ได้มากกว่า1 อย่าง)69 บาท(ข้าว2 ถ้วยไข่ดาว2 ฟอง) 99 บาท(ข้าว3 ถ้วยไข่ดาว 3 ฟอง) และ129 บาท (ข้าว4 ถ้วยไข่ดาว4 ฟอง) ส่วนเนื้อสัตว์ที่นำมาใช้ปรุงเมนูก็มีให้เลือกได้หลายอย่าง แต่ยกเว้น “หมูกรอบ” ซึ่งที่ร้านไม่สามารถควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้ ในราคาที่ขายอยู่จึงเลือกที่จะไม่มีเมนูนี้
ขายราคานี้ยังมี “กำไร” ถึงแม้ค่าวัตถุดิบจะแพงขึ้นก็ตาม
เจ้าของร้าน “ฟาดกะเพรา” ยืนยันว่า ราคานี้ยังมีกำไร! ความที่มีจุดขายในเรื่องราคา “39 บาทฟรีไข่ดาว” ทำให้ทุกคนสนใจ แล้วคำว่า “ฟรีไข่ดาว” ก็ดึงดูดให้คนมาสนใจเพิ่มอีก เพราะไข่ดาวสมัยนี้ไม่ต่ำกว่า5 บาทขึ้นไปต่อ1 ฟองแล้ว ราคานี้39 บาทฟรีไข่ดาวถึงตอนนี้ก็ยังมีอยู่ และแม้ว่าราคาค่าวัตถุดิบต่าง ๆ จะแพงขึ้นทุกอย่างก็ตาม ก็ยังมีกำไรในราคาของคอร์สของ “ฟาดกะเพรา” ที่กำหนดเอาไว้ เพราะว่าต้นทุนของผัดกะเพราที่คนขายทั่วไปจะต้องมีก็คือ พริก น้ำปลา กระเทียม น้ำตาล เนื้อสัตว์ น้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ฯลฯ แต่สำหรับของ “ฟาดกะเพรา” ต้นทุนหลักจะมีแค่ น้ำปรุงหรือซอสผัดกะเพรา(สูตรเฉพาะของร้าน)เนื้อสัตว์ ใบกะเพรา และก็ก๊าซหุงต้ม เท่านั้น ซึ่งทุกอย่างที่เป็นองค์ประกอบในเมนูการผัดก็จะมีการตวงหรือกำหนดอัตราส่วนที่เป็นสูตรมาตรฐานเอาไว้แล้ว
“คือจริง ๆ แล้วในสูตรของ “ฟาดกะเพรา” กำไรครึ่ง ๆ นะคะ แต่พอเราไปแชร์ค่าการตลาดกับทางพาร์ทเนอร์เดลิเวอรี่ด้วย เราก็ต้องเสียไป 30 แล้วเราได้อยู่แค่ 20% เองนะ แต่ว่าตอนนี้ที่เราขายอยู่ที่หน้าร้านเราเอง ยังเป็นแบบให้ลูกค้ามานั่งทานในร้านได้ หรือบางทีก็มีการสั่งแบบเป็นข้าวกล่องสำหรับการจัดประชุมของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เริ่มมีการออร์เดอเข้ามาด้วย ถ้าอย่างนี้เรายังมีกำไรเหลืออยู่50% ตามคอนเซ็ปต์เดิมของสูตร หรือคิดเป็นยอดต่อเดือนซึ่งต้องบอกไว้ก่อนว่า ตอนนี้ขนาดทำเป็นงานเสริม(ใช้ช่วงเวลาว่างจากงานหลักเท่านั้น) ก็ยังขายได้อยู่กว่า 5 หมื่นบาท/เดือน เลยทีเดียว”
พร้อมแบ่งปันอาชีพ ใครสนใจยกมือขึ้น!
“ทีเด็ดของผัดกะเพราของเราก็คือ ไม่ใส่น้ำมันเลย! ทุกจานทุกเมนูจะเป็นสูตรโบราณไร้น้ำมัน แต่ว่าสูตรเดียวกันนี้มันก็จะมีเทคนิคอีกว่า ผัดอย่างไรให้หมูหรือว่าเนื้อสัตว์ที่เราใส่ลงไปมันอร่อย อย่างหมูถ้าหากว่าผัดนานไปมันก็จะแข็งไม่อร่อย จะต้องให้มีความนุ่มแบบฉ่ำน้ำ แต่ว่ากะเพราเราจะแห้งนะคะแต่หมูจะฉ่ำน้ำ อะไรแบบนี้ค่ะ”
ซึ่งถ้าหากใครสนใจอยากจะมีอาชีพทางเจ้าของร้าน “ฟาดกะเพรา” ก็บอกกับเรามาด้วยว่า ตอนนี้เริ่มเปิดตัวแฟรนไชส์ “ฟาดกะเพรา” สำหรับคนที่สนใจด้วยในราคาบอกเลยไม่ถึงหมื่น! ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย มีซอสผัดกะเพราทีเด็ดของร้านให้ด้วย และสอนเรื่องของเทคนิคต่าง ๆ การเลือกซื้อวัตถุดิบอย่างไร การคำนวณต้นทุน จนไปถึงเทคนิคการผัดอย่างไรให้ผัดกะเพราทุกจานออกมารสชาติเหมือนกันกับต้นฉบับเป๊ะ ๆ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งหากใครสนใจก็ลองติดต่อสอบถามเข้าไปดูได้
“ด้วยยุคเศรษฐกิจแบบนี้ และก็การเมืองที่ยังรวนเร ถ้าเรามัวแต่ด่าคนโน้นหรือรอความหวังจากคนนี้ หรือบ่นเรื่องเศรษฐกิจไม่ดีอยู่แบบนี้ แล้วเราไม่ทำอะไรเลย เราก็ไม่ได้ทำอะไรนะ เราก็เลยมองว่าถ้าสนใจทำแฟรนไชส์ตัวนี้นะ ทำเถอะแล้วขายราคานี้ ทุกคนจับต้องได้ แล้วคุณมีกำไร ซึ่งไม่น่าเชื่อนะว่า 39 บาทยังมีกำไร!” จอย-นันท์นภัส ราชเจริญ เจ้าของไอเดียร้านฟาดกะเพรา#มาฟาดกะเพรากะเรามั้ย กล่าวทิ้งท้ายในที่สุด
สอบถามเพิ่มเติมโทร .064-829-8241
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *