ผู้จัดการรายวัน 360 - ได้ยินชื่อกันมานานกับ “ขนมไทยบ้านทองหยอด” ขายความเป็นขนมไทยรสดั้งเดิม ที่เริ่มจากการทำกันเองในครอบครัวส่งขายตามตลาดทั่วไป ขยายสู่การเป็นผู้ผลิตขนมไทยรายใหญ่ของประเทศ ส่งขายร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ และยังเป็นเจ้าตลาดขายส่งขนมไทยด้วย
เป็นเวลากว่า 40 ปีแล้วกับขนมไทยบ้านทองหยอด เริ่มขายมาตั้งแต่สมัยรุ่นคุณยายสืบทอดสู่รุ่นลูก และล่าสุดส่งไม้ต่อให้กับรุ่นหลาน ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ได้ปรับเปลี่ยนธุรกิจในแง่การตลาดและช่องทางจำหน่าย กลายเป็นผู้ผลิตขนมไทยรายใหญ่ของประเทศ แม้จะผลิตเพียง 4 ชนิดเท่านั้น
ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และเม็ดขนุน 4 พระเอกที่สร้างชื่อให้กับ “ขนมไทยบ้านทองหยอด” แม้จะทำเพียงไม่กี่อย่าง แต่หากรสชาติดี ขนมมีคุณภาพ ก็สามารถสร้างธุรกิจให้แข็งแกร่ง และยิ่งล่าสุดธุรกิจมาตกอยู่ในมือคนรุ่นใหม่ “ภาณุวัฒน์ เงินศรีสุข” นั่งแท่นกรรมการผู้จัดการ บริษัท บีทีวาย ฟู้ด จำกัด ก็เดินเครื่องทำตลาดอย่างเต็มที่ และสามารถวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่ อย่าง เซเว่น อีเลฟเว่น ได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นความใฝ่ฝันมาตั้งแต่ครั้งวัยเยา
'ธุรกิจขนมบ้านทองหยอด' เดิมเป็นของคุณยาย ก่อตั้งเมื่อปี 2520 ทำกันเองในครอบครัวเล็กๆ ขายในตลาด มี ขนม 4 ชนิดให้เลือกสรร ลูกค้าต่างติดใจในรสชาติ ต่อมาในรุ่นคุณแม่ ทางคุณยายก็ยกกิจการขนมทองหยอดกับทองหยิบให้ ซึ่งครอบครัวของเขาก็สานต่อธุรกิจเรื่อยมา กระทั่งวันเวลาเปลี่ยนไป เริ่มมีลูกค้าใหม่เกิดขึ้นที่ไม่ใช่ขาประจำก็ถามหาขนมฝอยทอง และเม็ดขนุน ก็ได้ลองทำขึ้น และจำหน่ายได้ แถมยังเพิ่มกำไรให้ธุรกิจ ทำให้จากผู้ขายปลีกก็กลายเป็นผู้ผลิตเพื่อขายส่งให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าตามตลาด รวมถึงผลิตฝอยทองส่งโรงงานเบเกอรี เค้ก และขนมปัง นำไปเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์ มีการขยายโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐาน GMP, HACCP และฮาลาล
“เมื่อสำเร็จการศึกษาด้านการตลาดจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ได้เข้ามาสืบทอดกิจการขนมไทย เพราะเป็นสิ่งที่ครอบครัวปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ได้วางแผนและเตรียมความพร้อมเพื่อเข้ามารับช่วงต่อ ในตอนแรกทำเฉพาะขนมทองหยอดและขนมทองหยิบ ต่อมามองเห็นโอกาสทางการขายมากขึ้น จึงทำฝอยทองและเม็ดขนุน เนื่องจากฝอยทองสามารถนำไปประยุกต์ในตลาดเบเกอรีได้ นอกจากนี้ยังเห็นถึงช่องทางในการขยายตลาดไปยังช่องทางอื่นๆ ซึ่งรุ่นคุณพ่อยังเข้าไม่ถึง จึงเข้าไปศึกษาช่องทางการขายด้วยตัวเอง เข้าไปดูว่ามีช่องทางใดที่สามารถส่งสินค้าไปขายได้บ้าง รวมถึงพยายามค้นคว้าหาความรู้ แม้ว่าจะคลุกคลีกับการทำขนมมาตั้งแต่เด็ก แต่ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอเพื่อนำมาปรับใช้กับธุรกิจ ทั้งการศึกษาดูงานจากผู้ประกอบการด้านอาหารที่ประสบความสำเร็จ เรียนรู้วิธีการผลิต การพัฒนาสูตรขนมให้มีรสชาติอร่อยคงที่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ดีที่สุด และภูมิใจเสมอที่ธุรกิจขนมไทยเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสานวัฒนธรรมให้อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน” ผู้ประกอบการรุ่นใหม่กล่าว
ด้วยรสชาติและราคาที่สมเหตุสมผล ผู้บริโภคต่างติดใจในรสชาติ แต่ด้วยการเป็นผู้ประกอบการรายเล็กๆ ใน จ.นครปฐม ยังไม่มีช่องทางจำหน่ายที่กว้างมากพอ กลับกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้ธุรกิจเติบโตช้า ดังนั้นเขาจึงเกิดไอเดียที่จะทำให้ขนมไทยบ้านทองหยอด มีจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อชื่อดัง อย่าง เซเว่น อีเลฟเว่น
“เราเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายเล็กๆ ใน จ.นครปฐม แต่กลับได้รับโอกาสจากทาง บ.ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ในปี 2560 ให้นำขนมไทยไปวางจำหน่ายภายในร้านพื้นที่ภาคใต้ก่อน ก็ได้รับการตอบรับดีจากผู้บริโภค ซึ่งขณะนี้มีกว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศแล้ว โดยผมเดินทางเข้าไปที่บริษัทฯ เองเพื่อนำขนมไปนำเสนอ ก็ใช้เวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเพาะแพกเกจจิ้งประมาณ 3-4 เดือน จนมาลงตัวที่ขนมไทย 3 ชนิด ได้แก่ ทองหยอด ฝอยทอง และเม็ดขนุน บรรจุกล่องพลาสติกที่แบ่งไว้เป็นช่องอย่างสวยงาม ขายในราคากล่องละ 25 บาท เก็บในตู้เย็นอุณหภูมิ 2-6 องศาเซลเซียสได้นาน 15 วัน ปราศจากวัตถุกันเสีย ส่วนขนมในตลาดจะเก็บได้เพียง 4 วันเท่านั้น”
ขณะที่กำลังการผลิตขนมไทยทั้ง 4 ชนิดนี้ จะมีการผลิตฝอยทองมากที่สุดในสัดส่วน 50% ทองหยอด 30% ทองหยิบ 10% และเม็ดขนุน 10% เนื่องจากฝอยทองผู้คนมักจะนำไปต่อยอด หรือเป็นส่วนผสมในขนมชนิดอื่นๆ ได้ไม่ยาก ส่งผลให้ในแต่ละวันขนมไทยบ้านทองหยอดจะใช้ไข่เป็ดจำนวน 30,000 ฟอง ไข่ไก่ 100,000 ฟอง ส่วนน้ำตาลทราย ใช้วันละ 3 ตัน มีการจ้างงาน 150 คน และเมื่อถึงวันพระยอดขายจะเพิ่มขึ้นอีก 20%
สำหรับจุดเด่นขนมไทยบ้านทองหยอด คือ น้ำตาลจะไม่เกาะเป็นเกล็ด ไม่หวานจนเกินไปนัก ไร้กลิ่นคาวของไข่เพราะสั่งตรงจากฟาร์ม และเกษตรกรในพื้นที่จัดส่งทุกวัน พร้อมผลิตด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัยได้มาตรฐานสากล กลายเป็นผู้ผลิตขนมไทยรายใหญ่อันดับต้นๆ ของไทย
นายบัญญัติ คำนูณวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้ก่อตั้งร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน โดยได้ส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าของผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กหรือเอสเอ็มอีที่ผลิตสินค้ามีคุณภาพมาตรฐานและเป็นที่นิยมจากประชาชนมาตลอด โดยบริษัทจะเป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีโอกาสส่งสินค้าตรงถึงมือผู้บริโภคผ่านร้านเซเว่นฯ ทั่วประเทศ และผ่านช่องทางของบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด โดยจำหน่ายสินค้าผ่านนิตยสารทเวนตี้โฟร์ แค็ตตาล็อก ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ และอีคอมเมิร์ซ ปัจจุบันทั้งเซเว่น อีเลฟเว่น และทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง ได้จัดจำหน่ายสินค้าเอสเอ็มอีรวมทั้งสิ้นกว่า 13,000 รายการ และมีการพัฒนาเอสเอ็มอีให้เจริญก้าวหน้าเพื่อเติบโตเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง ได้ช่วยส่งเสริมและสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยจำหน่ายสินค้าเอสเอ็มอีหลายประเภท โดยเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค เช่น ผลไม้แปรรูป, เครื่องดื่ม, เบเกอรี, ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เป็นต้น ซึ่งสินค้าเกษตร เกษตรแปรรูป รวมถึงสินค้าที่ใช้วัตถุดิบทางการเกษตรของกลุ่มธุรกิจ SME จะทำให้ผลผลิตทางการเกษตรมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ช่วยให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”
นายภาณุวัฒก์ เล่าต่อไปว่า การที่สินค้าได้รับความนิยมจากลูกค้าจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีทีมงานของเซเว่นฯ เข้ามาช่วยเหลือดูแลด้านมาตรฐานการผลิตให้ถูกหลักเกณฑ์ ถูกสุขลักษณะ และมีทีมงานตรวจคุณภาพสินค้า เข้ามาตรวจสอบและให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตอาหารให้ถูกสุขอนามัย ซึ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภค ทำให้ได้รับอาหารที่มีคุณภาพ รวมถึงได้รับความรู้ด้านการตลาด การพัฒนาแพกเกจจิ้งให้สวยงาม รวมทั้งมีส้อมสำหรับจิ้มขนมเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าในการรับประทาน นอกจากนี้ การเข้ามาเป็นคู่ค้ากับเซเว่นฯ ทำให้ผลิตภัณฑ์ขนมไทยบ้านทองหยอดเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
สนใจติดต่อ 0-2421-0421 หรือที่ Facebook : https://www.facebook.com/btyfood และ http://kanombanthongyord.com
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *