xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป)หนุ่มวัย 16 ปี เริ่มธุรกิจจากศูนย์ สร้างรายได้ 700 ล้าน แลกมาด้วยยิงแอดเฟซบุ๊ก 250 ล้านบาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 วัชระ ทองสุข
ธุรกิจออนไลน์ ไม่ใช่ทางเลือก แต่กลายเป็นทางรอดของผู้ประกอบการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ผู้ประกอบการต่างหันมาขายสินค้าออนไลน์แบบ 100% ทั้งทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือ ผ่านแพลตฟอร์มชื่อดัง ต่างๆ การแข่งขันที่สูงขึ้นทางช่องทางออนไลน์ ทำให้หลายปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการออนไลน์ ต้องพึ่งพาโฆษณาทางออนไลน์มากขึ้น


จากเด็กติดเกมใช้เวลาเพียง 2 ปี
สร้างเงินล้านจากทุนเริ่มต้น 0 บาท


วันนี้ พามารู้จักกับ หนุ่มคนนี้ “ วัชระ ทองสุข” “ออฟ” เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 16 ปี ปัจจุบันมีรายได้เกือบพันล้าน แต่ต้องแลกมาด้วยค่าโฆษณาที่แสนแพงที่ต้องจ่ายให้กับเฟซบุ๊ก ในระยะเวลา 3 ปี กว่า 250 ล้านบาท และจากบทเรียนการทุ่มซื้อโฆษณาในครั้งนี้ ผลได้เสียคุ้มค่าหรือไม่

นายวัชระ ทองสุข “ออฟ” ปัจจุบันในวัย 27 ปี เจ้าของบริษัท บีฟอร์มี จำกัด ผู้จัดจำหน่ายสินค้า ของใช้ ของแต่งบ้าน ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งหน้าเพจเฟซบุ๊ก และแพลตฟอร์ม Shopee และ Lazada “วัชระ” บอกว่า ตนเองมาจากครอบครัวมีฐานะไม่ค่อยดีนัก การเริ่มต้นทำธุรกิจของตนเองมาจากไม่มีเงินทุนเลยแม้แต่บาทเดียว โดยผมเริ่มธุรกิจตอนนั้นเกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ ในช่วงวัยรุ่นอายุ 16 ปี ผมมีแฟน และเหมือนวัยรุ่นทั่วไปอยากโทรคุยกับแฟน แต่แค่เงินเติมโทรศัพท์ เพื่อคุยกับแฟนผมก็ยังไม่มี

ในช่วงนั้นผมเป็นเด็กติดเกม ก็เลยเริ่มหาเงินจากในเกม โดยการไปหาของมาขายในเกม แบบจับเสือมือเปล่า ขายได้ค่อยไปจ่ายเงินเค้า ตอนนั้นเริ่มหาเงินได้ รู้สึกสนุกกับรายได้ที่เข้ามา จนผมลืมเรื่องเล่นเกมไปเลย จนวันหนึ่งผมได้ไปรู้จักกับ บริษัททำเรื่องเกมโดยเฉพาะ ด้วยตนเองเป็นพ่อค้าขายของในเกมอยู่แล้ว เรามีประสบการณ์ พอผมขอเป็นตัวแทนขาย ทางบริษัทเห็นว่าเรามีประสบการณ์ ก็เลยตั้งให้เราเป็นตัวแทนขาย

ขณะนั้น ผมอายุ 17 ปี เริ่มได้จับเงินหมื่น เงินแสน โดยได้เปอร์เซ็นต์จากการเป็นตัวแทนขายเกมประมาณ 20% ตอนนั้นทุ่มเทมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้จับเงินหมื่น เงินแสน แต่ผ่านไปปีเดียวพอบริษัทเค้าเริ่มโตเป็นที่รู้จัก เค้าก็ไม่ต้องพึ่งเรา เพราะสามารถขายได้ด้วยตัวเอง จากเดิมที่ให้เปอร์เซ็นกับตัวแทน 20% เหลือเปอร์เซ็นต์การขายแค่ 5% ผมเริ่มเห็นทางตันไปต่อไม่ได้


เปิดบริษัทเซิร์ฟเว่อร์เกม จุดเริ่มต้นเรียนรู้ยิงแอดโฆษณาเฟซบุ๊ก

อย่างไรก็ตาม “วัชระ” ไม่ได้หยุดแค่นั้น เพราะเค้าเริ่มมองหาช่องทางอื่นๆ ในการหาเงิน โดยการหันเปิดเซิร์ฟเว่อร์เกมออนไลน์ของตนเอง จุดเริ่มต้นในการเข้าสู่การซื้อโฆษณาทางเฟซบุ๊ก ซึ่งในช่วงนั้นเฟซบุ๊กมาใหม่ๆ ค่าโฆษณาไม่แพงมาก และมีคู่แข่งมาซื้อโฆษณาเฟซบุ๊กไม่เยอะเหมือนอย่างทุกวันนี้ เค้าได้ลงทุนซื้อโฆษณาจากวันละ 1,000 บาท ได้กำไรมาวันละ 2,000-3,000 บาททุกวัน

ทั้งนี้ เค้าเริ่มมองว่า เมื่อซื้อโฆษณาทุกวัน และมีรายได้เข้ามาทุกวัน และทำไมไม่ลองเพิ่มค่าโฆษณาขึ้นไปเพื่อจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น ช่วงแรกค่อยๆ เพิ่มเป็นวันละ 2,000-3,000 บาท รายได้เพิ่มเป็นหลักหมื่นบาท และเพิ่มค่าโฆษณาเข้าไปอีกเป็น วันละ 5,000 บาท รายได้เข้ามาอยู่วันละ 200,000-300,000 บาท และกำไรหลักหมื่นบาทต่อวัน ตอนนั้น ผมมีรายได้จากเซิร์ฟเว่อร์เกม หลักล้านบาทตั้งแต่เดือนแรก หน้าที่หลักของเรา คือ คอยดูแลผู้เล่นเล่นเกม คิดโปรโมชั่น


เงินหามาได้ 4-5 ล้านทั้งหมดหายไปกับบิตคอย

“ผมได้ทำเซิร์ฟเวอร์เกมตรงนี้อยู่ประมาณ 2-3 ปี ตอนนั้นผมมีเงินเก็บประมาณ 4,000,000 ถึง5,000,000 ล้านบาท มีคนทำตามมากขึ้น ทำให้ผมต้องหาอย่างอื่นที่ใหม่ๆทำ ช่วงนั้นใกล้เรียนจบ พอดี ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่ผมต้องตัดสินใจมาลุยธุรกิจอย่างเต็มตัว ผมก็เลยนำเงินเก็บที่หาได้ตอนช่วงทำเกม มาลงทุนกับบิตคอย ช่วงนั้น บิตคอยกำลังดัง ผมซื้อเครื่องขุดไปตอนนั้น 80,000 บาท ได้เงินมาวันละ 1,000 บาท พอเห็นรายได้เข้ามาทุกวัน ผมก็เลยไปซื้อเครื่องขุดเพิ่มเพื่อจะได้มีเงินเพิ่ม พอได้เงินมาก็เอาไปซื้อเครื่องขุดอีก ลงทุนซื้อเครื่องขุดแบบนี้ไปเยอะมากเต็มบ้านไปหมด ทำอยู่พักหนึ่งปรากฏว่า เงินบิตคอยเริ่มลดลงเรื่อย ผมเริ่มขาดทุนไม่คุ้มค่าไฟ เงินที่มีทั้งหมดก็เอาไปลงกับบิตคอยจนหมด”


เริ่มนับหนึ่งใหม่จากศูนย์อีกครั้งกับธุรกิจออนไลน์

วัชระ เล่าว่า ในช่วงนั้น เป็นช่วงที่แย่มาก เพราะเป็นช่วงที่ผมกำลังเริ่มสร้างเนื้อ สร้างตัว และกำลังผ่อนบ้าน แต่ก็ย้อนกลับมาคิดว่า ตอนที่เราเริ่มต้น อายุ 16-17 ปี ตอนนั้นเริ่มต้นจากศูนย์ และเดินมาได้ไกลมาก ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และทำไมเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ จบจากบิทคอยเริ่มมองหาธุรกิจใหม่ ผมเห็นเพื่อนในเฟสบุ๊กขายของออนไลน์กัน สามารถซื้อรถ ซื้อบ้านได้ ผมก็เลยลองไปดูสินค้าจากต่างประเทศ และไปจับปากกาลบรอยขีดข่วน จากประเทศจีนมาลองขาย โดยไปดูดคลิปของเค้ามา และมาเปิดเพจโพสต์ขาย ในราคาด้ามละ 290 บาท ต้นทุนที่ซื้อมาอยู่ด้ามละ 1 หยวน เงินไทยไม่ถึง 10 บาท และผมซื้อโฆษณาในเฟสบุ๊กเหมือนเดิม ตอนนั้น ขายได้วันหนึ่งหลายร้อยด้าม

ทั้งนี้ พอเห็นว่าไปได้ดี ผมไม่ต้องการจะเสี่ยงกับสินค้าตัวเดียว โอกาสผิดพลาดมันสูง ต้องการกระจายความเสี่ยง ก็ไปรับสินค้าตัวอื่นๆ มาขาย เพิ่มแฟนแนะนำว่า ช่วงแรกไม่มีทุนมาก การสั่งสินค้าจากจีนจำนวนมากๆ ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ลองไปดูสินค้าที่สำเพ็ง ซึ่งมีสินค้าเหมือนกับที่ผมต้องการนำเข้ามาขายจากประเทศจีน ผมก็เลยไปดิวกับร้านที่สำเพ็ง ขอนำสินค้าเค้ามาขายก่อน จะได้ ไม่ต้องสต็อกสินค้า และใช้วิธีการยิงแอดไปก่อน ขายได้ แล้วค่อยไปสั่งสินค้ามาส่งลูกค้า ผมทำตรงนี้อยู่ระยะหนึ่ง เริ่มมองเห็นว่าต้นทุนแพงกว่าการสั่งจากจีนโดยตรง ผมมีลูกค้ามากขึ้น ผมก็เลยสั่งตรงจากประเทศจีนมาขาย

วัชระ เล่าว่า ตนเองได้เริ่มขายของออนไลน์ ภายใต้บริษัท บีฟอร์มี มาตั้งแต่ปี 2561 ผ่านมาเกือบ 3 ปี โดยมียอดขายถึงปัจจุบันประมาณ 700 ล้านบาท มีพนักงานที่คอยให้บริการรับโทรศัพท์เฉพาะแอดมินหลายร้อยคน มีสินค้าที่ขายประมาณ 800 ชนิด ซึ่งสินค้าแต่ละชนิด เราก็เปิดเพจหนึ่งเพจ ปัจจุบันเปิดไปแล้วกว่า 500 เพจ และตลอดระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2561 ยิงแอดโฆษณาในเฟซบุ๊กไปกว่า 250 ล้านบาท


ทุ่มโฆษณาทางเฟซบุ๊ก ถึงวันละล้านบาท
เหมือนเล่นพนันไม่ใช่เส้นทางธุรกิจยั่งยืน

วัชระ เล่าถึง การซื้อแอดโฆษณาในเฟซบุ๊ก ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา เหมือนเล่นการพนัน เพราะเราก็ต้องวางเงินให้มากที่สุด เพื่อจะสู้กับคู่แข่ง ผมเคยซื้อมากถึงวันละ 1 ล้านบาท หลายคนก็ถามว่า ลงทุนซื้อโฆษณาไปวันละล้าน และได้อะไรกลับมา ทำไมต้องทุ่มเงินซื้อโฆษณามากขนาดนั้น คำตอบ คือ ช่วงนั้น การแข่งขันสูงมาก การชิงพื้นที่การขายให้ได้มากที่สุด เราก็ต้องยอมทุ่ม และถามว่าได้กำไรไหม ก็ต้องบอกว่า เพราะต้นทุนสินค้าของเราต่ำ ชิ้นหนึ่งหลักสิบ หลักร้อย แต่ต้นทุนตกอยู่ที่การโฆษณามากถึง 60-65% ลงทุนซื้อโฆษณา 1 ล้านบาท กำไรที่ได้ ไม่เกินวันละ 50,000 บาท ซึ่งสุดท้ายแม้จะมีกำไรแต่มันรันธุรกิจระยะยาวต่อไปไม่ได้ เพราะเรายังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างพนักงานที่ต้องจ้างมากขึ้นหลังจากกิจการขยายขึ้น เป็นต้น

สุดท้ายผมต้องกลับมาทบทวน เรื่องการทุ่มซื้อแอดโฆษณาในเฟซบุ๊ก เพื่อรักษาพื้นที่การขายสู้กับคู่แข่ง เพราะคู่แข่งไม่ได้หยุดแค่วันละล้าน เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ผมเลยตัดสินใจว่าเราต้องหาตัวช่วย โดยผมได้เข้าอบรมกับทางหน่วยงานภาครัฐ ครั้งนั้น เราได้ความรู้ในเรื่องอัพเซลล์ โดยการใช้กลยุทธ์ Tele Sale เข้ามาช่วย เพราะช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เรามีลูกค้าที่ผ่านเข้ามาซื้อสินค้ากับเรา มากกว่า 1ล้านราย เป็นBig Data ที่ทำให้เราสามารถดิวกับลูกค้าโดยตรง ผ่านพนักงาน Tele Sale โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องลดค่าโฆษณาลงให้เหลือ 10-15% ให้ได้ จากปัจจุบันมีต้นทุนค่าโฆษณา อยู่ที่ 20-30%


Tele Sale ทางออกลดค่าโฆษณาในเฟซบุ๊ก

สำหรับการทำงานของ Tele Sale ได้ผลดีมาก วัดจากการจ้างพนักงาน 1 คน ด้วยงบวันละ 500 บาท พนักงานสามารถสร้างยอดขายให้เราได้วันละ 10,000 บาท ที่สำคัญ คือ สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับคนจำนวนมากได้ ตัวอย่างของการอัพเซลล์ ที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ ไม้แขวนเสื้อ ปัจจุบันขายไปกว่า 1ล้านชิ้น จากการให้พนักงานโทรไปคุยชักชวนลูกค้าให้เปลี่ยนไม้แขวนเสื้อ โดยไม้เด็ด คือโปรโมทชั่น ที่มัดใจลูกค้า

วัชระ กล่าวทิ้งท้าย สำหรับคนที่ต้องการจะทำธุรกิจออนไลน์ ว่า อย่าทำออนไลน์ และพึ่งโฆษณาเพียงอย่างเดียว ต้องมาดูว่าช่วงที่ยอดขายตกนั้น ตกเพราะอะไร ถ้าสินค้าเรายังไม่ตอบโจทย์ลูกค้า กลุ่มนี้ เราก็ต้องไปหาสินค้ามาใหม่ เพราะการมีสินค้าที่หลากหลาย ตอบโจทย์ลูกค้าได้ และเราต้องดูว่าตอนนี้สินค้าอะไรเป็นที่ต้องการ ต้องรีบไปหาสินค้าชนิดนั้น มาขายให้ได้เร็วที่สุด ถ้าต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่สูง เราก็ต้องหันมาลูกค้าเก่า และจัดโปรโมทชั่น เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เค้าซื้อมากกว่า หนึ่งชิ้นให้ได้ ที่ผ่านมาลูกค้าไม่ได้เคยจดจำว่า เราเป็นใคร เพราะเราไม่เคยทำแบรนด์ แต่วันนี้ ถ้าจะอยู่รอดแบบยั่งยื่น เราก็ต้องหันมาสร้างแบรนด์ เพื่อให้ลูกค้าจดจำ

ติดต่อ FB: thebusinessboythailand




คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ"รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด
SMEs manager



กำลังโหลดความคิดเห็น