เริ่มต้นจากการชอบกินผักและสานความฝันเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง แต่ต้องมาเจอพิษเรื้อรังจากโควิด-19 ทำให้ต้องปิดร้านอาหารที่ตนเองรักไปชั่วคราวและหันมาเอาดีด้านการปลูกผักสลัดอินทรีย์พร้อมชุดทดลองปลูกขาย ผลตอบรับดีมีแผนขยายฟาร์มต่อในอนาคต สร้างยอดขายจากผักสลัดกว่า 40,000 บาทต่อเดือน ชุดทดลองปลูกกว่า 600 ชุดต่อเดือน เจ้าของร้านดีใจที่ลูกค้าสามารถนำไปทำเป็นอาชีพเสริมหรือเป็นอาชีพหลักได้จากสิ่งที่ตนส่งต่อให้
นางสาวกนกพร เขื่อนแก้ว เจ้าของฟาร์มสุขทางใจ เล่าว่า จุดเริ่มต้นในการทำฟาร์มสุขใจปลูกผักสลัดอินทรีย์นั้น มีที่มาจากการที่ตนเพิ่งเรียนจบ เป็นเด็กจบใหม่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองจึงได้เปิดร้านอาหารในพื้นที่หน้ามหาวิทยาลัยพะเยา ซึ่งเมื่อเปิดร้านไปได้ช่วงแรกผลตอบรับดีแต่ต้องมาโดนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้รายได้ลดลง ต่อมาตนจึงจำเป็นต้องหารายได้และอาชีพเสริม ประจวบกับที่บ้านมีพื้นที่ว่างตนจึงเกิดแนวคิดในการปลูกผักสลัดเพื่อหารายได้อีกหนึ่งช่องทาง หลังจากที่ตัดสินใจปลูกผักสลัดขายนั้นในช่วงแรกจะเน้นขายแบบพรีออเดอร์ และทำการโพสต์โปรโมทสินค้าในกลุ่มเพจเฟซบุ๊ก “กินอะไรดี” ของพะเยา เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
เมื่อโควิด-19 ระบาดต่อเนื่องและเรื้อรัง ทำให้รายได้จากร้านอาหารและปลูกผักนั้นลดลงถึงขั้นเข้าเนื้อตัวเองก็ว่าได้ หลังจากที่เริ่มมีคนรู้จักว่าตนปลูกผักขายและมีลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ทำให้รายได้หลักในตอนนั้นมาจากการปลูกผักเป็นส่วนใหญ่และเป็นสาเหตุของการปิดร้านอาหารไว้ชั่วคราวและหันมาทุ่มเทกับการปลูกผักมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้แรงบันดาลใจในการปลูกผักขายนั้น เดิมทีเจ้าของฟาร์มเป็นคนที่ชื่นชอบการกินผักสลัดอยู่เป็นประจำ บวกกับในพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่นั้นไม่ค่อยมีใครปลูกผักสลัดขาย ส่วนมากจะจับจ่ายซื้อในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก ทำให้ตนมองว่าต้องมีคนที่ชอบกินผักเหมือนตัวเองและในห้างสรรพสินค้ายังสามารถขายได้ ทำไมในหมู่บ้านตัวเองถึงไม่มีใครปลูกขาย นั่นจึงเป็นสาเหตุของการเริ่มปลูกและโปรโมท ซึ่งเมื่อลองโพสต์โปรโมทขายก็มีลูกค้าสนใจและสั่งซื้อเข้ามาจนหมดทุกครั้งที่โพสต์ขาย ทั้งนี้ทางฟาร์มเริ่มขายจริงจังเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
ทั้งนี้ผักสลัดของทางฟาร์มนั้นจะมีผักสลัดประเภทเดียวในตอนนี้ โดยมีทั้งหมด 6 ชนิด ได้แก่ กรีนคลอส มินิคลอส บัตเตอร์เฮด เรดโอ๊ค กรีนโอ๊คและฟิลเลย์ ปัจจุบันฟาร์มสุขใจมีขนาดประมาณ 1 ไร่ โดยใช้เป็นพื้นที่ว่างบริเวณข้างบ้าน นอกจากนี้ผักสลัดของทางฟาร์มจะเป็นผักที่ปลูกแบบลงดินและเป็นแบบอินทรีย์ ทำให้มีจุดเด่นและความแตกต่างคือเรื่องรสชาติ เนื่องจากทางฟาร์มปลูกลงดินและดูแลด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี ซึ่งปุ๋ยอินทรีย์ก็เป็นน้ำหมักจากผักและผลไม้ธรรมชาติที่ทำขึ้นเอง รวมถึงใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงอีกด้วย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและช่วยให้ผักมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
นอกจากนี้ในส่วนการทำการตลาดนั้นทางฟาร์มจะนำเสนอความเป็นตัวเอง โพสต์โปรโมทสินค้าและทำคลิปวิดีโอสอดแทรกความรู้เพื่อให้คนที่ติดตามสามารถดูและจำคำแนะนำไปทำตามได้ ซึ่งเมื่อลูกค้าได้ดูคลิปวิดีโอที่ทางฟาร์มนำเสนอไปแล้วก็จะชื่นชอบและตามด้วยการสั่งซื้อผักไปลองกิน โดยส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าต่างจังหวัดกว่า 90% ที่สนใจสั่งซื้อผักของทางฟาร์มไป และจัดส่งโดยการใช้บริการรถเย็นควบคุมอุณหภูมิเพื่อป้องกันการเน่าเสียของผักและคงความสดใหม่เมื่อถึงมือลูกค้า ทั้งนี้ลูกค้าในจังหวัดจะมีทั้งลูกค้าประจำ ร้านอาหารที่ต้องใช้ผักสลัดเป็นองค์ประกอบในการทำอาหาร
ตั้งแต่ที่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันผลตอบรับจากลูกค้านั้นค่อนข้างดี ลูกค้ามีการซื้อซ้ำและมีการบอกต่อปากต่อปาก ทั้งนี้ผักสลัดของทางฟาร์มนั้นลูกค้าส่วนใหญ่จะชื่นชอบ มินิคลอส กรีนคลอสและบัตเตอร์เฮดเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นผักที่ขายดีที่สุดของทางฟาร์ม ซึ่งลูกค้าสามารถสั่งซื้อได้ตั้งแต่ 1 กิโลกรัมขึ้นไป ทั้งนี้ในส่วนของกำลังการผลิตในตอนนี้นั้นจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 400-500 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งลูกค้าจะสั่งซื้อแบบพรีออเดอร์เอาไว้เพราะผักจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการเติบโตจนกว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ โดยผักสลัดของทางร้านจะใช้เวลาในการเติบโตประมาณ 45 วัน จึงจะโตเต็มที่
นอกจากนี้การดูแลผักที่นอกจากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์แล้วนั้น ทางฟาร์มยังใช้สมุนไพรไล่แมลง เช่น ขิง ข่าที่แก่แล้ว และพริกแห้ง โดยการทำขึ้นมาในรูปแบบของน้ำและฉีดไล่ ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้จะมีกลิ่นฉุนและสามารถไล่แมลงไม่ให้มารบกวนการเติบโตของผักได้ ทั้งนี้ผักสลัดจะเติบโตสวยงามได้ดีในข่วงฤดูหนาว แต่ในช่วงฤดูร้อนนั้นทางฟาร์มมีวิธีจัดการโดยการเพิ่มสแลนกันแดดเพื่อลดความร้อนจากแสงอาทิตย์โดยตรง และเพิ่มการรดน้ำเพิ่มมากยิ่งขึ้น จากเดิมจะมีการทำโรงเรือนสำหรับการเพาะปลูกผักสลัดโดยเฉพาะ ปัจจุบันทางฟาร์มจะมีราคาการขายผักอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท
นอกจากจะขายผักสลัดแล้วนั้นทางฟาร์มยังมีชุดทดลองการปลูก โดยมีอุปกรณ์ครบเซ็ตสำหรับลูกค้าที่สนใจจะทดลองปลูกผักในขนาดที่พอเหมาะสำหรับมือใหม่ โดยจะมีทั้งดินปลูก ดินเพาะ ฮอร์โมนนมสด จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง น้ำหมักผลไม้ กระถาง ถาดเพาะและเมล็ดพันธุ์ผักอีก 5 ชนิดให้ในราคาชุดละ 390 บาทรวมส่ง ซึ่งเจ้าของฟาร์มจะมีกลุ่มปิดของเฟซบุ๊กสำหรับลูกค้าที่สนใจและต้องการความรู้ในการทดลองปลูกเป็นสมาชิกอยู่ในกลุ่ม เจ้าของฟาร์มจะทำการเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำในการปลูกให้อีกด้วย ซึ่งทำให้ลูกค้าสนใจชุดทดลองปลูกจำนวนมากและสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 500-600 ชุดต่อเดือน
“ในตอนนี้หนูมองว่ายังเป็นฟาร์มขนาดเล็กอยู่ และความต้องการค่อนข้างเยอะ รู้สึกดีใจที่เราเริ่มต้นมาจากปลูกไม่เป็น เหมือนเราลองผิดลองถูกมาด้วยตัวเราเองแล้วก็มีศึกษาเพิ่มเติม จนวันนี้เราสามารถส่งออกสิ่งที่เราทำได้จริงแล้วไปบอกต่อให้เขาสามารถทำเป็นอาชีพเสริมได้หรือบางคนทำเป็นอาชีพหลักไปแล้วตอนนี้ รู้สึกดีใจค่ะที่ได้ส่งต่อตรงนี้”
ทั้งนี้ในอนาคตทางฟาร์มได้มีการวางแผนต่อยอดธุรกิจไปในทิศทางการของการขยายฟาร์มให้ใหญ่มากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอาจจะเป็นศูนย์การเรียนรู้ในอนาคต และจะเพิ่มชนิดของผัก เช่น ผักสวนครัว เพื่อให้ครอบคลุมผักได้หลากหลายประเภท ซึ่งในตอนนี้ทางฟาร์มได้เพิ่มฟาร์มไก่ไข่อารมณ์ดีเพื่อต่อยอดในอนาคต รวมถึงจะนำร้านอาหารที่ปิดไปกลับมาทำใหม่และผสมผสานเข้ากับฟาร์มผักให้ควบคู่กันไป โดยจะให้ความรู้สึกการนำเอาผักสดๆ จากฟาร์มมาเสิร์ฟให้กับลูกค้าภายในร้านอาหาร
อย่างไรก็ตามทางฟาร์มยังมีการวางแผนต่อยอดธุรกิจในส่วนของการนำผักสลัดวางขายในห้างสรรพสินค้า แต่ยังคงอยู่ในกระบวนการของการยื่นขอมาตรฐานเพื่อสามารถวางขายในห้างฯ ได้ ซึ่งจะได้เห็นกันได้ไม่เกินสิ้นปีนี้
ติดต่อเพิ่มเติม
Facebook : ฟาร์มสุขทางใจ
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *