จากชีวิตเด็กดอย อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย อพยพลงมาสู่พื้นราบ ด้วยรายได้ครอบครัวเพียง 3,000 บาท อยู่ในบ้านกระท่อมหลังเล็ก เพื่อนล้อว่ามีนี่บ้าน หรือ รูหนู เป็นแรงผลักดันให้ หญิงเก่งคนนี้ “ศิริรัตน์ กิจพ่อค้า” ต่อสู้ทุกทางเพื่อให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น เขาต้องทำงานทุกตั้งแต่ในวัยเรียน เพื่อจะหาเงินมาใช้ระหว่างเรียน ไม่ต้องการรบกวนทางบ้าน และได้แรงบันดาลใจเมื่อได้เห็นความสำเร็จของคนอื่นๆ และนำมาเป็นแบบอย่าง สานฝันให้ครอบครัวได้ก้าวข้ามความยากจน ใช้เวลา 5 ปี สร้างรายได้กว่า 1,000 ล้าน
จากนักวางแผนการเงิน สู่เจ้าของแบรนด์ร้อยล้านใน 1ปี
เมื่อเรียนจบก็ได้ทำงานที่บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง เงินเดือนๆละ 10,000 กว่าบาท ความฝันที่จะมีรายได้เลี้ยงครอบครัวแทบจะมองไม่เห็น ทำให้เขาต้องรุกขึ้นมาสู้อีกครั้งหลังจากทำงานบริษัทหลักทรัพย์ ได้ 1-2 ปี ตอนอายุ 24 ปี เรียนรู้และไปสอบเป็นนักวางแผนการเงิน และเป็นจุดเปลี่ยนจากการเป็นนักวางแผนการเงิน ช่วยออกแบบการเงินให้หลายคนที่รวยอยู่แล้วยิ่งรวยเพิ่มขึ้นไปอีก โดยใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปีจากการเป็นนักวางแผนการเงิน สร้างรายได้หลัก 10 ล้านบาท
ทั้งนี้ จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้น โดยความบังเอิญ เพราะเวลานั้น เขาทุ่มเทกับการเป็นนักวางแผนการเงินมีรายได้ที่เข้ามาแบบเป็นกอบเป็นกำ ไม่คิดว่าจะไปทำอาชีพอื่นๆ ในเวลานั้น อย่างแน่นอน แต่โชคชะตาทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อวันหนึ่งเธอต้องการจะหาครีมบำรุงผิว เพราะเธอมีปัญหาเรื่องผิวที่แพ้ง่าย
ศิริรัตน์ เล่าว่า จุดเริ่มมาจากตรงนั้น ในวันที่ต้องการหาครีมบำรุงผิวสำหรับตัวเองซึ่งคนแพ้ง่าย หลังจากที่ค้นหาทางอินเตอร์เน็ต จนได้ไปรู้จักกับโรงงานผลิตแห่งหนึ่ง ได้คุยกันให้เขาช่วยออกแบบครีมบำรุงให้กับตัวเอง แต่ต้องสั่งขั้นต่ำเป็นหลักร้อยหลอด แต่ด้วยรายได้ของเราในขณะนั้น ไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับเงินหลักหมื่น สุดท้ายเธอก็ได้สั่งครีมจากโรงงานแห่งนั้นมาทดลองใช้ก่อน
หลังจากใช้ไปผิวหน้าก็ดีขึ้น จนเพื่อนถามว่าใช้ครีมอะไรผิวหน้าดีขึ้น ก็เลยแบ่งให้เพื่อนใช้ พอเขาใช้ดี เพื่อนบอกว่า ถ้าจะขอรับไปขายได้ไหม ตอนนั้นก็คิดว่าดีเหมือนกันนะ จะได้มีรายได้เพิ่ม แต่ไม่คิดถึงขนาดว่าจะมาทำจริงจัง เพราะมีรายได้การเป็นนักวางแผนการเงินในระดับที่เราพอใจ ซึ่งตอนนั้นไม่คิดว่าจะเกิดแบรนด์ MANAที่มาไกลถึงขนาดนี้ จากช่วงแรกเพื่อนรับไปขายและมีตัวแทนขายช่วงแรก 10 คน ก็กลายเป็นขยายไปเรื่อย เราเริ่มมองเห็นว่ามันไปได้ ก็เลยคุยกับแฟนว่าจะทำอย่างจริงจัง
สานฝันช่วยคนด้อยโอกาสมีรายได้
“สิ่งที่เรารู้สึกดีกับการสร้างแบรนด์ MANA มากๆ เพราะเมื่อเทียบกับการนักวางแผนการเงิน ทำรายได้ให้กับคนรวย ให้เขารวยมากยิ่งขึ้น ในขณะที่การเข้ามาขายเสริมอาหาร MANAตรงนี้ เราได้ช่วยคนที่มีรายได้น้อย บางคนเป็นแม่บ้าน คนเลี้ยงเด็ก รายได้ไม่ถึงหมื่นบาทต่อเดือน แต่พอได้มาขาย MANA มีรายได้ 5-6 แสนบาท ต่อเดือน พลิกชีวิตคนที่ด้อยโอกาสทางสังคม เหมือนให้ชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น หลายหมื่นคนมีรายได้ที่ดีขึ้น ปัจจุบันมีตัวแทนกว่า 40,000 คน และในปีนี้ ตั้งเป้าว่าจะมีตัวแทนกว่า 100,000 คน อยากเห็นคนไทยมชีวิตที่ดีขึ้น”
ศิริรัตน์ บอกว่า หลังจากที่ได้มาทำผลิตภัณฑ์ความงาม จากไม่คิดว่าจะทำได้ ความสำเร็จส่วนหนึ่งมาจากตัวแทนจำหน่ายที่มาช่วย ทำให้มีวันนี้ โดยปีแรกที่เริ่มขายเมื่อประมาณ 5 ปีก่อนหน้านี้ ขายครีมอย่างเดียวมีรายได้ปีแรก 300 ล้านบาท และหลังจากนั้นได้มาจับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กลุ่มคอลลาเจน การพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งทั้งงานวิจัยเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด ทำให้วันนี้ผ่านมา 5 ปี MANA มีรายได้กว่า 1,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายในปี 2565 ไว้สูงถึงเท่าตัว คือ 1,000 ล้านบาท หลังจากที่ได้สิทธิ์งานวิจัยระดับเหรียญทองจากสวิสเซอร์แลนด์ จากสวทช.
พลิกโฉมวงการคอลลาเจนด้วย นวัตกรรม
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นนวัตกรรม Cell Enhanz นวัตกรรมความงามลึกระดับเซลล์ ที่ได้รับสิทธิ์จาก สวทช. ซึ่งเป็นนวัตกรรมระดับรางวัลเหรีญทอง inventions Geneva 2021 ประเทศสวิสเซอแลนด์ คาดหวัง การเปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมน้องใหม่ครั้งนี้ จะเข้ามาพลิกโฉมวงการเสริมอาหารไทยในปี 2022 อย่างยิ่งใหญ่ บริษัทยอมทุ่มงบกว่า100 ล้านบาท ทำการตลาดพร้อมกับดึงนางเอกสาวแถวหน้า อย่าง “ญาญ่า อุรัสยา” นั่งแทนพรีเซ็นเตอร์
โดยแผนการตลาดของ MANA ยังคงให้ความสำคัญกับตัวแทนจำหน่ายเป็นช่องทางหลักและช่องทางเดียว เพราะความตั้งใจของเราตั้งแต่แรก คือ ต้องการที่จะสร้างโอกาสที่ดีให้กับคนไทย และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ให้คนที่ไม่มีเงินทุน และต้องการจะมีรายได้ เพราะการขายสินค้าของเราจะไม่ต้องสต็อกสินค้า ไม่ต้องจ่ายเงินค่าสมัคร จ่ายเพียงค่าอบรม 109 บาท ทางบริษัทจะอบรม ทุกคนสามารถขายสินค้าได้ทุกช่องทางทุกแพลตฟอร์ม ในขณะที่ตัวแทนจำหน่ายจะได้เปอร์เซนต์จากยอดขายสูงถึง 50% เพียงขายสินค้าของ MANA เพียงชิ้นเดียวก็ได้ค่าแรงขั้นต่ำแล้ว
ศิริรัตน์ เล่าว่า การทำงานในชีวิตของคนเราแตกต่างกัน เราสามารถเลือกเส้นทางชีวิต หรือ การทำงานของตนเองได้ มีคำพูดที่ว่า ทำน้อยได้มาก หรือ เลือกที่จะทำมากได้น้อย เราสามารถเลือกได้ และตัวเองก็เลือกทำน้อยได้มาก และเชื่อว่า หลายคนอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ในแบบที่ทำน้อยได้มากเหมือนกัน เราก็เลยอยากจะเป็นทางเลือกให้กับคนด้อยโอกาสทางสังคมไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือ น้องๆ แรงงานต่างด้าว ทุกคนสามารถสร้างโอกาสในแบบที่ เด็กดอยอย่างเราได้เช่นกัน
ประกาศขึ้นแท่นผู้นำตลาดคอลลาเจน ภายในปี 65
ในส่วนของแผนการทำตลาด ที่MANA วางไว้ในปี 2565 วางเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นผู้นำในตลาดเสริมอาหาร ในกลุ่มคอลลาเจนให้ได้ภายในปีนี้ ด้วย ปัจจุบันมีในตำแหน่งที่ผู้นำคอลลาเจนอันดับ 3 การเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ระดับโลกครั้งนี้ ซึ่งยังไม่เคยมีในประเทศไทย ซึ่งสินค้าของเราตอบโจทย์เทรนด์เสริมอาหารในปัจจุบันที่ทุกคนอย่างได้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่กินเข้าไปแล้วไม่ได้ถูกย่อยสลายขับถ่ายออกไปหมด แต่สามารถดูดซึมในอนุภาคที่เล็กมากเข้าไปในระดับเซลล์ได้
ศิริรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย ถึงความสำเร็จของเธอในวันนี้ ว่าเกิดจากความมุ่งมั่นตั้งใจ และลงมือทำ เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งสำคัญ คือ สินค้าของเราต้องดี เราเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้า สุดท้ายลูกค้าจะกลับมาซื้ออีก บวกกับมีทีมนักขายที่เก่ง และพร้อมจะสู้ไปกับเรา ทำให้เรามีวันนี้ วันนี้ เรามีพร้อมทั้งสินค้าที่ดี นักขายที่เก่งทำให้เรากล้าที่จะตั้งเป้ายอดขายเพิ่มกว่าเท่าตัว
ติดต่อ Facebook : manaskincare
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEsผู้จัดการ”รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด
SMEs manager