เห็นหมูหยอง ไก่หยองมาจำนวนมากแล้ว วันนี้มาทำความรู้จักกับ ทูน่าหยอง ที่นำเอาปลาโอ ปลาทูน่ามาแปรรูปให้อยู่ในรูปแบบของทูน่าหยอง ตอบโจทย์กลุ่มคนรักสุขภาพและกลุ่มแม่บ้านที่ต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งด่วนในตอนเช้า ทูน่าหยองจะให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อเด็ก เพราะมีโอเมก้าที่ดีต่อผู้บริโภคอีกด้วย นอกจากนี้ทูน่าหยองยังมีกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันในการคัดแยกก้างเพื่อให้ได้เนื้อปลาล้วนมาแปรรูป
วันทนา ศรีอาคาร ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท สหพันธ์ฟู้ดส์ จำกัด เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการทำทูน่าหยองนั้นเริ่มจากการที่เจ้าของธุรกิจมีแพปลาเป็นของตัวเอง ซึ่งปลาที่นำมาผลิตเป็นปลาทูน่า ปลาโอของไทย และได้นำมาแปรรูปเป็นทูน่าหยองโดยจะมีลักษณะคล้าย หมูหยอง หรือ ไก่หยอง ซึ่งในทูน่าหยองนั้นจะมีโอเมก้าที่ได้จากปลา สามารถตอบโจทย์คนรักสุขภาพได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้การผลิตยังใช้เนื้อปลาล้วน 100% รวมถึงแยกก้างปลาออกและเอาแค่เนื้อปลาล้วนมาแปรรูป
ทั้งนี้กระบวนการผลิตทูน่าหยองจะทำได้ยากกว่าหมูหยองหรือไก่หยอง เพราะต้องทำให้เนื้อปลาเกิดการฟูมากกว่าปกติ รวมถึงมีขั้นตอนการผลิตที่พิถีพิถันพอสมควรเพราะในเนื้อปลามีก้าง ผู้ผลิตจะต้องดูแลเรื่องก้างที่อาจจะเหลือตกค้างและต้องเอาออกให้หมด ส่วนรสชาติทางแบรนด์ได้มีการนำเอาน้ำมันงาเข้ามาเป็นส่วนผสม เพื่อตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพในยุคปัจจุบัน ซึ่งทูน่าหยองเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจได้ประมาณ 6 เดือน
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังไม่ค่อยเห็นทูน่าหยองมากนัก ถือได้ว่าทางแบรนด์เป็นเจ้าแรกๆ ที่ริเริ่มผลิตและขาย ส่วนความแตกต่างนั้นจะแตกต่างในเรื่องของรสชาติและความหอม เมื่อผู้บริโภคได้ลองกินแล้วจะได้กลิ่นที่หอมและรสชาติจะไม่เหม็นคาวปลา ทั้งนี้สำหรับกลยุทธ์ในการทำการตลาดนั้นจะเน้นขายออนไลน์และเปิดตัวสินค้าตามบูธในงานแสดงสินค้าต่างๆ ส่วนกลุ่มลูกค้าที่ให้การสนับสนุนจะมีลูกค้าทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในพื้นที่จังหวัดปัตตานีและต่างจังหวัด ซึ่งคิดเป็นคนในพื้นที่ประมาณ 60% ที่เหลืออีก 40% เป็นชาวต่างจังหวัด โดยส่วนมากจะตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มคุณแม่ เพราะว่าในช่วงเช้าอาหารที่สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็วสำหรับครอบครัวที่ใช้ชีวิตเร่งด่วนก็คงหนีไม่พ้นอาหารจำพวก แซนวิช หรืออาหารง่ายๆ ในตอนเช้า โดยทูน่าหยองนั้นตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคุณแม่เป็นอย่างมาก พร้อมทั้งทูน่าหยองยังให้คุณค่าทางอาการแก่เด็กอีกด้วย
สำหรับสูตรที่นำมาผลิตเป็นทูน่าหยองนั้นทางแบรนด์เริ่มปรับปรุงสูตรมาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มทดลองกับเด็กในบ้านและได้มีการเพิ่มส่วนผสมต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมและลงตัว ใช้เวลาประมาณ 1 ปี จนสามารถผลิตออกมาวางขายได้ถึงปัจจุบัน ทั้งนี้นอกจากเจ้าของแบรนด์จะมีแพปลาเป็นของตัวเองแล้วนั้น ยังได้มีการรับซื้อปลาจากเจ้าอื่นเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น และกระจายรายได้ให้แก่ชาวประมงเลี้ยงปลาอีกด้วย ทำให้ในตอนนี้สามารถสร้างยอดขายได้เดือนละประมาณ 40,000-50,000 บาทเพราะเพิ่งเริ่มต้นทำได้ไม่นาน ซึ่งยอดขายที่ได้จากช่องทางออนไลน์จะมากกว่าทางหน้าร้านประมาณ 70%
ทั้งนี้ทางแบรนด์ยังได้เข้าร่วมโครงการต่างๆ ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ที่ให้การสนับสนุนเรื่อง R&D แนะนำและให้องค์ความรู้ในการต่อยอดธุรกิจให้สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแนะนำเรื่องการปรับปรุงแพคเกจจิ้งให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ทำให้ตั้งแต่ได้รับคำปรึกษาและความรู้เหล่านั้น ทางแบรนด์นำมาปรับปรุงให้สินค้ายกระดับมาตรฐานให้ดียิ่งขึ้น ปัจจุบันทูน่าหยองมีราคากระปุกละ 65 บาท ขนาด 50 กรัม เก็บรักษาได้ประมาณ 4 เดือน
ในอนาคตได้มีการวางแผนต่อยอดทูน่าหยองให้ไปในทิศทางของการเพิ่มรสชาติใหม่ๆ เข้ามา เช่น รสชาติต้มยำ เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามทางแบรนด์ยังมีสินค้าอื่นๆ อีก เช่น นมมะพร้าวผสมนมแพะ น้ำมะพร้าวน้ำหอม น้ำมะพร้าวผสมอัญชัน น้ำฝรั่งสกัดเย็น ชิฟฟ่อนเค้ก เค้กหน้าซอส มะพร้าวถอดรูป
ติดต่อเพิ่มเติม
Facebook : SP Goods Naturally Delicious
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *