สสว. จับมือ ISMED สถาบันอาหาร และ ม.เชียงใหม่ เดินหน้า 3 โครงการ หวังเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ SME Standardization มาตรฐานไทยสู่มาตรฐานโลก พร้อมยกระดับคุณค่าและมาตรฐานด้วยการจัดการ และการตลาดแบบมืออาชีพ
นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงงานโครงการประชารัฐเพื่อพัฒนาวิสาหกิจชุมชน และ SMEs ก้าวสู่ตลาด 4.0 (SMEs & OTOP Transformation), โครงการยกระดับผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และโครงการยกระดับชุมชนต้นแบบที่มีศักยภาพก้าวสู่ SMEs (Micro to be SMEs) ว่า ทั้ง 3 โครงการมีเป้าหมายต้องการยกระดับการทำงานเชิงลึกของภาครัฐในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยจะเน้นในเรื่องเครื่องมือ หรือวิธีการ เพื่อพา SME ไทยสู่มาตรฐานโลก
โครงการประชารัฐเพื่อพัฒนาวิสาหกิจชุมชน และ SMEs ก้าวสู่ตลาด 4.0 (SMEs & OTOP Transformation) ซึ่งเป็นโครงการที่ สสว.ดำเนินการร่วมกับสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) จะเน้นในเรื่องการยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจและการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนและ SMEs ไทยก้าวสู่มาตรฐานไทยก่อนต่อยอดสู่มาตรฐานโลก ตามแนวคิด SME Standardization มาตรฐานไทย สู่มาตรฐานโลก
สำหรับโครงการนี้จะคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการกว่า 1,200 คนจากทั่วประเทศเหลือเพียง 100 คน เข้ารับการพัฒนาเชิงลึกและสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจ ก่อนนำสู่การทดสอบตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อเฟ้นหา 10 ผู้ร่วมโครงการที่มีศักยภาพสูงสุด นำมาพัฒนาสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจชุมชนที่มีแนวคิดการดำเนินธุรกิจ การจัดการ และการตลาดที่ทันสมัย แข่งขันได้ และมีคุณภาพมาตรฐานต่อไป เพื่อให้สามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับนำไปต่อยอด ขยายผล สร้างเครือข่ายต้นแบบระดับจังหวัด และสร้างช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าชุมชนทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ใหม่ๆ สนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น (Local Economy)
ด้านนายธนนนทน์ พรายจันทร์ ผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) กล่าวว่า เรื่องมาตรฐานที่เป็นพื้นฐานที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญเพราะสามารถช่วยยกระดับและเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ชุมชนหรือโอทอปที่มีความได้เปรียบในเรื่องภูมิปัญญาเป็นทุนเดิม แต่ยังขาดเรื่องการบริหารจัดการและบูรณาการด้านมาตรฐาน ซึ่งตรงจุดนี้โครงการดังกล่าวจะสามารถช่วยเหลือได้เป็นอย่างดี
ในส่วนโครงการยกระดับผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สสว.ดำเนินการร่วมกับสถาบันอาหาร ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบในท้องถิ่น ให้เกิดการสร้างอาชีพ ชุมชนเข้มแข็ง ประชาชนมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี หวังส่งเสริมให้ความรู้ในการออกแบบ พัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และ Life Style ของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบในท้องถิ่น ด้วยการนำเครื่องมือด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิต พร้อมการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ด้วยการให้คำปรึกษาในเชิงลึก ด้วยกิจกรรม Focus Group ซึ่งเป็นการระดมความคิดเห็นร่วมกับภาคธุรกิจเอกชน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในเชิงธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการในการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์สินค้าอาหารและเครื่องดื่มในท้องถิ่นให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในเชิงพาณิชย์
โดยจะคัดเลือกผู้ประกอบการในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม OTOP ระดับ 3-5 ดาว ที่มีความสนใจเข้าร่วมโครงการ โดยมีเป้าหมายที่ 500 รายจากทั่วประเทศในการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเข้าร่วมกิจกรรม Focus Group ซึ่งเป็นการระดมความคิดจากภาคเอกชนอีกจำนวน 50 ราย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในเชิงธุรกิจให้ผู้ประกอบการในการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์สินค้าอาหารและเครื่องดื่มในท้องถิ่นให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในเชิงพาณิชย์
นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง สสว. กับสถาบันอาหาร โดยเน้นให้ความช่วยเหลือและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มให้มีมาตรฐานสากล เพื่อเปิดตลาดในต่างประเทศหลังจากที่อาหารไทยได้รับความนิยมและอยู่ในอันดับ 2 ของเอเชีย และเป็นอันดับที่ 12 ของโลก โดยเชื่อว่าจะสามารถเพิ่มโอกาสและช่องทางการจำหน่าย และขยายตัวทางธุรกิจได้ไม่น้อยกว่า 25 ล้านบาท
ผอ.สสว.กล่าวต่อถึงโครงการยกระดับชุมชนต้นแบบที่มีศักยภาพก้าวสู่ SMEs (Micro to be SMEs) เป็นโครงการที่ สสว.ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการคัดเลือกชุมชนที่มีความโดดเด่นด้านสินค้าอัตลักษณ์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นและประวัติศาสตร์ แต่ยังขาดการบริหารจัดการที่เหมาะสม รวมถึงการต่อยอดและยกระดับความรู้ที่มีอัตลักษณ์เดิมที่กำลังจะหายไปให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
ดร.เฉลิมพล คงจิตต์ รองผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมและการจัดการความรู้ ม.เชียงใหม่ กล่าวว่า ในการดำเนินกิจกรรมเพื่อยกระดับผู้ประกอบการ จะเน้นให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเมืองรอง ซึ่งจากการลงพื้นที่สำรวจความต้องการ ศักยภาพความพร้อม และความโดดเด่นเชิงอัตลักษณ์ พบว่าพื้นที่อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นพื้นที่ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของผ้ายกดอกพื้นเมือง และผ้าฝ้ายทอมือกะเหรี่ยง รวมถึงเครื่องเงิน ซึ่งถือเป็นลายที่มีความเฉพาะตัว รวมทั้งยังมีปลาสังกะวาด (สังฆวาส) ซึ่งเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่คนในพื้นที่ยังใช้วิธีการจับปลาด้วยตุ้มแบบดั้งเดิม ในขณะที่พื้นที่บ้านธิเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีอัตลักษณ์ด้านผ้าทอลวดลายของไทลื้อ ไม้สักแกะสลักศิลปะไทลื้อ และการทำข้าวแคบ ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้านที่มีการผลิตเฉพาะในพื้นที่
“โครงการนี้เน้นการยกระดับและพัฒนาผู้ประกอบการชุมชนต้นแบบ การส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างกลุ่มสมาชิกกับผู้เชี่ยวชาญ โดยสร้าง community engagement and people collaboration ผ่านมุมมองการวิเคราะห์และประเมินแบบ Context Input Process Product Model (CIPP model) ที่จะช่วยให้สามารถเข้าใจเข้าถึงบริบทชุมชน ปัจจัยนำเข้า กระบวนการทำงานเดิม และผลลัพธ์ที่เป็นอยู่ เพื่อเทียบกับเป้าหมายที่คาดหวังไว้ ซึ่งผู้ประกอบการชุมชนทั้งอำเภอลี้และอำเภอบ้านธิถือเป็นกลุ่มชุมชนที่มีความพร้อมที่จะยกระดับชุมชนตนเองในการให้ความร่วมมือและร่วมพัฒนาไปพร้อมๆ กับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นการเข้าไปแนะนำที่ชุมชน จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีอันจะนำไปสู่การเกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน"
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *