หอยเชอรี่สีทองพันธุ์สนิม หรือ หอยหวานญี่ปุ่น กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพราะด้วยการเลี้ยงง่ายเหมือนการเลี้ยงหอยเชอรี่ หอยขมทั่วไป และรสชาติ ที่มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มไม่เหนียวเหมือนหอยเชอรี่บ้านเรา เนื้อยังมีความหวานไม่คาว ต่างจากหอยชนิดอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหอยเชอรี่สีดำ หอยโข่ง หรือ หอยขม ทำให้เกษตรกรที่เพาะเลี้ยงปูนา และเลี้ยงหอยเชอรี่ หันมาเลี้ยงหอยเชอรี่สีทอง และหอยเชอรี่สีทองสนิม กันเป็นจำนวนมาก
ผันตัวจากนักดนตรี ทำเกษตร “พอเพียงฟาร์มหอยกาฬสินธุ์”
วันนี้ พามารู้จักกับหนึ่งในผู้บุกเบิกการเพาะเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองพันธุ์สนิม ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฟาร์มมีชื่อว่า พอเพียงฟาร์มหอยกาฬสินธุ์ ของ นายวิชัย อามาตมุนตรี ผู้พลิกชีวิตจากสถานการณ์โควิด จากเจ้าของร้านอาหาร และ นักดนตรี เจ้าของอัลบั้มเพลงใต้ดิน ทำให้ต้องปิดกิจการร้านอาหาร คาราโอเกะที่เปิดให้บริการมากว่าสิบปี ที่ย่านนวนคร ขนของกลับบ้านเกิดกาฬสินธุ์ เพราะคิดว่าสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในครั้งนี้ คงไม่ได้จบง่าย ขอกลับไปปักหลักทำการเกษตรหาเลี้ยงชีพที่บ้านเกิดดีกว่า “จนเป็นที่มาของฟาร์มพอเพียง ฟาร์มหอยกาฬสินธุ์”
“ ในช่วงเริ่มต้นที่ผมกลับมาอยู่กาฬสินธุ์ ตอนนั้นผมไม่รู้จักหอยเชอรี่สีทอง ผมมาทำฟาร์มเลี้ยงปูนาก่อน ตามกระแสเหมือนคนอื่นๆ เห็นว่าเขาทำได้เงินเยอะ ก็เลยลองทำบ้าง แต่พอมาเจอหอยเชอรี่สีทองพันธุ์สนิม หรือหอยหวานญี่ปุ่น ผมเลิกเลี้ยงปูนา ไปเลย เพราะการเลี้ยงหอยขั้นตอนไม่เยอะเหมือนเลี้ยงปูนา และที่สำคัญตอนที่ผมเลี้ยงใหม่ๆ ตอนนั้นยังมีคนเลี้ยงไม่เยอะ”
“ถ้าจะถามว่าผมมารู้จัก หอยเชอรี่สีทอง และหอยเชอรี่สีทองพันธุ์สนิมได้อย่างไร ก็ต้องบอกว่า ไม่เคยรู้จัก หรือได้ศึกษามาก่อนเลย เพียงแค่มีคนรู้จัก เขาเอามาให้เลี้ยง และเห็นว่า สีมันสวยดี และพอได้ชิมรสชาติ เนื้อสัมผัสนุ่ม ไม่เหนียว เนื้อหวานไม่คาวเหมือนหอยเชอรี่สีดำบ้านเรา และตัวใหญ่กว่า ก็เลยตัดสินใจเลี้ยง ตอนนั้น คิดแค่ว่าจะเพาะขายแบบเอาเนื้อไม่ได้คิดว่าจะมาเพาะขายพ่อแม่พันธุ์เหมือนอย่างทุกวันนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีคนสนใจเลี้ยงแบบเราไหม แต่พอทางช่องยูทูปถ่ายทำ การเลี้ยงปูนาของที่ฟาร์ม แต่บังเอิญถ่ายไปติด หอยเชอรี่สีทอง คนเห็นก็เลยมาขอซื้อ ผมก็เลยแบ่งขายไปให้ และตั้งแต่นั้นมา มีคนสนใจอยากได้พ่อ แม่พันธุ์เยอะมาก ผมจึงได้มาทำฟาร์มแบบขายพ่อ แม่พันธุ์จนถึงทุกวันนี้ ผ่านมากว่าหนึ่งปี”
ขายแค่พ่อแม่พันธุ์ สร้างรายได้หลักหลายหมื่นบาทต่อเดือน
สำหรับหอยเชอรี่สีทอง พันธุ์สนิม คนที่เคยเดินทางไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น เขาบอกว่า ที่ญี่ปุ่นมีการเลี้ยงหอยชนิดนี้เยอะ และราคาแพง คนไทยรู้จักหอยชนิดนี้ ว่า หอยหวานญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นนิยมรับประทานกันมาก ฟาร์มที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่เลี้ยงกันในระบบปิด แต่ของเราเลี้ยงในระบบเปิดตามธรรมชาติ รสชาติก็ออกมาใกล้เคียงกัน คือ มีเนื้อหอยที่หวาน ไม่คาว และสีเหลืองทองสวยเหมือนกัน จุดเริ่มต้นของการเข้ามาของหอยเชอรี่สีทอง และหอยเชอรี่สีทองพันธุ์สนิม ในประเทศไทย ไม่มีการระบุแน่นอน แต่ผมได้มาจากเพื่อนทางภาคใต้ พบได้ตามธรรมชาติ และมีการเลี้ยงบ้างแต่ไม่มาก ซึ่งภาคใต้นำเข้าสายพันธุ์หอยชนิดนี้ มาจากประเทศมาเลเซีย
คุณวิชัย พูดถึงรายได้ หลังจากที่หันมาเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองพันธุ์สนิม ว่า รายได้ไม่เคยต่ำกว่า 30,00-40,000 บาท เคยทำรายได้มากที่สุด จากการขายพ่อ แม่พันธุ์อย่างเดียว ถึง เดือนละ 230,000 บาท หลังจากที่ ช่องยูทูปช่องหนึ่งนำเรื่องราวของการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองพันธุ์สนิม นำไปเผยแพร่ มีคนติดตามและสนใจการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองกันเป็นจำนวนมาก ทางฟาร์มของเราแทบจะผลิตพ่อแม่พันธุ์ออกไม่ทันออเดอร์สั่งเข้ามาในช่วงนั้น ปัจจุบันการสั่งซื้อหอยก็ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
หอยเชอรี่สีทองเมืองไทย ราคาตอนนี้ ไม่ต่ำกว่า 400 บาทต่อกิโล
ทำไม หอยเชอรี่สีทอง และหอยเชอรี่สีทองพันธุ์สนิม ได้รับความนิยม ภายในเวลาอันรวดเร็ว ข้อแรก เลี้ยงง่าย เหมือนหอยเชอรี่ทั่วไป รสชาติที่ดีกว่าหอยเชอรี่สีดำ ที่ขายกันในบ้านเรา และ ที่สำคัญ คือ ราคาดีมาก ปัจจุบันขายกันที่กิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 400 บาท ระยะเวลาการเลี้ยง จนสามารถขายได้ ประมาณ 4-5 เดือนเป็นอย่างต่ำ ส่วนใครที่ต้องการให้ตัวใหญ่ขึ้นมาอีก ก็เลี้ยงกัน 7-8 เดือน หอยยโตเต็มที่ ได้หอยตัวใหญ่ เหมือนอย่าง หอยหวานญี่ปุ่น
สำหรับความแตกต่างระหว่างหอยเชอรี่สีทอง และหอยเชอรี่สีทองพันธุ์สนิม คือ ขนาดของหอย พันธุ์สนิมตัวใหญ่กว่าให้เนื้อเยอะมาก ในระยะเวลาการเลี้ยงเท่ากัน อายุ ประมาณ 4-5 เดือน หอยเชอรี่สีทอง 1 กิโลกรัม ได้หอยประมาณ 18-20 ตัว แต่ถ้าเป็นพันธุ์สนิม 1 กิโลกรัมจะได้หอย 13-14 ตัว ส่วนเนื้อข้างในหอยจะมีสีส้มเหมือนกัน จะต่างกันแค่ภายนอก ซึ่งหอยเชอรี่สีทองแท้ สีจะสวยกว่า พันธุ์สนิม แต่ถ้าความคุ้มค่าของเกษตรกร พันธุ์สนิมน่าจะคุ้มกว่า เพราะได้น้ำหนักมากกว่า แต่ราคาหอยเชอรี่สีทอง ปัจจุบันราคาแพงกว่า หอยเชอรี่สีทองพันธุ์สนิม เพราะสีสวยกว่า
ในส่วนราคาพ่อแม่พันธุ์ ทั้งสีทอง และพันธุ์สนิมขายคู่ละ 80 บาท ปัจจุบันขายให้กับเกษตรกรไปแล้ว มากกว่า 500-600 ราย บางคนซื้อไปเลี้ยง เพราะสวยดี แต่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่ซื้อไปเพื่อเพาะพันธุ์ ขายเนื้อ และขายพ่อแม่พันธุ์ เพราะด้วยตอนนี้ กำลังเป็นที่ต้องการเกษตรกร มาก ในฟาร์มของเราเอง แม้จะเป็นฟาร์มที่มี พ่อ แม่พันธุ์ ขายอยู่เป็นจำนวนมาก เราก็ยังผลิตพ่อแม่พันธุ์ ไม่ทันต่อความต้องการของเกษตรกร
การเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองเลี้ยงได้ทั้งบ่อซีเมนต์และบ่อดิน
นายวิชัย เจ้าของฟาร์ม เล่าว่า สำหรับพื้นที่ทำฟาร์มหอยเชอรี่สีทองของตนเอง ประมาณ 1 ไร่ แบ่งเป็นทำฟาร์มบ่อดิน 2 บ่อ และที่เหลือก็ทำฟาร์มบ่อปูนเกือบ 100 บ่อ การเลี้ยงหอยเชอรี่สีทอง หรือ พันธุ์สนิม ถ้าไม่ได้ทำเป็นฟาร์ม เกษตรกรปล่อยให้ผสมพันธุ์เองตามธรรมชาติ ซึ่งจะผสมพันธุ์และให้ไข่ได้ทั้ง 3 ฤดู ถ้าเลี้ยงทั่วไป ก็จะไม่แยกไข่หรือ ลูกออกไปอนุบาล แต่เราเลี้ยงขาย พ่อ แม่พันธุ์ ก็จะแยกลูกตอนหนึ่งเดือนออกไปอนุบาล เพื่อให้ได้ลูกที่สมบูรณ์มากที่สุด หอยเชอรี่สีทองจะกินพืชน้ำทุกชนิด หรือ ถ้าเลี้ยงเป็นฟาร์ม สามารถให้อาหารปลาดุกแทนได้
ในส่วนของเมนู ยอดนิยมของหอยเชอรี่สีทอง ถ้าแบบบ้านๆ ก็ต้องลวกจิ้ม น้ำจิ้ม 3 รส เมนูยอดนิยมของคนอีสานบ้านเฮา ก็คงหนีไม่พ้นเมนู ลาบหอย และก็ยังมีเมนูหอยเชอรี่สีทองผัดฉ่า และที่นิยมกันมากอีกอย่างหนึ่งคือ ปิ้งย่าง และล่าสุด เชฟชื่อดังอย่าง เชฟบู๊ค รายการ Foodwork ยังได้นำหอยเชอรี่สีทอง มาทำเมนูอาหารญี่ปุ่นในแบบปิ้งย่าง ฯลฯ
ความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่รายได้อย่างเดียว
แต่คือการได้กลับบ้านเกิดอยู่กับครอบครัว
ทั้งนี้ อนาคต “คุณชัย” หรืออีกชื่อหนึ่งที่คนรู้จักจะเรียกกันว่า “ชัย ศรีสะเกษ” บอกว่า ในอนาคตตั้งใจ จะมาเปิดร้านอาหารที่บ้าน เพราะมีพื้นฐานการเปิดร้านอาหารมาก่อน ฝีมือการทำอาหารในระดับที่เรียกลูกค้าได้ โดยเขาตั้งใจที่จะนำหอยเชอรี่สีทองมาเป็นจุดขาย โดยนำหอยมาใส่ในตู้กระจก เป็นการแนะนำให้ลูกค้าได้รู้จักหอยเชอรี่สีทองตัวเป็นๆ และสามารถเลือกได้ว่าอยากได้หอยตัวไหนให้เรามาทำอาหาร
ถ้าถามถึงรายได้ของ การมาทำฟาร์มหอยกาฬสินธุ์ในครั้งนี้ “คุณชัย” บอกว่า “วิกฤตกลายเป็นโอกาส เพราะได้กลับมาอยู่บ้านเกิดของตัวเอง ได้มีรายได้ ซึ่งวันนี้ ก็ต้องบอกว่ามากกว่าการทำร้านอาหาร หรือ การเป็นนักดนตรีทำเพลง เสียอีก ปัจจุบันมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 3 หมื่น ถึง 5 หมื่นบาท บางเดือนเป็นแสน ในวิกฤตมันก็คือโอกาสของใครหลายคน ความสำเร็จ ความสุข ของผม ในครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ที่รายได้อย่างเดียว แต่มันคือ โอกาสที่ได้กลับบ้านเกิดมา อยู่กับครอบครัวมากกว่า”
ติดต่อ โทร.09-6641-0409
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEsผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด
SMEs manager