กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย จัดสัมมนาเชิงวิชาการภายใต้หัวข้อ “Envisioning the Future: Thailand-Japan Strategic Economic Partnership” ผ่านระบบ Zoom Webinar เพื่อรับฟังมุมมองจากฝ่ายบริหารของรัฐบาล และบุคคลในแวดวงเศรษฐกิจของไทยและญี่ปุ่นทั้งจากภาครัฐ ภาควิชาการและภาคเอกชนเกี่ยวกับแนวทางและข้อเสนอแนะในการดำเนินความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่น ท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทายในปัจจุบัน เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายในระดับทวิภาคี อนุภูมิภาค และภูมิภาค โดยมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานทั้งสิ้น 1,203 คน และมีผู้เข้าร่วมรับฟังในวันสัมมนาจำนวน 978คน สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวปาฐกถา (Keynote Speech) ภายใต้หัวข้อ “Way forward for Thailand-Japan Relations in the post COVID-19 World” โดยได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นที่แน่นแฟ้นมาตลอด 134 ปี เป็นมิตรแท้ที่ผ่านความท้าทายและช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอในทุกช่วงเวลา โดยเฉพาะวิกฤติการระบาดของโควิด-19 ทั้งสองฝ่ายตระหนักว่าการพัฒนาและสร้างระบบต่าง ๆ หลังจากนี้จะต้องมุ่งไปในทิศทางที่เน้นความยั่งยืนและความครอบคลุม (Sustainable and Inclusive growth) เพื่อสร้างสรรค์สันติภาพ ความเจริญมั่งคั่ง และความสุขที่ยั่นยืนของประชาชนให้กับทุกเขตเศรษฐกิจ ภูมิภาค และโลก
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ได้เสนอแนวทางความร่วมมือกับญี่ปุ่นในการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ โดยการสอดประสานนโยบาย BCG Economy Model ซึ่งเป็น new growth paradigm ของไทย กับยุทธศาสตร์ Green Growth ของญี่ปุ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเน้นใน 4 เรื่อง ได้แก่ (1) การเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้เป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด (ZEV) อย่างสมบูรณ์ โดยอาศัยประสบการณ์ที่ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์สำคัญในตลาดโลกมากกว่า 30ปี และมีองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ได้รับการถ่ายทอดจากญี่ปุ่น
(2) การสร้าง Bio-Cycle ที่ประกอบด้วย Bio-Fuel และ Bio-Mass ในวงจรเศรษฐกิจ เนื่องจากไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตด้านนี้ จึงประสงค์ให้เอกชนญี่ปุ่นมาลงทุนในด้านนี้เพิ่มเติม (3) อุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากไทยเป็นแหล่งผลิตอาหารครบวงจรจากความหลากหลายของทรัพยากรทางชีวภาพ โดยเชิญชวนให้เอกชนญี่ปุ่นที่มีความก้าวหน้าในด้านนวัตกรรมที่ทันสมัยมาร่วมมือให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน Global Value Chain และ (4) การบ่มเพาะผู้ประกอบการและพัฒนาแรงงานทักษะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BCG Economy โดยการเร่งพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนในสถาบันโคเซ็นในไทย และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจกับมหาวิทยาลัย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนของเอกชนญี่ปุ่นในไทย โดยเฉพาะสตาร์ทอัปที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรม
นายนาชิดะ คาซูยะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้บรรยายพิเศษ (Special Lecture) ภายใต้หัวข้อ “Towards a new stage of Japan-Thailand cooperation” โดยได้ย้ำถึงความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ไม่ทอดทิ้งกันในยามยากลำบาก ทั้งในช่วงที่ญี่ปุ่นประสบภัยแผ่นดินไหวและสึนามิ และไทยเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว โดยทั้งสองฝ่ายได้แสดงไมตรีจิตให้ความช่วยเหลือกันและกัน และเมื่อไม่นานนี้ ญี่ปุ่นได้มอบวัคซีน AstraZeneca จำนวน 1ล้าน 5 หมื่นโดสแก่ไทย และได้ให้ความช่วยเหลือในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของรัฐบาลไทยในการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19
นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ ยังได้ย้ำความสำคัญของไทยในฐานะการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของบริษัทญี่ปุ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยหลังจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับไทยจะมุ่งสู่เวทีความร่วมมือใหม่ ๆ โดยหวังที่จะพัฒนาความร่วมมือใน 2 ประเด็น ได้แก่ (1) การเป็นพันธมิตรต่อกันในความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Co-Creation ที่เน้นการร่วมมือและพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นผ่านการระดมปัญญา แก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ส่งเสริมในส่วนที่ขาดของกันและกัน แล้วสร้างให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ต่อไป เช่น ปีที่แล้วญี่ปุ่นได้สนับสนุนการจับคู่ธุรกิจบริษัทสตาร์ทอัปญี่ปุ่นด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล และระบบ AI/IoT กับผู้ประกอบการไทยหลายโครงการ
(2) การสร้างความแข็งแกร่งและขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน (Sustainability) จัดตั้งกองทุน 2 ล้านล้านเยน (ประมาณ 6 แสนล้านบาท) สำหรับผู้ประกอบการเอกชนนำไปวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่นำไปสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Carbon Neutral) ให้เกิดขึ้นได้จริงในปี ค.ศ. 2050 สอดรับกับนโยบาย BCG Model ของไทยที่ถือว่าเป็น Flagship ที่จะช่วยกระตุ้นให้มีการขยายธุรกิจ และการลงทุนใหม่ ๆ จากบริษัทญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น
โดยในห้วงการเสวนา (Panel Discussion) ภายใต้หัวข้อ “What now & What next: Thailand-Japan Strategic Economic Partnership in Challenging Time” ซึ่งมีผู้เข้าร่วม ได้แก่ (1) นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก อดีตปลัดกระทรวง การต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว (2) นายจิระพันธ์ อุลปาทร ประธานสถาบัน ความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย - ญี่ปุ่น (TJIC) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (3) นายอารีย์ ชวลิตชีวินกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ซิเมนต์ไทยโฮลดิ้ง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) (๔) นางสาว YURUGI Yoshiko หัวหน้าาผู้แทนประจำสำนักงานผู้แทนประจำภูมิภาคเอเชีย องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น (NEDO) (5) ศาสตราจารย์ ดร. OIZUMI Keiichiro สถาบันเอเชียศึกษามหาวิทยาลัยเอเชีย ประเทศญี่ปุ่น (6) นาย CHOKKI Morikazu ประธานบริษัท Mitsubishi Motors (Thailand) Co., Ltd. และ (7) นาย MORITA Keisuge ผู้บริหารบริษัท Spiber (Thailand) Ltd. ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการสร้างคุณค่าให้กับความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในอนาคต
อย่างไรก็ดี ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินความร่วมมือในการสอดประสานโมเดล BCG Economy ของไทยและยุทธศาสตร์ Green Growth Strategy ของญี่ปุ่น โดยการเตรียมความพร้อมเพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด (ZEV) และอุตสาหกรรมชีวภาพ โดยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และแรงงานฝีมือชั้นสูง และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย โดยการพิจารณาใช้พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นสถานที่รองรับการพัฒนาดังกล่าว
ทั้งนี้ เพื่อให้เอกชนญี่ปุ่นซึ่งยังคงเล็งเห็นถึงจุดแข็งของไทยในฐานะฐานการผลิตเพื่อส่งออกที่สำคัญในภูมิภาคที่มีในโครงสร้างพื้นฐานที่เพียบพร้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ รัฐบาลของทั้งสองฝ่ายควรจัดทำแผนยุทธศาสตร์ในการดำเนินความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกันระยะ ๕ ปี ในโอกาสการครบรอบ ๑๓๕ ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในปีหน้า และใช้ประโยชน์จากกลุ่มเอกชนญี่ปุ่นที่มีขนาดใหญ่ให้มากยิ่งขึ้น
สำหรับ ผู้ที่สนใจสามารถรับชมคลิปบันทึกการสัมมนาฯ ย้อนหลังได้ทาง
https://youtu.be/GaMu3Jr39cU (คลิปภาษาไทย) https://youtu.be/vgyQ4BS3PxM (คลิปภาษาญี่ปุ่น)