“แนวคิดในการทำธุรกิจนี้มาจากการสังเกตว่าทำไมชาวนาทำนาแล้วไม่รวยสักที ดังนั้นจะทำอย่างไรให้รวย เราก็ลองคิดต่างว่าข้าว 1 เมล็ด จะสามารถนำไปทำอะไรได้บ้าง และนอกจากข้าวสารแล้ว ข้าวกล้องต่างๆ ก็มีประโยชน์ หากนำมาเพิ่มมูลค่าก็จะช่วยทำให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว แต่ความยากคือชาวนาไม่กล้าทำ หรือออกจากกรอบ ดังนั้นเราจึงขอทำให้ดูเป็นตัวอย่าง”
เรียกว่าทุกอย่างเธอเริ่มจากศูนย์ แม้ว่าเธอจะเป็นลูกชาวนา แต่ไม่เคยลงมือทำนาเองเลยสักครั้ง จากความเชื่อของผู้คนที่ต้องการให้ลูกเป็นเจ้าคนนายคน ไม่อยากให้เป็นชาวนาจึงขายที่นาเพื่อส่งลูกเรียน ซึ่งเราก็เรียนจบปริญญาตรี ไปทำงานเป็นพนักงานประจำอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นก็ลาออกมาเปิดร้านเช่าวีดีโอ กระทั่งเจอวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ธุรกิจต้องปิดตัวลง ประกอบกับเราปรับตัวไม่ทันกับเทคโนโลยีที่มีแผ่นซีดีเข้ามาแทนที่ กลายเป็นคนมีหนี้สูงถึง 5 ล้านบาท จำใจต้องขายทรัพย์สินเพื่อใช้หนี้ และมาเริ่มทำนาบนเนื้อที่ 5 ไร่ ที่ผู้เป็นพ่อเป็นผู้ลงทุนให้
“เท่าที่สังเกตเราพบว่าแทบทุกบ้านล้วนยึดอาชีพการทำนา แต่กลับไม่มีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงครอบครัว จึงคิดว่าหากยังทำเช่นนี้อยู่ ก็จะไม่มีอะไรดีขึ้น จะเปลี่ยนได้หรือไม่ จึงเริ่มทดลองในที่นาของเราเอง จากแรงงานแค่ 2 คน ต้องทำนาถึง 5 ไร่ จึงลองหาวิธีลดขั้นตอน จึงนำแบบอย่างของสมเด็จพระเทพฯ ที่ใช้การโยนกล้าแทนการปักดำ ช่วยลดการใช้แรงงานและประหยัดเวลาได้มาก ต่อมาก็ไม่มีเงินซื้อปุ๋ย ก็ต้องหาสิ่งอื่นมาทดแทน ด้วยการทำปุ๋ยหมักชีวภาพจากทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9”
การที่เธอเลือกทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะลบคำสบประมาทของชาวบ้านที่ว่า 'หากไม่ใช้ปุ๋ยเคมีก็จะไม่ได้ข้าวไว้กิน' แต่เธอเลือกแล้วที่จะเดินทางนี้ ลงมือปลูกข้าวครั้งแรกเป็นข้าวหอมนิลทั้ง 5 ไร่ ชาวบ้านมาบอกบิดาของเธอว่า ข้าวของเธอเป็นโรคเพราะข้าวดำทั้งแปลง แต่เธอก็ทำให้ชาวบ้านเห็นว่าการปลูกข้าวหอมนิล ช่วยสร้างรายได้เพิ่ม ขายได้ในราคากิโลกรัมละ 80 บาท
จากนั้นเป็นต้นมากว่า 10 ปี ชาวบ้านเริ่มเห็นประโยชน์จากการปลูกข้าวแบบอินทรีย์ เริ่มทำตาม ไม่เผาฟาง ไม่พ่นยาฆ่าแมลง เพราะขายได้ราคาที่มากกว่า รวมถึงเธอยังจำหน่ายพันธุ์ข้าวหลากหลายชนิดให้ชาวนานำไปปลูกด้วย ทำให้ปัจจุบันเธอสามารถจูงใจให้ชาวบ้านหันมาทำเกษตรอินทรีย์ได้ประมาณ 20% แม้จะยังเป็นจำนวนที่ไม่มากนัก แต่เธอเชื่อมั่นว่าอีกไม่นานชาวนาจะเห็นข้อดีของการทำเกษตรอินทรีย์
ปัจจุบันข้าวอินทรีย์ แบรนด์ “ชาวนา บ้านนอก” มีข้าวหลายชนิดให้เลือกสรรล้วนเป็นพันธุ์ข้าวพื้นเมือง ได้แก่ ข้าวหอมมะลิแดง ดำ ขาว , ข้าวเหนียวแดง ดำ ขาว, ข้าวไรซ์เบอรี่, ข้าวกล้อง รวมถึงยังมีผลิตภัณฑ์ผงรำข้าว น้ำส้มสายชูหมักจากข้าวเหนียวดำ ข้าวเม่าสด เป็นต้น ซึ่งเป็นการนำข้าวมาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่า
ส่วนความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐฯ นอกจากการได้ขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าโอทอปแล้ว ในส่วนของเงินทุนสินเชื่อ เธอยังได้รับการสนับสนุนจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME Development Bank เป็นสินเชื่อเพื่อคนตัวเล็กวงเงิน 8 แสนบาท โดยมี “หน่วยรถม้าเติมทุน” ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยม และติดตามความคืบหน้าของกิจการ โดยวงเงินดังกล่าวได้นำไปซื้อเครื่องบรรจุสินค้า เครื่องคัดข้าว เครื่องชั่งดิจิตอล เครื่องบรรจุข้าวลงกระป๋อง นอกจากนี้ทางธนาคารฯ ยังหาผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ การผลิต และทำข้าวบรรจุกระป๋องมาให้อีกด้วย
นับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจและเป็นเทรนด์ในอนาคต หากใครลงทุนดำเนินธุรกิจก่อนก็จะได้เปรียบในเชิงธุรกิจ ดังนั้นหากใครสนใจโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่ต้องการกลับไปอยู่บ้านเกิดเพื่อไปพลิกฟื้นผืนดินแต่ยังขาดเงินทุน ทางธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย มีสินเชื่อสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจ โดยเฉพาะด้านเกษตรแปรรูปที่ช่วยกระจายรายได้กลับคืนสู่ชุมชน เพียงยื่นความจำนงผ่านแอปพลิเคชั่น SME D Bank ลงทะเบียนง่ายๆ จากนั้นจะมีเจ้าหน้าหน่วยรถ้มาเติมทุน ของธนาคารฯ ติดต่อเพื่อเยี่ยมชมกิจการต่อไป
ติดต่อข้าวอินทรีย์ “ชาวนา บ้านนอก” เลขที่ 262 ม.9 ต.อุ่มเม่า อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ โทร.087-4436007 หรือที่ Facebook : ชาวนา บ้านนอก