ก่อนหน้านี้เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ชาวนาจ.พิจิตร ทำนาเคมี ลำบากยากจน ทำนาปีเหลือหนี้กับซัง ทำนาปรังเหลือซังกับหนี้ กบ เขียด ปู ปลา ตายเกลี้ยง ชาวนาล้มป่วยกันมาก เส้นทางสายนี้อับจนแล้ว
อ.จักรภฤต บรรเจิดกิจ ปราชญ์ชาวนา ชาวนาผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้ ได้เดินทางมาเรียนรู้หลักการฟื้นฟูแผ่นดินกับ อ.ยักษ์ และการทำนาที่ไม่ทำร้ายแม่ธรณี กับ อ.เดชา ศิริภัทร จนเกิดโรงเรียนชาวนาขึ้นที่ จ. พิจิตร สอนโดยชาวนา เรียนโดยชาวนา วันนี้ความมั่งคั่งจากนาข้าวอินทรีย์ สมาชิกโรงเรียนชาวนาได้ผลผลิตมาก SME Development Bank ได้เข้าไปหนุนเสริมให้ข้าวเหล่านี้ได้ถึงมือผู้บริโภคในเมือง
ระยะเวลากว่า 10 ปีที่ โรงเรียนชาวนาแห่งนี้ได้ใช้ความพยายามอย่างหนัก ในการปรับเปลี่ยนทัศนะของชาวนาให้หันมาทำทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ผืนดิน แหล่งน้ำธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว กลับมีชีวิตอีกครั้ง รวมถึงยังให้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว ด้วยต้นทุนที่ลดลง จากการไม่ต้องซื้อปุ๋ย สารเคมี เพื่อเพิ่มผลผลิต เพราะสุดท้ายแล้ว ชาวนาก็ไม่เหลืออะไร ขายข้าวได้จริง แต่ก็ต้องไปจ่ายให้กับนายทุน เป็นค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง จากการที่ต้องทำนาปีละหลายครั้ง ยิ่งทำก็ยิ่งจน ขายข้าวไม่ได้ราคา และต้องซื้อทุกอย่างมากิน อย่างข้าว พืชผัก ปลา หอย ปูนา กบ เขียด ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้แต่เดิมอุดมสมบูรณ์มากในผืนนาแห่งนี้ แต่เมื่อสารเคมีเข้ามามีบทบาทก็ทำลายธรรมชาติเหล่านี้ไปจนหมดสิ้น
มาวันนี้พวกเขาทำสำเร็จ ได้คืนความอุดมสมบูรณ์สู่พระแม่ธรณี แม่คงคา และแม่โพสพ ที่บริโภคกันได้อย่างสบายใจเพราะปราศจากสารเคมี ชาวนามีความสุขจากสุขภาพที่ดีขึ้น แถมยังขายข้าวได้กำไร มีชีวิตความเป็นที่ดีขึ้น จากผลผลิตคุณภาพ แต่เมื่อมองให้ลึกข้าวอินทรีย์ ของชาวนาใน จ.พิจิตร ยังสามารถเพิ่มมูลค่าและขายข้าวได้กำไรมากกว่านี้ หากมีการทำตลาดอย่างจริงจัง และถูกช่องทาง
จากจุดนี้เองทำให้ “นายมงคล ลีลาธรรม” กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME Development Bank เห็นช่องทางสนับสนุน ข้าวอินทรีย์คุณภาพ ให้เติบโตได้ไกลกว่าที่จะเป็นข้าวที่จำหน่ายในชุมชน หรือละแวกใกล้เคียง ให้ก้าวส่งตรงถึงมือผู้บริโภคในเมือง หลังเห็นศักยภาพและความตั้งใจจริงของชาวบ้านที่เห็นความสำคัญของการทำเกษตรอินทรีย์
“เมื่อลองเปรียบเทียบผลผลิตเมื่อครั้งที่ชาวนาปลูกข้าวโดยใช้สารเคมี บนเนื้อที่ 13 ไร่ จะได้ข้าว 3 ตัน เงินลงทุน 4,000 บาท/ไร่ ขณะที่เมื่อปลูกแบบอินทรีย์ จะได้ข้าวมากถึง 7 ตัน ในพื้นที่เท่ากัน แต่ใช้เงินลงทุนเพียง 2,000 บาท/ไร่เท่านั้น เห็นได้ชัดว่า ผลผลิตเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว โดยใช้เงินทุนที่ลดลง ทำให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรอินทรีย์กันมากขึ้น รวมๆ แล้วปัจจุบันมีกว่า 5,000 ไร่ ผลผลิตประมาณ 1 ล้านตัน ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้นผมจึงคิดจะช่วยในเรื่องเงินทุนสินเชื่อ และเพิ่มช่องทางการตลาดให้ชาวนาส่งขายโดยตรงถึงผู้บริโภคในเมือง โดยเฉพาะข้าวช่อราตรี หรือข้าวน้ำตาลน้อย ที่กำลังเป็นที่ต้องการของคนเมือง เดิมขายในชุมชนเพียงกิโลกรัมละ 25-30 บาทเท่านั้น แต่หากนำไปจำหน่ายในเมืองราคาจะพุ่งไปถึง 80 บาท/กก. เลยทีเดียว”
ล่าสุดโรงเรียนชาวนา จ.พิจิตร ยังได้นำ “จุลินทรีย์ จาวปลวก” บำรุงดิน เป็นการใช้ธรรมชาติบำบัด หลังสังเกตว่าในอดีตชาวบ้านมักปลูกพืชผักบนจอมปลวก เพราะให้ผลผลิตดี ปลูกอะไรก็เติบโตดี โดยไม่ต้องดูและหรือบำรุงอะไร จนมาค้นพบว่าในจอมปลวกมีจุลินทรีย์จาวปลวก จึงคิดว่าหากขุดขึ้นมาใช้คงได้น้อย จึงนำมาเพาะเชื้อข้างนอก และแจกจ่ายให้ชาวนานำไปผสมน้ำพ่นในแปลงนา ก็พบว่าช่วยย่อยสลายตอฟางข้าวได้ดี ดินเหนียวร่วนซุย ซึ่งถือเป็นความอัศจรรย์ของธรรมชาติที่รังสรรค์มา
ปัจจุบันข้าวอินทรีย์ จ.พิจิตร ปลูกได้ประมาณ 1 ล้านกิโลกรัม ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวนาปรัง ข้าวหอมช่อราตรี (ข้าวน้ำตาลต่ำ) และข้าวหอมปทุมเทพ โดยได้รับความนิยมและยังเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง
ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับการทำให้ชาวนาหันมาปรับเปลี่ยนจากการใช้สารเคมี มาเป็นเกษตรอินทรีย์ เพราะไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อสุขภาพและวิถีชีวิตที่ดีขึ้นของชาวนาแล้ว ผู้บริโภคยังได้รับสิ่งดีๆ เหล่านี้ด้วย ต่อไปแม่ธรณีจะไม่เจ็บป่วยอีกแล้ว แม่โพสพก็งอกงามผลิตข้าวหล่อเลี้ยงชุมชนได้อย่างยั่งยืน
ติดต่อ 087-759-4952, 081-0415883
Line ID : 087-759-4952
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
SMEs manager