xs
xsm
sm
md
lg

เกษตรเรื่องง่าย “EverGrow” ผุดซอฟต์แวร์สมองกลดูแลพืช 24 ชม.

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บางครั้งคำว่าเทคโนโลยี ก็เร็วไปสำหรับเกษตรกรไทย แต่สตาร์ทอัปหนุ่มก็ไม่ท้อถอย พัฒนาโซลูชั่นให้ถูก 'จริต' กับภาคเกษตรของไทย มาตลอด 6 ปี “ภุชงค์ วงษ์ทองดี” หรือ อาร์ม ไม่หยุดคิดมุ่งมั่นยกระดับภาคการเกษตรของไทยให้มีคุณภาพแข่งขันได้ ด้วยการลดต้นทุนด้านแรงงาน แต่ได้ผลผลิตขั้นเทพ จากระบบควบคุมการปลูกแบบอัตโนมัติทุกขั้นตอน พร้อมเทคโนโลยีคำนวณสภาพดิน ฟ้า อากาศ เพื่อดูแลพืชผลทางการเกษตรให้ได้ตามต้องการ

คำว่า “Smart Farm” คงคุ้นหูกับคนไทยมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เชื่อว่าภาคเกษตรกรไทยยังมีการนำมาปรับใช้น้อย จากความไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี 4.0 และเรื่องต้นทุนที่ค่อนข้างสูง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นช่องว่างและโอกาสสำหรับสตาร์ทอัปหนุ่มไฟแรง มีความรู้ด้านซอฟแวร์ ชิงความได้เปรียบ เริ่มต้นคิด “แพลตฟอร์ม การทำธุรกิจการเกษตรรูปแบบใหม่” โดยผสมผสานกับเทคโนโลยีดิจิทัล สร้างช่องทางให้คนที่สนใจทำธุรกิจเกษตรแบบอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่จำนวนมาก ก็สามารถขึ้นแท่นเป็นเกษตรกรยุค 4.0 ได้อย่างง่ายดาย

แพลตฟอร์ม EverGrow ของบริษัท ยูนิกซ์คอน จำกัด ถือเป็นธุรกิจของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการยกระดับภาคเกษตรไทยให้พร้อมแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยเฉพาะการลดต้นทุน เพื่อให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นและมีคุณภาพ ไอเดียเด็กหนุ่มมีความรู้ด้านซอฟต์แวร์ และมีเพื่อนทำเกษตร

“หากย้อนไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ผมและเพื่อนที่เป็นเกษตรกร เห็นปัญหาหลายๆ ด้านของภาคเกษตรไทย จึงเกิดแนวคิดที่จะนำความรู้ด้านซอฟต์แวร์มาปรับใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ และกลายเป็นธุรกิจได้ เริ่มจากการไปดูงานด้านเทคโนโลยีการเกษตรของต่างประเทศที่มีพัฒนาการไปไกลกว่าไทยมาก เช่น การปลูกพืชเมืองหนาวในระบบปิด การปลูกพืชในพื้นที่มีจำกัด และใช้เทคโนโลยีควบคุมการเจริญเติบโต แต่ด้วยอุปกรณ์เหล่านั้นราคาค่อนข้างสูง ผมจึงทำเป็นขนาดเล็กก่อน เพราะใช้เงินลงทุนน้อย ออกมาในรูปแบบของสวนสำหรับการตกแต่ง แต่ด้วยเป็นงานเฉพาะกลุ่ม ราคาสูง จึงขายงานยาก จึงต้องลงทุนเพิ่มและปรับธุรกิจให้แมสมากขึ้นในภาคการเกษตร”

แต่เมื่อศึกษาภาคการเกษตรของไทยอย่างจริงจังก็พบว่า เทคโนโลยีที่สามารถนำมาปรับใช้ได้นั้น อาจมา 'เร็ว' เกินไปสำหรับเกษตรกรไทย ที่ยังไม่เปิดรับสิ่งเหล่านี้ ยังมีการคงรูปแบบการทำเกษตรแบบเดิมๆ ไม่ต้องการลงทุนเพิ่ม พึ่งพาแต่ธรรมชาติเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงต้องนำเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาปรับให้เข้ามาความต้องการของไทย หรือเรียกง่ายๆ ว่า “เจออันคนละครึ่งทาง” ต้องเชื่อมโยงเทคโนโลยี กับสิ่งที่มีอยู่เดิมในตลาดให้ได้ เปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติ และใช้คอมพิวเตอร์มาควบคุม ซึ่งเป็นเรื่องที่ไกลเกินไปนักสำหรับเกษตรกรที่มีโรงเรือนแบบปิดอยู่แล้ว ภายใต้แนวคิดที่ไม่ใช่แค่การขายสินค้า แต่มีการปรับโมเดลธุรกิจเน้นขาย “บริการ” และโซลูชั่นในการผลิตอาหารปลอดภัย ภายใต้โมเดลการทำฟาร์มยุคใหม่ ในแบบ Full Scale ตอบโจทย์ในทุกความต้องการของลูกค้าในรูปแบบที่หลากหลาย ตั้งแต่การขายอุปกรณ์ติดตั้ง บริการที่ปรึกษาในการจัดการฟาร์มและวางระบบในธุรกิจฟาร์มขนาดใหญ่ รวมถึงเกษตรกรรายเล็กในเมืองที่หันมาสนใจปลูกพืชผักที่มีราคาและปลูกในระบบปิด การปลูกพืชเป็นยา หรือพืชที่มีความเซ็นซิทีฟสูง โดยการควบคุมการปลูกผ่านอินเตอร์เน็ตด้วยตัวคอนโทรลเลอร์ ในรูปแบบ open source ให้คนทั่วไปเข้ามาใช้งานแอปพลิเคชันได้

“ที่ผ่านมาผมพบว่ามีเกษตรกรบางกลุ่มต้องการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการเพิ่มผลผลิต แต่จะเน้นที่ราคาถูก และนำมาโคลนนิ่ง หรือปรับปรุงประสิทธิภาพให้ได้ตามต้องการ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลตามวัตถุประสงค์ซึ่งตรงนี้ถือเป็นโอกาสที่ EverGrow จะทำตลาดได้ เพราะบริษัทฯ สามารถปรับซอฟแวร์ให้ตรงกับความต้องการของโรงเรือน หรือพื้นที่นั้นๆ ได้ โดยไม่จำกัดชนิดของพืช ในราคาต้นทุนที่ถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศแน่นอน และยังมีบริการหลังการขายที่เป็นสิ่งที่ผมเชื่อว่าเกษตรกรทุกรายต้องการ การันตีคุณภาพจากบริษัทต่างชาติ ก็มอบหมายให้บริษัทฯ เป็นตัวแทนซ่อม และดูแลลูกค้าคนไทย แทนการบินจากต่างประเทศเพื่อซ่อมแซมอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่มีปัญหา”

กลุ่มลูกค้าหลัก EverGrow ในปัจจุบัน เป็นเกษตรกรระดับบน ซึ่งกลุ่มนี้จะยอมลงทุนในเรื่องเทคโนโลยีอย่างจริงจัง รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับแนวหน้าของประเทศ และบริษัท Speedy Accessบริการรับสร้างโรงเรือนแบบปิดก็เป็นลูกค้าหลักเช่นกัน

สำหรับระบบที่การทำงานภาคการเกษตรของ EverGrow แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ระบบคอมพิวเตอร์ จะใช้ควบคุมอากาศ ความชื้น แสงแดด น้ำ แก๊สต่างๆ และระบบน้ำ จะใช้สำหรับการผสมปุ๋ย รวมถึงลดการใช้ปริมาณน้ำ ที่เป็นมากกว่าระบบเปิด-ปิด แต่ยังมีซอฟต์แวร์คล้ายสมองกลที่ออกแบบเองใช้คำนวณปริมาณความร้อน ชื้น ในอากาศ หากมีความเหมาะสมแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องได้น้ำ ซึ่งเป็นระบบที่มีดีมากกว่าการตั้งเวลาเปิด-ปิด ซึ่งสิ่งองค์ความรู้เหล่านี้มาจากประสบการณ์ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการเกษตรมาหลายปี จนสามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพืชที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง

ขณะที่บริการหลังการขายก็ถือเป็นความได้เปรียบที่ทางบริษัทฯ ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นหัวใจที่ลูกค้าต้องการ ดังนั้นการออกแบบซอฟแวร์จึงเน้นการแก้ไขปัญหากรณีที่อุปกรณ์ชำรุด ระบบไม่ทำงาน ผ่านทางออนไลน์ได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องเดินทางไปแก้ไขให้ลูกค้า ทำให้การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ดังนั้นแบรนด์ EverGrow โบยบินไปหลายประเทศแล้ว อาทิ จีน ฮ่องกง เวียดนาม มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนี

ด้วยวัยเพียง 31 ปี สามารถดำเนินธุรกิจมาได้ไกล แต่นายภุชงค์ กลับบอกว่า ยังเติบโตได้ช้า และไม่อาจเรียกเขาว่า 'สตาร์ทอัพ' ได้เต็มปาก เพราะสตาร์ทอัพจะต้องประสบความสำเร็จภายใน 3 ปี แต่สำหรับเขาในฐานะเป็นผู้ทำธุรกิจด้วยตัวเองมาตลอด ไม่มีนักธุรกิจทุนหนามาร่วมลงทุนด้วย ดังนั้นเขาจึงเป็นเพียง 'SME' รายเล็กๆ ที่ดำเนินธุรกิจแล้วต้องมีกำไรเพื่อความอยู่รอด ดังนั้นเมื่อวันนี้ธุรกิจเขาเริ่มอยู่ตัวแล้ว ก็คิดจะเริ่มมองหานักลงทุนมาร่วมธุรกิจด้วย แต่ก็ไม่ได้กำหนดเวลาระยะที่แน่นอน แต่ดูความเหมาะสมเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วความฝันของเด็กหนุ่มคนนี้ ก็ต้องการทำให้แบรนด์ 'EverGrow' เข้าไปนั่งอยู่ในใจคนรุ่นใหม่ที่คิดทำเกษตร 4.0 ต้องนึกถึง 'EverGrow' เป็นอันดับแรก





* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *







กำลังโหลดความคิดเห็น