เมื่อลูกชาวนาไม่ต้องการปล่อยให้ที่นารกร้าง หรือให้คนอื่นเช่า ขอสานต่ออาชีพดั้งเดิมของครอบครัว พลิกฟื้นผืนนา สู่ “นาออร์แกนิกส์” ผลิตข้าวส่งออกกว่า 90% จากการจูงใจชาวนาให้เห็นความสำคัญของข้าวปลอดสาร พร้อมเปิดตลาดให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าข้าวคุณภาพสามารถขายได้จริง และยังส่งออกได้อีกด้วย กับ 'ไร่ทอง ออร์แกนิกส์ ฟาร์ม' จ.ศรีสะเกษ
ลลนา ศรีคราม เจ้าของ “ไร่ทอง ออร์แกนิกส์ ฟาร์ม” แห่งศรีสะเกษ ที่นอกจากจะผลิตข้าวอินทรีย์ป้อนตลาดส่งออกแล้ว ยังเป็นศูนย์เรียนรู้ชุมชนให้ผู้สนใจมาศึกษาดูงานมากว่า 10 ปี แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ เธอบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะปลูกข้าวอินทรีย์ และชักจูงให้ชาวนาเห็นถึงความสำคัญ และเข้ามาเป็นสมาชิกเพื่อป้อนวัตถุดิบให้ได้ โดยเธอต้องทำเป็นตัวอย่างให้เห็น ว่าเมื่อปลูกข้าวอินทรีย์แล้วสามารถขายได้จริง และยังนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นที่ทำจากข้าวเพื่อเพิ่มมูลค่าได้อีกด้วย
หากย้อนไปที่จุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้ ลลนา เคยเป็นพนักงานประจำมาก่อน ในองค์กรด้านการนำเข้า-ส่งออก และสินค้าออร์แกนิก แต่ด้วยความคุ้นเคยในท้องไร่ท้องนา เพราะเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่ยึดอาชีพทำนามาโดยตลอด จึงไม่ต้องการให้ที่ดินทำกินถูกปล่อยทิ้งร้าง หรือไม่ได้ทำประโยชน์ จึงคิดกลับบ้านมาพลิกฟื้นผืนนา ซึ่งทุกอย่างเริ่มต้นจาก 'ศูนย์' กับการทำนาแบบอินทรีย์
“หากย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา การทำนาแบบออร์แกนิกส์ยังมีน้อยมาก ทั้งๆ ที่มีความต้องการของตลาด จึงคิดทำนาในลักษณะนี้ หวังให้ธุรกิจมีความยั่งยืน เพราะคู่แข่งยังมีน้อย น่าจะเป็นโอกาสให้เกษตรกรตัวเล็กๆ โตได้ โดยช่วงแรกคุณพ่อได้ไปซื้อโรงสีมือ 2 ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าโรงสีเดิม แต่ก็ติดปัญหาในเรื่องเงินทุนซ่อมแซม จึงไปกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ และเราก็เรียนรู้ด้านการทำนาควบคู่กันไป พร้อมชักจูงให้ชาวบ้านทำนาแบบออร์แกนิกส์ แต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือมากนัก เพราะพวกเขาคิดว่าขายไม่ได้ จึงให้เราเป็นหนูทดลอง ว่าเมื่อปลูกแล้วสามารถขายได้จริงมีตลาดรองรับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะทุกอย่างต้องใช้เวลา แต่สุดท้ายเราก็ทำสำเร็จ”
เธอเริ่มลงมือพลิกฟื้นผืนดินเพื่อปรับเป็นแปลงนาแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร และกลายเป็นแห่งแรกใน จ.ศรีสะเกษ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากลด้านเกษตรอินทรีย์จาก IFOAM ในระยะเวลาเพียง 2 ปีแรกเท่านั้น พร้อมกับการทำตลาดควบคู่กันไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการออกงาน Farmer Market ในกรุงเทพฯ เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก การออกงานแสดงสินค้าต่างๆ ทำให้ได้เจอลูกค้าโดยตรง ทั้งชาวไทยและต่างชาติ จนสามารถเจาะตลาดประเทศได้เป็นผลสำเร็จเมื่อ 6 ที่ปีผ่านมา
มาถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ที่ 'ไร่ทอง ออร์แกนิก ฟาร์ม' มุ่งมั่นปลูกข้าวแบบเกษตรอินทรีย์ มีสมาชิกที่ติดต่อโดยตรงเป็นคนในพื้นที่ ประมาณ 70 ครัวเรือน และมีสมาชิกเครือข่าย ที่รับซื้อผลผลิตในจังหวัดอื่น เช่น ยโสธร อุบลราชธานี สุรินทร์ อำนาจเจริญ ประมาณ 3 กลุ่มใหญ่ รวมกว่า 400 ครัวเรือน ส่งผลให้ในแต่ละปีจะมีข้าวอินทรีย์ป้อนตลาดประมาณ 4,500 ตัน ส่วนใหญ่ส่งขายยังต่างประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ อังกฤษ และเยอรมนี กว่า 90% ส่วนตลาดในไทย จะส่งขายตามโรงแรม ร้านอาหาร ขนาดใหญ่
“แม้ว่าขณะนี้ตลาดต่างประเทศจะมีคู่แข่งด้านข้าวอินทรีย์ เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา และเวียดนาม ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา แต่เราก็มีคู่ค้าที่ซื้อขายกันมายาวนานเป็นลูกค้าหลัก ทำให้ปริมาณการผลิตข้าวอินทรีย์ส่งออกในแต่ละปี ยังเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค”
เมื่อถามว่าเธอมีแนวคิดที่จะเพิ่มปริมาณสมาชิก หรือจูงใจให้ชาวนาหันมาปลูกข้าวอินทรีย์กันมากขึ้นหรือไม่ เธอยอมรับว่า เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เนื่องจากไม่ต้องการบังคับชาวนา แต่ต้องการให้ชาวนาเห็นถึงประโยชน์ของความยั่งยืนเป็นสำคัญ ประกอบกับในช่วงนี้ข้าวขายได้ราคาดี ทำให้ชาวนายังไม่คิดปรับเปลี่ยน ซึ่งเธอขอเพียงในแต่ละปีมีข้าวป้อนตลาดไม่เกิน 5,000 ตัน ก็เพียงพอกับรายได้สำหรับหล่อเลี้ยงครอบครัวทั้งของตนเองและสมาชิกในกลุ่มแล้ว
ปัจจุบัน 'ไร่ทอง ออร์แกนิกส์ ฟาร์ม' จำหน่ายข้าวอินทรีย์หลากหลายประเภท ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวกล้อง และข้าวกล้องงอก ซึ่งไม่เพียงแต่สนับสนุนให้ชาวนาปลูกข้าวเท่านั้น ยังอบรมให้ความรู้ด้านการปลูกพืชแซม ในท้องนา เพิ่มรายได้ และช่วยบำรุงดินควบคู่กันไปได้ ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นนอกฤดูทำนา นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวด้วย เตรียมวางตลาดเร็วๆ นี้ ได้แก่ อาหารเด็กจากข้าวอินทรีย์ เส้นพาสต้าจากข้าว ภายใต้แบรนด์ Kieren's (คีริณส์) ถอดความได้ว่า รัศมีของแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นชื่อของลูกชาย เตรียมขายในโมเดิร์นเทรดของไทย และถ้ามีโอกาสเจาะตลาดต่างประเทศได้ก็จะกลายเป็นอีกก้าวของธุรกิจแปรรูปข้าวอินทรีย์ของไทยให้มีมูลค่าเพิ่ม
ลำพังการปลูกข้าวอินทรีย์อาจจะไม่ต้องอาศัยเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง แต่เมื่อมีการแปรรูปก็หมายถึงการลงทุนเพิ่ม ดังนั้นเธอจึงเข้าขอรับการสนับสนุนด้านสินเชื่อจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME Development Bank ในการซื้อเครื่องจักร ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพิ่มกำลังการผลิต รวมถึงยังได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของธนาคารฯ ในการลดต้นทุนการผลิต พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะด้านการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า
ลลนา กล่าวทิ้งท้าย ถึงที่มาของชื่อ “ไร่ทอง ออร์แกนิกส์ ฟาร์ม” ว่า ผืนดินที่ชาวนาทำนา หรือทำการเกษตร ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าไม่ต่างจาก 'ทองคำ' เพราะสามารถหล่อเลี้ยงผู้คนให้อยู่รอดได้ ถ้ามีที่นาจะไม่อดตายอย่างแน่นอน ดังนั้นคำว่า “ไร่ทอง” จึงเป็นชื่อที่สื่อความหมายออกมาได้ดีที่สุด นอกจากจะปลูกข้าวอินทรีย์แล้ว พื้นที่บ้านหางว่าว ต.ทุ่ม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ยังเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการทำเกษตรที่หลากหลาย มีผู้คนแวะเวียนมาศึกษาดูงานไม่ขาดสาย
นับเป็นอีกหนึ่งเกษตรกรตัวอย่าง ที่มีความมุ่งมั่นพัฒนาผืนดินให้คงความอุดมสมบูรณ์ปราศจากสารเคมีจากการการทำเกษตร เพื่อส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
***ติดต่อ 081-347-5920, 085-915-0961 หรือที่ www.raitongorganicsfarm.com IG : raitongorganics***