เล็บครุฑลังกา เป็นพืชที่พบเห็นได้มาก ในพื้นที่อากาศร้อนชื้นและ ฝนตก อย่างภาคใต้ของไทย โดยมีการปลูกกันมากที่จังหวัดตราด เรียกว่า “ใบตานี” นิยมนำใบมาทำอาหาร เมนูที่นิยมเช่น ห่อหมก มาใส่แทนใบยอออกรสขม และอีกหลายเมนู โดยใบมีกลิ่นหอม ให้รสเผ็ดร้อน นำมาต้มดื่มแก้อาการปวดหัว หรือปวดเมื่อยอื่นๆ ตามร่างกาย
นอกจากนี้ เล็บครุฑลังกา ยังเป็นพืชที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ และนิยมปลูกเป็นรั้วบ้าน เพราะรูปใบสวย และทรงของต้นที่เป็นพุ่มสวยงาม ซึ่งการปลูกเป็นไม้ประดับส่วนใหญ่จะปลูกในกระถาง แต่ถ้าปลูกเป็นรั้วบ้านจะปลูกลงดิน เป็นไม้ยืนต้นอายุยืนบางต้นเป็นร้อยปี ส่วนการนำใบมาทำภาชนะใส่อาหารนั้น เริ่มได้รับความนิยมบนโลกโซเชียลมาก่อน แต่คนโบราณในจังหวัดตราด มีการนำใบมาทำภาชนะและใช้กันในชุมชนมานานแล้ว
นางสาวนัยนันท์ อาบสุวรรณ์" และ "นางสาวมณฑิรา บุญวาที" นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีการเกษตร เธอทั้งสองคน ได้เป็นผู้ปลุกปั้น "เล็บครุฑลังกา" จนโด่งดัง หลังจากเกิดกระแสในโซเชียล เพราะเธอเป็นผู้ประกอบการรายแรกที่เพาะต้นพันธุ์เล็บครุฑลังกา และใบเล็บครุฑฯ ส่งขายทั่วประเทศ โดยนำความรู้เกี่ยวกับการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว จากการเรียนระดับปริญญาโท สาขา การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวมาใช้ ทำให้สามารถส่งใบเล็บครุฑ ให้กับลูกค้าได้ทั่วประเทศ
"นัยนันท์" เล่าว่า ก่อนที่ตนเองและเพื่อน จะออกมาเพาะต้นไม้ขายอย่างในปัจจุบันนี้ เราทั้งสองได้ทำงานประจำอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง โดยทำอยู่นานกว่า 6 ปี ก่อนตัดสินใจลาออก และเดินทางกลับมาบ้านเกิด มาสืบทอดกิจการด้านการเกษตรต่อจากครอบครัว ที่ปลูกไม้ผลต่างๆ เช่น ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง และครอบครัวก็ยังมีอาชีพเสริม คือ เพาะพันธุ์ไม้ประดับขาย ซึ่งตนเอง และ "มณฑิรา" หลังจากลาออกจากงาน ตั้งใจทำไม้ประดับในกลุ่มเฟิร์นจำหน่าย แต่ในส่วนของเล็บครุฑลังกา เกิดจากความบังเอิญที่มากับกระแสในช่วงนี้ ซึ่งเดิมครอบครัวมีเพาะเล็บครุฑฯ ขายกันอยู่แล้วแต่ไม่ได้มาก เหมือนอย่างทุกวันนี้
"ส่วนที่มา ทำให้เล็บครุฑลังกา เป็นที่รู้จักมากจนถึงทุกวันนี้ “นัยนันท์” เล่าว่า เล็บครุฑลังกา มีการปลูกกันมาในพื้นที่ภาคใต้ และวันหนึ่ง ก็มีคนนำใบเล็บครุฑลังกา มาใส่อาหาร ในโรงทานที่วัดแห่งหนึ่ง เพื่อใช้แทนโฟม และมีคนที่เห็นถ่ายภาพและก็นำไปโพสต์บนโซเชียลฯ และจากโพสต์วันนั้น มีคนสนใจกันเป็นจำนวนมาก และตามหาเล็บครุฑลังกา เพื่อจะซื้อใบนำไปใส่อาหารแทนโฟม และจากกระแสในช่วงนั้น ทำให้เรามองเห็นโอกาสโดยทำเพจขึ้นมา เพื่อจำหน่ายต้นพันธุ์และเก็บใบขาย ซึ่งปกติครอบครัวเพาะเล็บครุฑลังกาขายเป็นไม้ประดับอยู่แล้ว และจากกระแสโซเชียล เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนทั่วไปรู้จักเล็บครุฑลังกาทั่วประเทศ และทำให้เรามีรายได้มากขึ้นจากการขายต้นพันธุ์และขายใบ"
หลังจากนั้น ทางเราถือโอกาสในช่วงที่ลูกค้าต้องการ ทำการโพสต์ การใช้งานเล็บครุฑลังกา ที่เป็นภาชนะ ในหลายแบบ ยิ่งทำให้มีคนรู้จักเล็บครุฑลังกามากขึ้น และเป็นที่มาของการจำหน่ายใบเล็บครุฑลังกา แต่หลัก คือไม่ได้เน้นการขายใบ แต่ต้องการขายต้นมากกว่า เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า การทำใบเล็บครุฑลังกา ส่งขายไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะลูกค้าต้องใบที่สวยและมีขนาดที่ใกล้เคียงกันทั้งหมด ซึ่งค่อนข้างยุ่งยาก ก็เลยหันมาแนะนำให้ลูกค้าซื้อต้นไปปลูกเองมากกว่า
สำหรับราคาต้นพันธุ์ ขายในราคา 3 ต้น 200 บาท ขนาดต้นสูงประมาณ 30 เซนติเมตร และ ราคา 4 ต้น 200 บาท ขนาด 25 เซนติเมตร ส่วนใบขายในราคา 100 ใบแถม 10 ใบ ราคาขายรวมค่าส่ง 250 บาท ซึ่งการเก็บใบขาย เราไม่ได้เน้นตลาดนี้ เพราะการเก็บใบขายค่อนข้างยุ่งยาก เพราะต้องเลือกขนาดใบที่เท่ากัน และใบที่เก็บขายต้องเป็นใบขนาดใหญ่ และต้องหนา
โดย ใบที่นำมาเป็นภาชนะ มีสามขนาด ถ้วยเล็กถึงกลางมีขนาดประมาณ 5 นิ้ว ส่วนถ้วยใหญ่มีขนาด 8-10 นิ้ว ใช้ระยะเวลาในการปลูก 5-8 เดือนถึงจะเก็บใบขายได้ และแต่ละพื้นที่ภูมิอากาศที่แตกต่างกันทำให้การเติบโตไม่เหมือนกัน แต่จะให้ได้ถ้วยใหญ่ต้องเป็นต้นที่มีอายุ 7-8 ปี หากจะเก็บใบขายต้องปลูกหลายๆ ต้น เพราะในหนึ่งต้นไม่สามารถเก็บใช้ได้ทุกใบ แต่ในการปลูกหนึ่งครั้ง หากดูแลดีๆ สามารถเก็บผลผลิตได้ตลอดเป็นสิบๆปี
นัยนันท์ เล่าว่า เริ่มทำส่งต้นพันธุ์เล็บครุฑลังกา มาได้ประมาณ 1 ปีเต็มๆ ขายไปได้หลายหมื่นต้น ออเดอร์เข้ามาแบบทำกันไม่ทัน วันหนึ่งต้องส่งต้นพันธุ์ 400-500 ต้น ซึ่งต้นพันธุ์ที่ส่งให้ลูกค้าจะมีอายุประมาณ 1-2 เดือน ลูกค้านำไปปลูกอีก 5-6 เดือน ก็สามารถเก็บใบขายได้ ลูกค้ามีทั้งคนที่ซื้อไปขาย ๆ และซื้อไปปลูกเอง แต่ส่วนใหญ่จะซื้อไปขายต่อ บางรายโพสต์ขายทางออนไลน์ ต้นหนึ่ง 200-300 บาท
สำหรับต้นเล็บครุฑลังกา เป็นต้นไม้โบราณ คนรุ่นปู่ย่า ตายาย จะรู้จักกันดี บางต้นในชุมชนมีอายุมากถึง 70-80 ปี คนรุ่นใหม่จะไม่รู้จัก ซึ่งเป็นต้นไม้ที่คนแก่จะอนุรักษ์ และเก็บต้นไม้ชนิดนี้ไว้ เพื่อนำไปทำอาหาร ซึ่งหลังจากกระแสของการลดโลกร้อน ทำให้ต้นเล็บครุฑลังกา เป็นทางเลือกหนึ่งเพื่อนำมาใช้แทนโฟม ในการใส่อาหาร
ส่วนขั้นตอนการปลูกง่าย แต่จะปลูกให้ได้ใบสวย สามารถนำมาเป็นภาชนะได้ จะต้องดูแลเป็นพิเศษ ต้องขึ้นอยู่กับแสง น้ำ และความชื้น ต้นไม้ชนิดนี้ชอบดินร่วนปนทราย ถ้าปลูกในป่าทึบ ไม่ค่อยโดนแดดใบจะแบไม่เป็นรูปถ้วย แต่ถ้าแดดจัดใบจะเล็กและเหลือง ฉะนั้น ควรปลูกใต้ร่มไม้ใหญ่ โดนแดดรำไร จะได้ใบสีเขียวสดมันเป็นรูปถ้วย
ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการปลูกขายใบจะต้องปลูกหลายๆ ต้น เพราะต้นหนึ่งจะเก็บใบสวยได้ไม่มาก เช่น ถ้าต้องการ 500-1,000 ใบ อาจจะต้องปลูกมากถึง 10 -20 ต้น แต่ถ้าต้นใหญ่อายุมากก็จะเก็บใบได้เยอะ บางต้นเก็บได้เป็น 100 ใบ ต่อต้น กลุ่มลูกค้าตอนนี้ จะเป็นโรงแรม รีสอร์ต ฯลฯ
สนใจโทร.08-3285-4464
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
SMEs manager