ความเครียดในการทำงานที่สะสม เป็นเรื่องที่หลายคนเลือกปล่อยผ่านไป วันแล้ววันเล่า เพราะคิดว่าคงไม่น่าจะเป็นอะไรมากแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เมื่อร่างกายเริ่มฟ้องด้วยอาการบางอย่างที่ผิดปกติแล้ว เตือนเพื่อให้คุณรู้ตัวเองว่าถึงเวลาจะต้องจัดการชีวิตใหม่!
“จอย” กมลศิริณัช หาญสาริกิจ คุณแม่สายสตรองเจ้าของร้านSasiCatering เล่าว่า การเลือกตัดสินใจที่จะ move on จากงานประจำซึ่งในขณะนั้นยังกำลังรุ่งๆ อยู่ทั้ง ตำแหน่งหน้าที่การงานของตนเองที่เป็นถึงผู้จัดการโรงแรม และก็ผลประกอบการธุรกิจของโรงแรมที่กำลังไปได้สวย เมื่อช่วง10 ปีก่อน ไม่ง่ายเลยที่ครอบครัวและคนรอบข้างจะเข้าใจได้ ว่าทำไมถึงออก? แล้วจะไปทำอะไร?!! แต่สำหรับตนเองมีคำตอบเตรียมพร้อมเอาไว้อยู่ในใจแล้ว รอเพียงแค่เวลาในการลงมือทำเพื่อจะพิสูจน์ ความหวังเล็กๆ ที่แฝงไว้ด้วยความสุขความสบายใจกว่าอย่างที่ งานประจำไม่สามารถตอบโจทย์ข้อนี้ให้กับตนเองได้
“ก่อนหน้านี้จอยทำงานโรงแรม เป็นผู้จัดการแผนกหนึ่งในโรงแรม ในส่วนของ official คือเป็นเหมือนงานทำข่าวให้กับโรงแรม
วันนี้โรงแรมจะมีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์อะไรยังไงเราก็ต้องดิวกับสำนักข่าวต่างๆ แล้วก็เอาข่าวเราไปลงในกรอบของข่าวธุรกิจนู่นนี่นั่น คืองานของจอยสนุกมาก! แล้วก็วันหนึ่งมีผู้ใหญ่ซื้อตัวจากโรงแรมนี้เพื่อไปทำโรงแรมให้ คือมันเป็นโรงแรมเก่าที่เขาซื้อมาทำการรีโนเวตใหม่เพื่อจะเปิดให้บริการ จอยก็ทำให้เขาจากโรงแรมร้างๆ จนมีแขกเต็มทุกเดือน มันก็เป็นนิสัยส่วนตัวที่เรารู้สึกว่าพอมันอิ่มตัว มันไม่มีอะไรท้าทายแล้ว โรงแรมก็เต็ม คือเราดิวโรงแรมให้กับสนามบินพอแขกลงเครื่องมาปุ๊บ แขกจะรันเข้าโรงแรมเราเลยทันที แล้วจอยเองเป็นคนที่เหมือนรู้สึกว่าไม่มีอะไรตื่นเต้นแล้วก็เลยหยุด จริงๆ ไม่ได้พักงานเลยนะคะ คือกลับบ้านมาบอกแม่ว่าอยากทำร้านอาหารอยากขายของ แม่ก็บอกจะขายอะไร!”
ประเดิมอาชีพใหม่ “แม่ค้าขายขนม” ที่ขัดใจแม่สุดๆ!!
คุณจอย เล่าให้ฟังอีกว่า เป็นธรรมดาที่ความคาดหวังจากครอบครัวต่อตัวเธอย่อมมีอยู่ไม่น้อยเลย เพราะหลังจากเรียนจบมาภายในเวลา 3 ปีครึ่ง ก็ถูกจองตัวเข้าทำงานต่อเลยในโรงแรมที่ไปฝึกงานอยู่ จนกระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ต้องเลือกตัดสินใจบางอย่างสำหรับชีวิต ก็คือว่าตนเองเริ่มพบความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันมากเลยอาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจก็เลยไปหาหมอ เพื่อตรวจเช็กดูว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่
“ก่อนหน้านั้นคือไม่เคยเล่าให้ที่บ้านฟังว่าเราไปหาหมอ เรามีความเครียดสะสมในตัวเราโดยที่ หมอบอกว่าคนที่จะเป็นโรคนี้ มันจะเป็นอาชีพหมอ อาชีพอะไรที่อยู่บนความกดดันเยอะๆ เขาก็ถามว่าทำไมจอยถึงเป็น จอยก็เป็นคนประเภทแบบสมมุติว่ามีลูกค้าเหวี่ยงเราปุ๊บ เหวี่ยงแรงมากเลย เราก็จะทิ้งวางไว้ แล้วก็หันไปบอกลูกน้องว่าไม่เป็นไรเอาใหม่ คือเราเป็นคนแบบว่าเก็บมันไว้ที่ตัวเรา หมอว่านั่นแหละมันเป็นจุดทำให้คุณมีความเครียดสะสม สูงมาก! จนจอยไม่สามารถคุยกับใครแบบคนปกติได้ มันเป็นแบบคุยไปต้องเรอไป อาการจะมี 2 ทาง ออกข้างบนกับออกข้างล่าง แต่ของจอยเป็นเคสข้างบน คุยไปเรอไป คุยไปเรอไป อย่างนี้ตลอดเวลา จนหมอถามว่างานเครียดแบบซีเรียสไหม เป็นแบบสะสมเหมือนพวกข้าราชการไหม หยุดได้ไหม เราบอกได้ คือมันเป็นจุดที่เรารู้สึกอยู่แล้วว่าพอดีเราอยากพัก ก็เลยตัดสินใจลาออกจากงาน ซึ่งตอนนั้นเจ้าของก็โกรธเป็นเรื่องเป็นราวเลยเพราะจอยออกเลย แล้วจอยก็หักดิบ แล้วก็ไปบอกแม่ว่าอยากเปิดร้าน แม่ก็บอกร้านอะไร!”
เมื่อเลือกตัดสินใจจะเปลี่ยนมาทางนี้แล้ว คุณจอยเล่าว่าพอดีพี่สาวทำงานอยู่ในสายงานโรงเรียนรู้จักกับเจ้าของโรงเรียน
โรงเรียนหนึ่งที่มีสาขาเยอะมากก็เลยไปขอเขาทำร้าน สักร้านในโรงเรียนได้ไหม ซึ่งตอนแรกเขาก็มองว่าเราจะทำได้จริงหรือ จนพอเราขอลองทำซึ่งตอนแรกเขาก็จะให้ลงที่สาธุประดิษฐ์เป็นโรงเรียนของเขาเองซึ่งมีเด็กเยอะมากแล้วถ้าเปิดร้านคือขายดีมาก แต่ว่าตนเองก็เลือกที่จะไม่เอา ในใจคืออยากได้โรงเรียนใหม่ๆ ที่มันท้าทายกว่า แล้วพอดีกับที่เขาก็เพิ่งไปได้โรงเรียนใหม่แถวสายไหม เป็นโรงเรียนที่ซื้อมาทำใหม่ตอนนั้นยังไม่มีเด็กเลย ไม่มีใคร แล้วตนเองรู้สึกว่าอยากจะทำที่นี่ ทั้งที่ชีวิตนี้ยังไม่เคยรู้จักสายไหมมาก่อนเลย พอขับรถไปดูโรงเรียนก็เป็นที่นา มีตึกตั้งอยู่ 1 หลังเพราะว่าเป็นโรงเรียนเก่า ที่เขาซื้อต่อมาเพื่อจะทำเป็นโรงเรียนเด็ก พอเริ่มเข้าไปทำร้าน(เป็นร้านแรกของโรงเรียน) จำได้ว่าวันแรกขายได้เงินมา 600 บาทจากขนมเบเกอรี่กับน้ำหวานที่ทำเองไปจากบ้าน ซึ่งตอนนั้นเด็กก็ยังมีไม่มากเรียกว่าเห็นหน้าก็จำชื่อกันได้หมดทุกคน ขับรถเทียวไปกลับบ้านสาธุประดิษฐ์-สายไหมทุกวัน จนแม่กับเจ้าของโรงเรียนเห็นแล้วบอกเป็นเสียงเดียวกันเลิกเถอะ! ไปทำอย่างอื่นแทนดีกว่า
อยู่กับสิ่งที่ชอบ ทำในสิ่งที่ใช่
“ไม่!จอยจะทำต่อ” การรั้นในวันนั้นเจ้าตัวมีเหตุผลสำคัญที่ซ่อนอยู่กล่าวคือ คุณจอยบอกว่าการได้มาอยู่กับเด็กๆ มันทำให้ตนเองรู้สึกมีความสุข เพราะเด็กเขามีความสดใสซึ่งเป็นเหมือนพลังที่ปล่อยออกมาให้กับเราได้ สังเกตได้จากเวลาที่ตนเองเครียดๆ จะไปนั่งตรงที่มีเด็กอยู่กันเยอะๆ เด็กเขาไม่ได้มีสาระอะไรเลยเวลาที่เขาพูดมา แต่ว่ามันกลับทำให้รู้สึกว่าช่วงเวลานั้นเราได้พลัง แล้วความเครียดที่มีอยู่มันstop ลง ก็เลยเป็นงานที่เลือกที่จะมาอยู่กับเด็ก นี่คือความตั้งใจ ตอนนั้นก็เลยประกาศกับเจ้าของโรงเรียนว่าจะขอทำ 10 ปี ขอทำร้านนี้ 10 ปี ก็ปักหลักทำไปจนกระทั่งรู้สึกว่ามันใช่! แล้ว อยู่มาวันหนึ่งก็มีคนมาเคาะร้านแล้วบอกว่า “พี่จะเซ้งร้านนี้4 แสน!” แต่ทว่าตอนนั้นก็ไม่มีใครสามารถทำได้เพราะต้องเป็นตนเองทำเท่านั้น และพอเริ่มรู้สึกว่าอิ่มตัวแล้วก็เลยให้น้องเข้าไปทำต่อส่วนตัวเองก็ค่อยๆ ถอยออกมา เพราะรู้สึกว่าอยากจะทำอย่างอื่นอีกแล้ว!
มูฟออนสู่ธุรกิจCatering ฉบับคุณแม่สายสตรอง
คุณจอยบอกว่า ในขณะนั้นก็มีงาน Catering อยู่เรื่อยๆ จัดงานให้โรงแรมอยู่ ยังคงอยู่ในสายโรงแรม มีการจัดงานให้โรงแรมที่เคยทำงาน เช่น งานลอยกระทง งานประกวดนางงาม ฯลฯ ก็จะมีการเรียกตัวกันเข้าไปเพื่อไปช่วยจัดเป็นงานๆ ไป เลยกลายเป็นว่าก็ยังอยู่ในสายนี้ ซึ่งงานมีเข้ามาเรื่อยๆ แต่ตอนนั้นก็ยังคงใช้ชื่อเดิมที่ร้านเพราะตอนนั้นยังไม่ได้มีลูก จนเมื่อตัวเองมีลูกแล้ว ก็เริ่มมองอย่างอื่นที่จะสามารถมีเวลาให้ลูกด้วย การทำCatering เริ่มเต็มตัวก็คือตอนมีลูกแล้ว เลี้ยงลูกด้วย ทำงานด้วย
เพราะพอลูกเข้าโรงเรียน(1 ขวบ4 เดือน) ที่สามารถไว้วางใจในเรื่องของการดูแลได้แล้ว เริ่มมีเวลาเป็นของตัวเองก็เริ่มลุยเรื่องการรับงานต่อทันที ซึ่งในช่วงแรกๆ นั้นก็ยังเป็นลักษณะของการดิวหรือเป็นตัวกลาง ที่ประสานให้กับคนจัด-คนทำงานได้มาเจอกันก่อน มีการแนะนำร้านที่รู้จักเพื่อให้กับลูกค้าได้เลือกใช้สำหรับการจัดงานนั้นๆ ไป อย่างเช่น ที่เคยมีจัดงานใหญ่ๆ ก็คืองานของ กทม. ที่มีการปิด กทม.เลยเพื่อเอาร้านดังทั่วประเทศมาลงเป็นซุ้มๆ ในการจัดงาน ซึ่งตนเองก็เริ่มมาจาก Catering ที่เหมือนทำออร์แกไนซ์งานไปด้วย และมีของตัวเองบางส่วนอย่างเช่น น้ำ ที่เป็นของร้านเองก่อน
งานดีไม่มีสะดุด จากการบอกต่อ
ปัจจุบันร้าน SasiCatering มีงานรับจัดเลี้ยงเข้ามาอย่างไม่เคยขาดสายเลย ซึ่งเจ้าของร้านบอกว่า ลูกค้าที่ออเดอร์งานเข้ามาตอนนี้จะมีทั้ง ลูกค้าประจำ เรียกไปจัดงานให้อยู่เรื่อยๆ ตามแต่วาระของลูกค้าที่เขาจะมีงานทั้งงานประชุมภายในหรือแม้แต่งานอีเว้นท์ใหญ่ก็จะเรียกใช้งานกันอยู่เรื่อยมา หรือบางคนเป็นงานประจำปี งานครบรอบต่างๆ ที่ยังคงได้รับความไว้วางใจเรียกใช้บริการของร้านอย่างต่อเนื่อง และมี “ลูกค้าใหม่” ที่ไม่เคยได้เห็นหน้ากันเลยหรือรู้จักมาก่อนแต่มาจากบางทีการได้รับของ
เห็นของที่มีคนส่งไปให้แล้วเกิดความประทับใจ และอยากจะลองสั่งเองดูบ้างก็มี กลายเป็นเหมือนการบอกต่อกัน หรือบางครั้งลูกค้าอยากจะได้ของที่สั่งไว้แบบไวๆ ไม่อยากรอแล้วอย่างในช่วงโควิดฯ ที่ผ่านมา ก็มีส่งไรเดอร์ยอมจ่ายค่าบริการเองมารับของให้ที่ร้านซึ่งบางครั้งค่าส่งแพงกว่าของที่สั่งไว้ก็มี แต่ลูกค้าก็ยินดี ซึ่งในการออเดอร์ของสำหรับงานจัดเลี้ยงลูกค้ายังสามารถที่จะเป็นคนกำหนดรายการทุกอย่างได้ ขนม อาหาร เครื่องดื่ม อยากได้เป็นอะไรบ้าง เครื่องดื่มก็เลือกได้ว่างดน้ำตาล(เพื่อสุขภาพ) แต่ใช้เป็นหญ้าหวานแทนได้ และทุกอย่างจะเน้นทำเองหาวัตถุดิบเองทำให้ใหม่หมดเพื่อสำหรับลูกค้าที่สั่งทำเป็นแต่ละงานๆ ไป ตามงบของลูกค้า พร้อมการนำเสนอสิ่งที่จะได้ให้ลูกค้าเห็นก่อนชอบไม่ชอบหรือต้องการเปลี่ยนอะไรไหม จนพอใจกับรายการที่สั่งแล้วซึ่งขั้นตอนต่อจากนั้นคือทำอย่างไรเพื่อให้ไปถึงมือคนรับของแล้วรู้สึกมีความประทับใจทุกครั้ง
SasiCatering ชื่อนี้มีแต่ของอร่อย
“จอยไม่ได้มีแค่ขนม อย่างออเดอร์วันนี้ที่ทำให้ดูก็คือ ลูกค้ารีเควสอยากได้ เมี่ยงกลีบบัว ถามว่าเราเคยทำไหม เราไม่เคยทำออกร้านเรา แต่ที่บ้านเราทำเมี่ยงคำทานเป็นประจำอยู่แล้ว และเราก็เชื่อว่าสูตรเราอร่อยไม่แพ้ใคร เพราะเวลาเราทำของทานเราเป็นคนเลือกค่ะ เราเป็นคนแบบเรื่องเยอะเวลาไปทานร้านคนอื่น เราก็จะแบบเฮ้ยเขาขาดอันนี้ เฮ้ยมันยังไม่ใช่ ของแท้มันต้องมีอันนี้ อะไรประมาณอย่างนี้ เราก็รู้สึกว่าเรามั่นใจเราก็ทำสูตรเราปล่อยเลย ไม่คิดที่จะไปถามใครหรือไปซื้อของใครมาให้ลูกค้าต่อด้วย เพราะเรารู้สึกว่าทำเองดีกว่าถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยมากค่ะ เพราะทำเองคนเดียวทั้งหมด มีพี่สาวเป็นแบล็คอัพอยู่ข้างหลังก็อายุมากแล้ว60 กว่ากันหมดแล้ว ก็พอช่วยกันได้บ้าง เพราะเรามีอีกเยอะเลยที่ลูกค้ารีเควสมา นี่กำลังเมื่อคืนไปคุยงานใหม่มีงานวันเกิดผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ให้จอยทำ Catering ให้อาหารที่รีเควสมาก็เป็น อาหารโบราณหมดเลย ซึ่งเราก็มั่นใจว่าของเราอร่อยสุด(หัวเราะ) เพราะเรามีผู้ใหญ่ที่อยู่ในชีวิตเราก็อยู่มาแบบโบราณ ทุกอย่างเป็นสูตรโบราณที่ท่านก็กรุณาถ่ายทอดเอาไว้ให้ ตอนที่ท่านยังอยู่ เราก็มีหลายสูตรที่เราอยากให้คนได้ชิมว่า มันอร่อยแบบเรา เราก็เชื่อว่าจะมีอีกหลายๆ คนโดยส่วนใหญ่ ที่จะชอบในแบบที่เราชอบ”
แม้จะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ เพราะเน้นทำเองทุกอย่างด้วยความใส่ใจ ตั้งแต่การผลิตจนถึงการเสิร์ฟ-ส่งให้ถึงมือของลูกค้า คุณจอยบอกว่าตนเองตั้งใจมากๆ และอยากจะส่งต่อถึงมือของคนรับด้วยความรู้สึกที่ว่า เราเป็นคนทำให้เองในทุกขั้นตอน แต่ว่าก็จะมีทีมงานคอยช่วยด้วยในเรื่องของการจัดงานช่วยดูแลในส่วนอื่นๆ เพื่อสร้างความเพอร์เฟ็กต์ให้งานของลูกค้าออกมาอย่างน่าประทับใจได้ทุกครั้งเสมอ ดังนั้นออเดอร์ที่ได้มาส่วนใหญ่จึงเกิดจากการบอกต่อเพราะเริ่มจากความประทับใจที่ได้รับ เป็นความสำเร็จที่วันนี้ตอบโจทย์ของชีวิตได้ทั้ง เรื่องของรายได้ สามารถเลี้ยงตัวและดูแลลูกสาวของตนเอง(น้องศศิ) อย่างไม่น้อยหน้าไปกว่าการทำงานประจำที่มีเงินเดือนสูงๆ อีกทั้งการได้รับการยอมรับจากคุณแม่แล้วว่า อาชีพนี้ลูกสาวสามารถสอบผ่านอย่างฉลุยแล้ว คุณจอยบอกว่าต้อง “ขอบคุณลูกค้า” ที่ให้โอกาสและเชื่อใจซึ่งถึงแม้ว่าหลายๆ คนจะไม่เคยเจอหน้ากันเลย แต่ก็ได้รับการตอบรับอย่างด้วยดีมาตลอด ตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกมาทางนี้ทำให้ชีวิตแฮปปี้สุดๆ อย่างที่มันควรจะเป็นมากกว่า
สอบถามเพิ่มเติม โทร.063-793-6455
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEsผู้จัดการ”รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด
SMEs manager