หลังจากประเทศไทยและทั่วโลก ต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายๆ องค์กรต้องให้พนักงานทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home (WFH) และด้วยเหตุนี้ เป็นที่มาของการพัฒนาระบบเครื่องมือดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกให้การทำงานที่บ้าน เกิดผลสัมฤทธิ์มากที่สุด ทำให้ทุกคนทำงานที่บ้านได้ไม่ติดขัดเสมือนกับการทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ
วันนี้ พามารู้จักกับสตาร์ทอัป ผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม ชื่อว่า MANAWORK ระบบบริหารจัดการที่ช่วยให้ทีม องค์กรต่างๆ ที่ต้องทำงานที่บ้าน สามารถทำงานร่วมกันได้แบบ ไร้อุปสรรค โดยการนำเทคโนโลยี AI มาเป็นตัวช่วยเชื่อมต่อให้ผู้ใช้งานสามารถวิเคราะห์ข้อมูล และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอย่างเป็นระบบ แม้ว่าทุกคนจะนั่งทำงานอยู่กันคนละแห่งก็ติดต่อกันได้ รวมถึงการเชื่อมต่อกับลูกค้าขององค์กรภายใต้ระบบของ MANAWORK ด้วย
เครื่องมือดิจิทัลยุค 2021 ตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ WFH
นายธนกฤษ ทาโน กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอลแอฟฟินเทค และ Co-founder เจ้าของระบบ MANAWORK กล่าวว่า ในยุค 2021 เป็นปีที่ออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทในทุกภาคองค์กร จริงๆแล้วเครื่องมือออนไลน์หลายๆองค์กรเริ่มนำมาปรับใช้มาหลายปีแล้ว แต่ที่ทำให้ทุกคนตระหนักถึงการให้เครื่องมือออนไลน์มาช่วยทำงานมากขึ้นก็คือ โควิด-19 ที่รัฐบาลมีคำสั่งให้ทำงานที่บ้าน work from home คือ การทำงานออนไลน์ ทำงานกันผ่านเน็ต แบบไม่ได้เจอหน้ากัน เป็นการทำงานร่วมกัน (Collaboration) แบบออนไลน์ หรือ work from home
ปัจจุบันการทำงานเป็นทีมที่ต้องประสานงานกันมีความสำคัญมาก และการทำงานคนละสถานที่ แบบ work from home เข้ามามีบทบาทต่อการใช้ชีวิตคนทั่วโลก ทำให้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำงาน เราจึงได้นำเอาหลักการทำงานที่มีประสิทธิภาพ อาทิเช่น Kanban และ OKRs ฯลฯ มาพัฒนาต่อยอดโดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีทำให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานออนไลน์ร่วมกันได้ บริษัทฯ จึงได้พัฒนาระบบ MANAWORK ขึ้นมา เพื่อให้ทุกหน่วยงานต่างๆ ได้มีเครื่องมือดิจิทัล ในการเชื่อมต่อให้การทำงานแบบ work from home สะดวก และไร้อุปสรรค โดยในช่วงเริ่มต้น บริษัทได้เปิดให้ใช้ฟรี เพื่อช่วยเหลือองค์กรต่างๆ ให้เข้าถึงเครื่องมือดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียม
“บริษัทแอลแอฟฟินเทค จำกัด เราเป็นบริษัทที่ได้รวบรวมทีมงานผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการจะปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ Digital Transformation ที่ไม่ใช่แค่การพัฒนาตาม Requirement แต่เราเริ่มต้นตั้งแต่การทำความเข้าใจบริบทพื้นฐานของลูกค้าเราคิดเพื่อการออกแบบที่ดีที่สุดในการส่งมอบผลงาน โดยยึดหลัก Agile เป็นหัวใจหลักในการทำงาน และเครื่องมือดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน แต่ในท้องตลาดยังไม่มีเครื่องมือไหนที่สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรต่างๆ รวมถึงบริษัทของเราด้วย บริษัทฯ จึงได้พัฒนาเครื่องมือดิจิทัลชื่อว่า "MANAWORK" ขึ้นมาเพื่อใช้บริหารและทำงานร่วมกันภายในบริษัทฯ”
โดยบริษัทฯ ได้เปิดตัวระบบ MANAWORK มาได้กว่า 2 ปี จนถึงปัจจุบัน มีลูกค้าที่มาใช้บริการซึ่งเป็นบริษัท และหน่วยงานต่างๆ ติดต่อเข้ามาเพื่อนำระบบของ MANAWORK ไปใช้งานสำหรับบริษัทและองค์กรของตนเอง มากกว่า 4,000 ราย ปัจจุบันยังมีผู้ติดต่อขอใช้ระบบของเราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของอัตราค่าบริการของเรา ปัจจุบันเริ่มต้นที่ อยู่ที่ 150 บาท/คน/เดือน ซึ่งได้มีการปรับราคาลงมาจาก 250 บาท/คน/เดือน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่กว้างมากขึ้น
เทคโนโลยี AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการทำงาน Real time
นายธนกฤษ กล่าวถึงการทำงานของระบบ MANAWORK ว่า นอกจากระบบจะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบด้วยเทคโนโลยี AI แล้ว ระบบของ MANAWORK ยังมีการนำ Real-time Status ซึ่งสามารถรู้การเข้าใช้งานของทีมทันทีว่า ตอนนี้ใครเข้าใช้งานระบบอยู่ ผู้บริหารสามารถรู้สถานะการทำงานปัจจุบันของพนักงาน และยังมีระบบจัดการทาสก์ (Task Management) ที่นำ Smart Template มาสร้างประสบการณ์การทำงานแบบใหม่ ช่วยให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้แม้อยู่คนละสถานที่ สะดวกและเข้าถึงการทำงานได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะลูกค้าของเรา ซึ่งส่วนใหญ่จะหน่วยงานธุรกิจหรือองค์กรต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกันเป็นทีม และต้องค่อยติดต่อประสานงานร่วมกันอยู่ตลอดเวลา อาทิเช่น ฝ่ายงาน IT ฝ่ายงานพัฒนาธุรกิจ ฝ่ายงานธุรการ ฝ่ายงานการตลาด และอื่นๆ ที่จำเป็นต้องทำงานร่วมกันแบบ Remote Work
โดยหลักการทำงานของ MANAWORK แพลตฟอร์มเชื่อมต่อการทำงานที่บ้าน หรือ work from home ตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย วางแผนการทำงาน ติดตามการทำงาน อัพโหลดไฟล์ได้ในระบบเดียว โดยจะแบ่งวิธีการทำงานเป็นแบบ KanBan โดยตั้งหัวข้อ ดังนี้ 1. To Do คือแผนงาน หรืองานที่จะต้องทำ 2. Doing คือ งานที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้ 3. Review คือ งานที่ต้องผ่านการตรวจจากหัวหน้าก่อนส่งมอบ 4. Done คือ งานที่เราทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
สำหรับการวางแผนในอนาคต ต้องการที่จะพัฒนาปรับปรุงระบบ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้ใช้เครื่องมือดิจิทัลที่สามารถเข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แม้ว่าจะต้องทำงานอยู่ภายนอกออฟฟิศ ทุกคนสามารถทำงานและผลงานที่ได้ออกมามีประสิทธิภาพ โดยในทุกๆเดือน ทางบริษัทจะมีการพัฒนาระบบโดยการนำ Feedback จากผู้ใช้งานมาปรับปรุงระบบอยู่เสมอเพื่อให้ผู้ใช้งานหรือลูกค้าของเราได้มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่สะดวก และมีประสิทธิภาพ เพราะไม่รู้ว่า สถานการณ์การทำงานภายนอกบริษัทแบบนี้จะยาวนานไปแค่ไหน และถ้ามีเครื่องมือดิจิทัล ทำให้ทุกคนทำงานที่อื่นๆ ได้ โดยที่ประสิทธิภาพของงานไม่ได้ลดลง เป็นตัวเลือกที่อาจจะทำให้บริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของสำนักงานลงไป และทำให้การทำงานที่บ้านเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในอนาคตก็เป็นได้
ทำไมถึงเลือกมาทำธุรกิจสตาร์ทอัป
นายธนกฤษ เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการก้าวเข้ามาทำธุรกิจสตาร์ทอัป ในครั้งนี้ ว่า เริ่มมาจากตนเองได้ทำงานพนักงานประจำของธนาคารแห่งนี้ ในตำแหน่งดูแลสินชื่อผู้ประกอบการ SME ทำให้ได้คลุกคลีอยู่กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในระยะหลังมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัปในประเทศไทย และทั่วโลก ก็เลยตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาเปิดธุรกิจให้บริการด้านสตาร์ทอัป สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเริ่มจากสิ่งที่ถนัดและอยู่ใกล้ตัว นั่นคือ การพัฒนา โปรแกรมชื่อว่า Let’s Funds ที่ช่วยให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุน เป็นโปรแกรมMatching ระหว่างสถาบันการเงิน และโครงการเงินกู้ของภาครัฐ กับ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และเรายังได้พัฒนาโปรแกรมอื่นๆ ด้านดิจิทัลที่เข้ามาช่วยเอสเอ็มอี อีกหลายตัว เพื่อช่วยพัฒนายกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงเครื่องมือด้านดิจิทัล สามารถแข่งขันได้ในโลกธุรกิจยุค 2021
ทั้งนี้ จากการทำงานร่วมกับเอสเอ็มอีในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เรามองเห็นโอกาสการเติบโตของเอสเอ็มอีในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีวัฒนธรรมการดำเนินชีวิต คล้ายกับประเทศไทย ในอนาคตอันใกล้นี้ มีแผนที่จะขยายการให้บริการทุกตัวของ บริษัทแอลแอฟฟินเทค จำกัดไปยังประเทศ เพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม ฯลฯ เพราะการเติบโตของเอสเอ็มอีในกลุ่มประเทศเหล่านี้ มีการเติบโตอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับประเทศไทย
ติดต่อ www.manawork.com Facebook:manawork.th
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ"รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด
SMEs manager