ธุรกิจเสื้อผ้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เจอวิกฤติ เพราะผู้ประกอบการถนัด รับจ้างผลิต และ พอวันหนึ่งต่างชาติหันไปใช้ผู้ผลิต ในประเทศค่าแรงถูกว่า ผู้ประกอบการ เหล่านี้ มีการปรับตัว
เฉกเช่น ผู้ประกอบการเสื้อผ้า รายนี้ โตแบบเงียบ มาหลายปี เพราะรูปแบบเสื้อผ้าเฉพาะกลุ่ม แต่เป็นเฉพาะกลุ่มที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง กำลังพูดถึง เสื้อผ้า และเครื่องแต่งกายแบรนด์ The Guard (เดอะการ์ด) โดยจุดขาย คือ เสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ชื่นชอบการแต่งตัวในสไตล์ที่ดูเข้ม บึกบึน และแข็งแรง เหมือนกับชื่อ หรือ ที่หลายคนคุ้นเคย ในภาพของเครื่องแต่งกายทหาร
สำหรับแบรนด์ The Guard เกิดขึ้นมาจากไอเดียผู้ชายคนนี้ “นายฑิฆันพร แก้วหลากสี” (คุณเจี๊ยบ) โดยเริ่มต้นธุรกิจ เสื้อผ้า มาจากการเป็นพ่อค้า เปิดท้ายขายของ และด้วยความชอบส่วนตัว ไปซื้อเสื้อผ้าในสไตล์ ที่ตนเองชอบมาขาย แต่การรับมาขายจะได้แบบซ้ำกับผู้ขายอื่นๆ ก็เลยเกิดไอเดีย อยากจะลองออกแบบสกรีนลายเสื้อ ของตัวเอง พร้อมกับการสร้างแบรนด์ของตัวเอง เป็นที่มาของ The Guard เป็นชื่อที่ตรงกับสไตล์เสื้อผ้า ที่เขาจำหน่าย
“หลังจากได้สร้างแบรนด์ The Guard ขึ้นมา ได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น มาตลอด จากเดิมที่แค่สกรีนอย่างเดียว ส่วนเสื้อ กางเกง จ้างโรงงานตัดเย็บ โดยใช้ช่องทางการขายผ่านหน้าร้านเล็กในสวนจตุจักร มีลูกค้าทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ มาซื้อและขอเป็นตัวแทนจำหน่าย ตรงจุดนี้เอง จึงเป็นจุดเปลี่ยน ทำให้เราต้องหันมาเป็นผู้ผลิตแบบครบวงจร มีโรงงานตัดเย็บ และ สกรีน ทำแบบครบวงจร เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ต่ำสุด ขายส่งให้กับตัวแทน นำไปจำหน่ายและทำกำไรได้ ในราคาที่เรากำหนด” นายฑิฆันพร กล่าว
ในส่วนลูกค้าของ The Guard เกือบ 100% เป็นผู้ชาย อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปจนถึง 50 -60 ปี ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำ เพราะผู้ชายที่ชื่นชอบการแต่งตัวในสไตล์นี้ มักจะแต่งแบบนี้ ไปตลอดแม้ว่าจะอายุมากขึ้น ที่ผ่านมามีลูกค้าที่เคยใส่เสื้อผ้าแบรนด์The Guard และเปลี่ยนไปใส่แบรนด์อื่น สุดท้ายกลับมา และจากการบอกเล่าของลูกค้าที่ชื่นชอบเสื้อผ้าThe Guard เขาจะบอกว่า ใส่แล้วรู้สึกมั่นใจมากกว่า ใส่เสื้อผ้าแบรนด์อื่นๆ
สำหรับราคา เสื้อยืดทีเชิ้ต เริ่มต้นที่ 299 บาท ถึง 600 บาท ส่วนกางเกง เริ่ม 450 บาท ไปจนถึง 1,500 บาท และแจ็คเก็ต 1,500-3,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีเข็มขัด กระเป๋า หมวก และยังมีโมเดลหุ่น มาเสริม รองรับลูกค้ากลุ่มนี้ และรองรับความชอบส่วนตัว
ส่วนตัวแทนจำหน่าย ปัจจุบัน มีอยู่เกือบทั่วประเทศ ซึ่งตัวแทนจำหน่าย เดิมเปิดขายตามตลาดนัด แต่วันนี้ ลูกค้าเดินห้างสรรพสินค้า อย่างบิ๊กซี และโลตัส มากขึ้น ทำให้ตัวแทนหลายรายหันไปเปิดในห้างบิ๊กซี และโลตัส กันมากขึ้น และยังมีลูกค้าจากต่างประเทศที่สั่งซื้อและรับไปจำหน่าย มีทั้งประเทศแถบยุโรป ตะวันออกกลาง และประเทศเพื่อนบ้าน อีกหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย ลาว ฯลฯ ลูกค้าต่างประเทศ ร่วมถึงตัวแทนจำหน่ายในประเทศ เกือบทั้งหมดมาจากได้มาเจอ ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ปัจจุบัน มีการค้าออนไลน์ ทำให้การติดต่อกับตัวแทน จำหน่ายง่ายขึ้น เพียงแค่ส่งรูปไปและลูกค้าเลือก พอลูกค้าโอนเงินมาส่งของให้
โดยผู้ที่สนใจต้องการเป็นตัวแทนจำหน่าย ทางเจ้าของแบรนด์ แจ้งว่า ไม่ได้มีข้อตกลงอะไร เพียงแค่โทรไปคุ๋ย ถ้าตกลงกันได้ก็สามารถเป็นตัวแทนขายได้เลย แต่ที่สำคัญ ในพื้นที่ตรงนั้นจะต้องไม่มีตัวแทนของเราขายอยู่
สำหรับคู่แข่ง ทางเจ้าของแบรนด์ บอกว่า ที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่ทำธุรกิจนี้ ไม่ได้มองคู่แข่งเลย ว่า มีใครและเป็นใคร เพราะทุกวันที่ทำงานแข่งกับตัวเอง ทำอย่างไร จะทำให้ลูกค้าที่เป็นตัวแทนของเรา มีสินค้าคุณภาพดี และแบบใหม่ออกไปขาย เพื่อให้ตัวแทนของเราอยู่ได้ สุดท้ายตัวแทนขายได้ เราก็อยู่ได้ ที่ผ่านมา ก็เคยมีคนที่เคยทำเลียนแบบ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการประเทศอินโดนีเซีย กัมพูชา ราคาถูกกว่า สุดท้าย ก็เลิกไป เพราะขายไม่ได้
ทั้งนี้ “คุณฑิฆันพร” บอกว่า ในช่วง 1-2 ปีนี้ ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ บ้าง ยอดขายตัวแทนลดลง ทำให้ต้องปรับแผนการตลาดใหม่ โดยหันมาให้ความสำคัญ กับตลาดออนไลน์ ให้มากขึ้น พร้อมกับให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา ทำการตลาดแบบในฐานะผู้ค้าส่ง ไม่ได้มองถึงการสร้างแบรนด์ให้คนรู้จักในวงกว้าง แต่ที่ยังมีลูกค้าประจำอยู่ เพราะลูกค้าชื่นชอบสินค้า ก็จดจำแบรนด์เอง ครั้งนี้ ต้องการให้ลูกค้ากลุ่มใหม่ได้รู้จักแบรนด์ของเราก่อน ที่จะได้สัมผัสกับสินค้า
ส่วนการบุกตลาดออนไลน์ เริ่มทำมาได้สักประมาณ 1 ปี โดยจ้างทีมงานมาช่วยถ่ายภาพสินค้า ให้สวยๆ และมีการซื้อแอดโฆษณาทางโซเชียล ร่วมไปด้วย ส่วนช่องทางมาร์เก็ตเพลส อย่าง Shopee หรือ Lazada เคยนำสินค้าไปขาย แต่ลูกค้าจะซื้อเมื่อต้องมีส่วนลด และด้วยสินค้าของเรา ไม่ได้ทำตลาดแบบมีส่วนลดให้ลูกค้า เพราะคุณภาพและราคาที่เราตั้งเหมาะสมแล้ว ก็เลยคิดว่า ตลาดมาร์เก็ตเพลส ทั้ง 2 ราย ไม่เหมาะกับสินค้าของเรา
นายฑิฆันพร เล่าว่า ในปีที่ผ่านมา ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุน จากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย SME Development Bank หรือ (ธพว.) และยังได้รับความช่วยเหลือ จากธนาคารฯ โดยนำสือไปสัมภาษณ์ และออกรายการโทรทัศน์ และวิทยุ หนังสือพิมพ์ และเวบไซต์ ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การกู้เงินในครั้งนี้ เจ้าของแบรนด์ บอกว่า เพื่อนำมาเสริมสร้างสภาพคล่องให้กิจการ หลังจากที่ผ่านมา ขาดสภาพคล่อง เนื่องจาก มีตัวแทนลูกค้าบางราย ไม่สามารถจ่ายเงินที่ค้างชำระ ทำให้รายรับ และรายจ่ายไม่สมดุล และประกอบกับ การวางแผนสต็อกวัตถุดิบผิดพลาด โดยนำเงินไปลงกับสต็อกวัตถุดิบมากเกิน และยังนำเงินไปใช้ส่วนตัวมากเกินไป เป็นที่มาของการขาดสภาพคล่อง ทำให้ต้องใช้บริการเงินกู้ของธนาคารฯ
สำหรับบทสรุป กิจการเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย แบรนด์ The Guard เริ่มจากงานอดิเรก ของเจ้าของแบรนด์ ที่ต้องการมีรายได้เสริม ในช่วงปี 2540 ภาวะวิกฤติต้มยำกุ้ง โดยนำสินค้าที่พอจะหาได้มาเปิดท้ายขายของ และพอมีรายได้ ก็เริ่มจะมองหาสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบมาขาย ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 3,500 บาท และเมื่อมีคู่แข่งที่ขายสินค้าเหมือนกัน ปรับตัว โดยหันมาทำสิ่งที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ โดยทำสินค้าแบรนด์ของตัวเอง และจากความที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ ทำให้มีคนอยากขายสินค้าของตนเองบ้าง
และเป็นที่มา จากพ่อค้าเร่ เปิดท้าย กลายเป็นเจ้าของกิจการ และสุดท้ายเป็นเจ้าของโรงงาน ที่มีแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง โดยมีรายได้หลักสิบล้านบาทต่อปี ผ่านมากว่า 10 ปีมีรายได้หลักร้อยล้านบาท และสิ่งที่ เจ้าของแบรนด์รายนี้ภูมิใจ คือ สินค้าภายใต้แบรนด์ The Guard ที่เกิดจากฝีมือคนไทย ได้ไปวางขายในหลายประเทศ ทั้งในยุโรป และ เอเชีย ด้วยฝีมือของคนธรรมดา ไม่ได้เป็นดีไซน์เนอร์ ไม่ได้มีต้นทุนทางการเงิน มีแค่ความตั้งใจ ที่ทำสินค้าคุณภาพ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนที่ชื่นชอบเหมือนกับตนเองได้มีเสื้อผ้าดีไว้สวมใส่ ในราคาที่คนไทยรับได้
สนใจโทร. 08-1375-8698Facebook : The Guardoriginal t shirt shop
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *
