xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) โนฮาวจากญี่ปุ่นเจ้าแรก! ส่งออก “ดอกไม้สดทำแห้ง” ขายดีมากว่า 30 ปี ญี่ปุ่นสั่งเดือนละ 1 ตู้คอนเทนเนอร์ และตลาดอื่น ๆ ออร์เดอปังทั้งปี!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หญิงไทยคนแรกที่ญี่ปุ่นไว้ใจ ถ่ายทอดเทคนิค “ดอกไม้สดทำแห้ง” (dehydrate) ให้พร้อมการสั่งซื้อกลับไปขายที่ตลาดแม่ เดือนละ 1ตู้คอนเทนเนอร์ ทั้งปี!! ต่อเนื่องมากว่า 30 ปีแล้ว เผยมีส่งออกตลาดอื่น ๆ ด้วย โควิดกระทบบ้างแต่ว่าก็ไม่มากนัก

การทำแห้งดอกไม้ด้วยเทคนิค dehydrate
“ตัวนี้เป็นดอกไม้สดทำแห้งนะคะ เป็นลักษณะการ dehydrate คือ เอาน้ำออกจากดอก แล้วก็ยังคง structure ของทางดอกให้คงสภาพความเป็นจริงทั้งสีสัน กลีบดอก ให้คงความสวยงามเก็บไว้ได้นานเป็นสิบ ๆ ปีค่ะ”

คุณนุสนำชมกระบวนการผลิต การทำแห้งดอกกุหลาบพันธุ์ลิขสิทธิ์จากฮอลแลนด์ที่ใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการทำผลิตภัณฑ์
คุณนุส-ปาณิสรา สินมาเลิศ ผู้ก่อตั้ง FLOWER HOUSE ORCHID (SIAM) บริษัทคนไทยเพียงหนึ่งเดียวที่รับช่วงต่อในการผลิต “ดอกไม้สดทำแห้ง” ด้วยเทคนิค dehydrate ส่งตรงให้กับทางตลาดแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเจ้าตัวทำงานนี้มากว่า 30 ปีแล้ว เล่าถึงลักษณะของสินค้า โดยหลังจากที่ได้รับโอกาสให้ไปเรียนรู้ know-how นี้กลับมาเมื่อช่วงปี 2534 จากเจ้านายเก่า(ญี่ปุ่น) แล้ว ธุรกิจดอกไม้สดทำแห้งจึงได้เริ่มขึ้นมาในประเทศไทย เพื่อเป็นฐานการผลิตสินค้าส่งกลับไปป้อนทางตลาดแม่ที่ญี่ปุ่น การเริ่มต้นทำในช่วงแรก ๆ นั้นจะต้องออกไปหาทุกอย่างเองทั้ง แหล่งของ “แก้ว” ที่จะต้องใช้ในการผลิต ต้องหาแหล่งดอกไม้ซึ่งตอนนั้นทางญี่ปุ่นกำหนด “กล้วยไม้ไทย” เป็นหลักก่อน การหาแหล่งไม้ใบ(เฟินต่าง ๆ) จากโครงการหลวง และหาคนเพื่อมาทำด้วย ต้องสอนเขาเพื่อให้เขาทำเป็นก่อน ซึ่งไม่ง่ายเลยกว่าจะสร้างทีมงานขึ้นมาและส่งออกครั้งแรกใน2537 ได้

ดีไซน์งานแต่ละชิ้นให้ออกมาแบบไม่ซ้ำเลยโดยช่างฝีมือที่มีประสบการณ์สูง
กรรมวิธีซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตคุณนุสบอกว่า การ dehydrate คือการดึงเอาน้ำออกจากดอกแต่ให้คงสภาพโครงสร้างเดิม
(structure) เอาไว้ครบ ทั้งสีสัน กลีบ ยังมีความสวยงามและเก็บไว้ได้นานเป็นสิบ ๆ ปี โดยใช้ “ซิลิก้าเจล” เป็นตัวช่วยสำคัญในกระบวนการรวมถึงต่อมามีการประยุกต์เพิ่มเติมใหม่ หลังจากที่มีการผลิตในประเทศไทยได้นำ “ไมโครเวฟ” เข้ามาใช้ร่วมเพื่อเป็นตัวเร่งช่วยให้ไวขึ้นด้วย จากการที่วัตถุดิบ(ดอกไม้) เองมีความชื้นอยู่สูง การทำแห้งโดยใช้เทคนิคนี้จะทำให้กลีบดอกไม้มีความเปราะบางมาก(กรอบ) และเวลานำมาประกอบเป็นชิ้นงาน ต้องใช้ความระมัดระวังและมีความละเอียดสูงเพื่อไม่ให้เกิดการเสียหายได้ ส่วนเรื่อง “แก้ว” ที่นำมาใช้ก็ต้องมีคุณสมบัติพิเศษไม่แพ้กัน ทั้งด้านคุณภาพความใสของแก้ว ต้องเป็นเกรดพรีเมียมหรือสั่งผลิตพิเศษเท่านั้น เพราะการคงสภาพอากาศที่อยู่ด้านในเอาไว้ได้ตลอด (ห้ามอากาศเข้า-ออกได้) มีผลต่อคุณภาพของดอกไม้ที่จัดแสดงอยู่ด้านในผ่านแก้วรูปทรงต่าง ๆ เช่นกัน

การทำงานที่ใช้ทั้งความปราณีตและต้องมีสมาธิสูงมาก
สำหรับการนำไปใช้ คนญี่ปุ่นจะมีวัฒนธรรม “การให้” ในหลากหลายวาระและโอกาสต่าง ๆ อยู่ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นวันสำคัญอย่างเช่น วันแม่ ก็ต้องหาของขวัญของฝากเพื่อกลับไปไหว้แม่ หรือเทศกาลประจำปีอย่างเช่น โอบ้ง เป็นต้น คนญี่ปุ่นจะชอบในความอ่อนช้อยสวยงามของดอกไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นการมอบหรือการให้ของเนื่องในวาระโอกาสต่าง ๆ ดอกไม้จึงถือว่าเป็นช้อยส์ที่ถูกเลือกใช้อยู่บ่อยครั้ง และจากความประทับใจ “กล้วยไม้ไทย” การเลือกใช้ดอกกล้วยไม้เพื่อนำมาผลิตในยุคแรก ๆ ก็จะมีอย่างเช่นสายพันธุ์ เดรนโดเบียม(หวาย) บอมบ์ มาดามปอมเปอร์ดัวร์ และตุ๊กตาเริงระบำ และตอนหลังมีการนำผลิตภัณฑ์นี้ไปใช้งานซึ่งเกี่ยวกับ “วัด” และตาม “ศาลเจ้า” ต่าง ๆ เพื่อการไหว้เจ้าขอพรด้วย

กว่าจะได้ผลงานออกมาแต่ละชิ้นต้องผ่านการทำหลายขั้นตอน
รวมถึงมีการเพิ่มเติมใหม่อีกครั้ง ทั้งในเรื่องดอกไม้มีการนำ “กุหลาบ” พรีเมียมและพันธุ์ลิขสิทธิ์จากฮอลแลนด์เข้ามาเพิ่มด้วย
การดีไซน์งานจัดดอกไม้และเลือก “รูปทรง” ของแก้วที่นำมาใส่ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ตามการเปลี่ยนผ่านด้านการบริหารงานมาสู่การจัดตั้งเป็นบริษัท Flower House Orchid (Siam) อย่างเต็มตัว ที่มีความอิสระมากขึ้น เพื่อเริ่มต้นในการพัฒนางานใหม่ ๆ ทำให้เกิดการใช้ที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น มีการนำไปใช้เพื่อการประดับตกแต่งบ้าน การเยี่ยมไข้ในโรงพยาบาลที่ไม่ก่อปัญหาเรื่องการแพ้กลิ่นหรือเกสรของดอกไม้ เป็นต้น ซึ่งยังใช้บ่งบอกถึงความเป็นเฉพาะบุคคลที่เป็นผู้มอบให้อีกด้วย หรือกรณีที่ลูกค้ามีดอกไม้พิเศษต้องการจะเก็บรักษาเอาไว้ด้วยเทคนิคการผลิตนี้ก็ช่วยทำให้ได้เช่นกัน และมีการทำตลาดในประเทศอยู่ช่วงหนึ่งส่งให้ Duty free และห้างฯ โตคิว เยาฮัน ที่มีอยู่ในช่วงนั้น แต่ว่าระยะต่อมาก็ต้องเปลี่ยนมาเน้นการส่งออกเป็นหลักแทนจนถึงในปัจจุบัน

ขั้นตอนการปิดผนึกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอากาศเข้า-ออกได้เลย ซึ่งสำคัญมากๆ ต่อคุณภาพของดอกไม้ที่อยู่ข้างใน
คุณนุสบอกด้วยว่า ราคาเริ่มต้นสำหรับผลิตภัณฑ์นี้มีตั้งแต่หลัก 100 จนถึงหลัก 1000 ต่อชิ้นเท่านั้น ไม่ได้แพงโอเวอร์จนไปถึงราคาหลักหมื่นอย่างที่หลายคนอาจเข้าใจผิดได้ ถึงแม้ว่าวัตถุดิบหลักแต่ละอย่างที่นำมาใช้จะเน้นเป็น “เกรดพรีเมียม” ทั้งหมดก็ตาม โดยจะขึ้นอยู่กับขนาด(จำนวนดอก) และชนิดของดอกไม้ที่ลูกค้าเลือกกำหนดให้เป็นหลัก ขณะที่ตลาดก็ยังคงเป็น “ญี่ปุ่น” ซึ่งเป็นตลาดแม่ด้วยและแหล่งของโนฮาวสำหรับการผลิตมาตั้งแต่ต้น มีออร์เดอต่อเนื่องกันมาแบบแพลนงานผลิตทั้งปี อยู่เดือนละไม่ต่ำกว่า 1 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 8,000 ชิ้น/เดือน ที่ต้องทำส่งอยู่ตลอด เป็นออร์เดอผลิตกว่า 70-80% จากทั้งหมด และนอกจากนั้นก็ยังมีตลาดอื่น ๆ แคนาดา ฮังการี ยุโรป ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเป็นรองที่ส่งออกด้วย รวมถึงมีการผลิตให้กับทางผู้ส่งออกรายอื่น(บ้าง) ที่เป็นลักษณะของการทำตลาดภายในประเทศควบคู่

การแพ็กบรรจุกล่องเพื่อเตรียมจัดส่งให้กับลูกค้า
ช่วงโควิดที่ผ่านมา คุณนุสบอกว่ากระทบบ้างแต่ก็ไม่มากนัก ในช่วงแรก ๆ ที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้หลายประเทศมีการล็อคดาวน์เมือง ส่งผลต่อการไปมาหาสู่กันทำไม่ได้รวมถึงการส่งสินค้าไปให้กับทางลูกค้าที่ต่างประเทศก็ทำไม่ได้ด้วย แต่ทว่าความต้องการซื้อสินค้ายังคงมีตามปกติอยู่เช่นเดิม ซึ่งทางญี่ปุ่นเองก็ได้รับผลกระทบจากโควิดอยู่ค่อนข้างมากพอสมควร ดังนั้นจึงทำได้เพียงการสั่งชะลอเรื่องการส่งสินค้าเอาไว้ก่อน ส่วนผลกระทบอื่น ๆ ที่มีเกิดขึ้นบ้างเช่น ดอกไม้ ที่ต้องสั่งนำเข้าจากต่างประเทศเพื่อใช้ในการผลิต(กว่า50%) ไม่เพียงพอเพราะไม่สามารถสั่งซื้อได้ กำลังการผลิตหรือคนทำที่หายไป จากการลาออกเพื่อกลับบ้านในช่วงโควิด(ล็อคดาวน์) ทำให้พอถึงตอนนี้เมื่อสถานการณ์ผลิตเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติตามเดิมแล้ว กลายเป็นว่ามีกำลังคนในการผลิตไม่ค่อยเพียงพอ

ดอกไม้สดพรีเมียมพันธุ์ลิขสิทธิ์จากฮอลแลนด์ (ทำแห้ง) ที่จัดอย่างสวยงามในภาชนะแก้วคุณภาพพรีเมียม ที่สั่งผลิตจากโบฮิเมียท่านั้น

คุณภาพความสดและสวยงามของดอกไม้ผ่านความใสของแก้วโบฮิเมียน
สร้างงานสร้างอาชีพ ธุรกิจนี้ส่งต่ออาชีพให้คนมากว่า 3 เจนเนอเรชั่นแล้ว จากยุคบุกเบิก(รุ่นแม่) คุณนุสเล่าว่ามีการสานต่อในอาชีพสู่รุ่นลูก และต่อมาล่าสุดมีรุ่นหลานด้วย การทำธุรกิจนี้มากว่า 30 ปี ไม่เคยว่างเว้นออร์เดอการสั่งซื้อที่จะมีเข้ามาอยู่ตลอดทั้งปี ทำให้ทีมงานมีงานตั้งแต่ ช่วงเวลาปกติเริ่มจาก 09.00 -18.00 น. และมีการต่อโอทีจนไปถึง 22.00น. เซึ่งป็นอย่างนี้มาตลอด รวมถึงบางครั้งจะต้องเพิ่มวันทำงานเป็น “วันอาทิตย์” ด้วยเพื่อเร่งการผลิตให้ครบตามที่ลูกค้าต้องการ จากกำลังการผลิตที่เดิมมีอยู่ 50 กว่าคน และมีการแบ่งงานบางส่วนที่ไม่กระทบต่อคุณภาพของดอกไม้เพื่อให้กับคนนอก เช่น ญาติพี่น้อง เพื่อน รวมทั้งเคยส่งให้กับทางทัณฑสถาน ได้รับไปทำเป็นการสร้างอาชีพให้ด้วย หรือแม้กระทั่งช่วงโควิดที่ผ่านมา “สวนดอกไม้” ซึ่งได้รับผลกระทบเรื่องตลาดไม่สามารถจำหน่ายผลผลิตตามปกติได้ มีการช่วยกันโดยรับซื้อเข้ามาตามปกติเพื่อผลิตเป็นสต็อกวัตถุดิบเก็บเอาไว้รอ ซึ่งก็สามารถทำได้เช่นกัน คุณนุสบอกว่าเป็นการดูแลกันและก็เติบโตมาด้วยกัน “ในการที่เขามีเรา ก็ช่วยเขาส่วนหนึ่ง ในวันที่เรามีเขา เขาก็ช่วยเราในส่วนตรงนี้”


สอบถามเพิ่มเติมโทร.081-810-8954



* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *


กำลังโหลดความคิดเห็น