เติบโตมาในครอบครัวยาไทยที่สืบทอดตำรับยาสมุนไพร และการรักษาด้วยแพทย์แผนไทยมาตั้งแต่สมัยปี 2475 อนุสิษฐ์ แฉล้ม แห่งบริษัท ทิพย์เกสร เฮิร์บ แอนด์ เฮลท์ จำกัด ไม่เพียงเป็นทายาทหมอยาไทยรุ่นที่ 3 ที่นำมรดกแห่งภูมิปัญญามาใช้รักษาคนไข้ให้หาย แต่ยังเรียนรู้ที่จะพัฒนาสมุนไพรไทยให้เป็นสินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ 'ทิพย์เกสร' เพื่อให้คนทั่วไปสามารถซื้อหามาใช้ได้ง่ายด้วย
อนุสิษฐ์สารภาพตามตรงว่าไม่เคยคิดจะเป็นหมอยาไทยมาก่อน แม้คุณตาของเขาผู้เป็นเจ้าของตำรับยา จะส่งลูกหลานเรียนการแพทย์และสาธารณสุขหมด เพื่อจะได้นำความรู้มาช่วยเหลือผู้คน ตัวเขาเองจบคณะสาธารณสุขศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่จ บมาก็เข้ารับราชการนานถึงสิบปี แต่จุดพลิกผันอยู่ที่เขาไปพลาดติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากการผ่าฝีคนไข้ รักษาตัวด้วยยาแผนปัจจุบันอยู่ 3 ปีก็ไม่หาย เลยตัดสินใจกลับมากินยาต้มแผนโบราณกับคุณป้า ซึ่งเป็นผู้รับช่วงรุ่นที่ 2 เพียงยาต้มแค่ 2 หม้อเท่านั้น โรคร้ายที่สร้างความทรมานทั้งกาย-ใจ ก็หายขาดเป็นปลิดทิ้ง
"ความคิดผมเปลี่ยนตั้งแต่วันนั้น เลยตัดสินใจลาออกมาศึกษายาไทยอย่างเต็มตัว ผมเชื่อว่ามันคือทางออกของมนุษย์ ทั้งยังไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกาย มากกว่าความเชื่อ คือ 'ความศรัทธา' ที่มีให้กับยาไทยที่เราคลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก"
อนุสิษฐ์รับช่วงต่อจากคุณป้าในปี 2547 โดยเขาเปิดคลินิกเล็กๆ ปรุงยาสมุนไพรรักษาคนไข้อยู่ที่บ้าน ชื่อคลินิกศรีประจันต์การแพทย์แผนไทย ต่อมามีโอกาสผลิตยาดมส้มโอมือ และพิมเสนน้ำ เป็นของชำร่วยให้กับผู้ป่วยที่มารักษา และนั่นเป็นที่มาของการต่อยอดธุรกิจผลิตสินค้าจากสมุนไพรไทยออกจำหน่าย รวมทั้งสร้างแบรนด์สินค้าอย่างจริงจัง นั่นคือ 'ทิพย์เกสร' ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นของดีเมืองสุพรรณ ทั้งที่ไม่ได้ทำการตลาดด้วยซ้ำ
"เราเติบโตมาเรื่อยโดยยึดแนวพระราชดำริความพอเพียงของในหลวง ร.9 จนปี 2557 เราถูกกฏหมายบังคับให้ต้องปรับตัว ธุรกิจยาต้องทำคุณภาพเพื่อสร้างมาตรฐานในการแข่งขันระดับโลก ซึ่งต้องใช้เงินมหาศาลเลย เราเป็นหมอ เราไม่ได้รวย ไม่มีที่ทางมาเป็นหลักทรัพย์ แต่ในวิกฤตที่เราเจอ มันมีโอกาสซ่อนอยู่ เราได้ บสย. มาช่วยค้ำประกันให้ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS5 ทำให้เราได้เงินก้อนมาทำมาตรฐานให้ตรงตามที่กฏหมายกำหนด รวมทั้งซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ถ้าวันนั้นเราไม่ได้ บสย. เราคงไปต่อลำบาก"
วันนี้อนุสิษฐ์จึงให้บริการรักษาผู้ป่วยด้วยยาสมุนไพรด้วยความมั่นใจ ขณะเดียวกันก็ปรุงยาพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ 'ทิพย์เกสร' ให้หลากหลาย กระทั่งสินค้ามีทั้งสิ้น 9 หมวด 58 รายการ ได้แก่ 1) หมวดดูแลสตรี (โลหิต/ความสวยงาม) 2) หมวดยาบำรุงร่างกายผู้ชาย 3) หมวดสมุนไพรในครัวเรือน (สบู่ ยาสีฟัน ตะไคร้หอม ยาดม ยาลม ยาหม่อง) 4) หมวดดูแลอวัยวะร่างกาย (กระดูกและเส้นเอ็น) 5) หมวดทางเดินปัสสาวะ 6) หมวดดูแลระบบไหลเวียนของเลือดและสมอง 7) หมวดทางเดินอาหาร 8) หมวดทางเดินหายใจ และ 9) หมวดระบบอวัยวะภายใน (ตับ ไต ปอด)
"สินค้าทั้ง 9 หมวด 58 รายการ มีจำหน่ายที่คลินิก เพื่อตอบโจทย์ผู้ป่วยที่มารักษาเป็นหลัก โดยเฉพาะภูมิปัญญาที่ตาทิ้งเป็นมรดกคือ ยาดูแลสตรีทั้งหลาย ขณะที่บางตัวขึ้นทะเบียนตำรับยา สามารถจำหน่ายข้างนอกได้ เช่น ยาสามัญประจำบ้าน หรือสมุนไพรที่ใช้ในครัวเรือน โดยขายตามร้านขายยาที่อยู่ในรัศมีไม่เกิน 150 กิโลเมตร รวมทั้งร้านขายของฝาก-ของที่ระลึกทั่วไป โดยสินค้าที่สร้างชื่อ ทำให้แบรนด์ 'ทิพย์เกสร' เป็นที่รู้จักคือ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยา เช่น ยาดม ยาลม ยาหม่อง ที่ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ กล่มเครื่องดื่มสมุนไพรที่เราปรุงรสชาติให้คนรุ่นใหม่ทานได้ แต่ยังคงไว้ซึ่งสรรพคุณตามเดิม ซึ่งจริงๆ สมุนไพรเหมาะกับการดูแลสุขภาพก่อนป่วย ดีกว่าปล่อยให้ร่างกายเจ็บไข้แล้วถึงมารักษา"
ด้วยเหตุนี้ อนุสิษฐ์ที่เป็นทั้งหมอยาไทย เป็นนักธุรกิจ และเป็นวิทยากรด้านการดูแลสุขภาพองค์รวม จึงได้พยายามเผยแพร่แนวคิดดังกล่าวสู่วงกว้าง โดยการใช้ออนไลน์เป็นเครื่องมือทำการตลาด นอกจากนี้ เขายังสร้างเครือข่ายผู้บริโภคทิพย์เกสร ซึ่งสมาชิกนั้นเป็นคนที่ใช้สินค้ายาสมุนไพรของทิพย์เกสรโดยตรง แต่หากต้องการจะสร้างรายได้ ก็สามารถรับสินค้าไปขาย หรือช่วยขยายฐานสมาชิกได้ โดยทางบริษัทจะมีผลตอบแทนให้แบบตรงไปตรงมา ภายใต้ระบบเครือข่ายแบบชั้นเดียว ในเบื้องต้นเขาตั้งเป้าหมายคนที่จะเข้ามาเป็นเครือข่ายไว้ที่จำนวน 50,000 คน
"เราขยายตลาดแบบ Zero Marketing เรามีโปรแกรมสำเร็จรูป มีข้อมูลองค์ความรู้แบ่งปันสำหรับสมาชิกที่เข้ามาในระบบ เกี่ยวกับภูมิปัญญาสมุนไพร ขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งส่งต่อแนวคิดการดูแลร่างกายตัวเองให้แข็งแรงด้วยหลักการง่ายๆ อย่างการใช้สมุนไพรเป็นอาหารและยา คือเราเน้นให้ก่อน หากสมาชิกชอบ เชื่อ ต้องการช่วยขยายตลาด เราก็จะแบ่งปันรายได้และเงินปันผลให้ ปัจจุบันเรามีสมาชิกจำนวน 10,000 คน ขอแค่คนไทยบริโภคทิพย์เกสร เราก็ชื่นใจแล้ว เรื่องการส่งออก เราเชื่อว่ามันจะไปได้ด้วยคุณค่าของตัวมันเอง เพียงแค่รอจังหวะเวลาเท่านั้น เพราะสินค้าเรามีมาตรฐานพร้อม ทั้ง GMP, ISO และ HALAL ตอนนี้เรากำลังทำมาตรฐานออร์แกนิกส์เพิ่มด้วย
ผมเชื่อว่าวิธีการทำตลาดรูปแบบนี้จะมั่นคง เพราะทุกคนเป็นสมาชิกที่เกิดจากการรักษาของหมอ ความภักดีความเชื่อมั่นต่อแบรนด์มันเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ จากความศรัทธาของคนที่เราดูแลผู้ป่วยและสมาชิกมาตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งหากสมาชิกบริโภคทิพย์เกสรคนละ 500 บาทต่อเดือน ด้วยจำนวนสมาชิก 50,000 คน ยอดขายเราก็สูงถึง 25 ล้านบาทต่อเดือนแล้ว"
ติดต่อ : บริษัท ทิพย์เกสร เฮิร์บ แอนด์ เฮลท์ จำกัด โทร. 085 384 4965 เว็บไซต์ http://www.tipgaysorn.com/
บทความโดย: บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) (Link : www.tcg.or.th)
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
SMEs manager