xs
xsm
sm
md
lg

อีลีท ไทย เลเทอร์ ปั้นแบรนด์ Opium ปักธงเครื่องหนังไทย โตในตลาดจีน/อาหรับ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เบื้องหลังความสวยหรูของกระเป๋าหนัง Exotic ราคาแพง ใครจะรู้ว่ามีรอยยิ้ม คราบน้ำตา ของผู้ประกอบการรายเล็ก ที่ต่อสู้ไม่ถอย แล้วค่อยๆ เติบโตขึ้นมา เขาคือ ปณตกร อุสายพัน เจ้าของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด อีลีท ไทย เลเทอร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องหนังแบรนด์ Opium ที่กว่าจะมีวันนี้ได้ ธุรกิจของเขาต้องผจญกับบททดสอบ จนเกือบจะเจ๊งมาแล้วถึง 2 ครั้ง
     ปณตกรเรียนจบมาทางด้านฟู้ดซายน์ แต่จับพลัดจับผลูมาทำธุรกิจเครื่องหนัง แต่นั่นมิได้เป็นอุปสรรคในการที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เขาเริ่มต้นจากการช่วยทำงานด้านส่งออกกระเป๋าหนังอยู่ปีหนึ่ง ก่อนจะออกมาเปิดบริษัทเองในปี 2552 เพื่อให้รู้ลึก รู้จริง เขาลงทุนไปเรียนเย็บกระเป๋าหนัง และเริ่มรวบรวมช่างฝีมือดีมาเป็นลูกมือ ก่อนมั่นใจเปิดรับออเดอร์ผลิตสินค้าเครื่องหนังจากเทรดเดอร์รายใหญ่จากทางฝั่งฮ่องกง

“เทรดเดอร์ทางฮ่องกงต้องการจ้างเราเป็นโรงงานผลิตสินค้า แล้วเขานำไปตีแบรนด์จำหน่ายสินค้าไปทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น อเมริกา เขาจึงลงทุนสอนงานทุกอย่าง ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราได้เรียนรู้ สั่งสมประสบการณ์กับมืออาชีพ จนฐานการผลิตของเราแน่นขึ้น เมื่อมีออเดอร์ในมือแบบชัวร์ๆ ผมก็กล้าลงทุนทำโรงงานอย่างจริงจัง จ้างช่างเพิ่มจาก 9 เป็น 30 คน”
      กระทั่งปี 2554 มหาอุทกภัยได้สร้างความเสียหายให้กับหลายธุรกิจ และไม่มีข้อยกเว้นสำหรับ อีลีท ไทย เลเทอร์ แม้น้ำจะท่วมไม่ถึงโรงงาน แต่ซัพพลายเออร์ก็อ่วมไปตามๆ กัน เป็นเหตุให้ปณตกรไม่สามารถส่งสินค้าได้ตามกำหนด เนื่องจากหาวัตถุดิบมาไม่ทันเวลา สุดท้ายเขาจึงโดนค่าปรับจากทางฮ่องกงจนน่วมทีเดียว
      “นี่เป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจ เพื่อลดความเสี่ยงตรงนี้ลง เราจะมีลูกค้ารายเดียวอีกต่อไปไม่ได้ ตอนนั้นฐานการผลิตเราค่อนข้างดีแล้ว เลยมองหาช่องทางรับลูกค้ารัสเซียต่อ เพราะนักท่องเที่ยวรัสเซียที่มาเมืองไทย มักจะนิยมซื้อสินค้าเครื่องหนัง Exotic จำพวกกระเป๋าหนังงู กระเป๋าหนังจระเข้กลับไป ผมจึงเริ่มผลิตกระเป๋าส่งออกไปยังรัสเซียโดยตรง”

ฝันร้ายจากฮ่องกงดูเหมือนจะคลี่คลาย เมื่อออเดอร์จากรัสเซียเข้ามาเดือนละ 2-5 ล้านบาท ทว่าในการทำธุรกิจ เมื่อมีวันขาขึ้น ย่อมมีวันขาลง ในปี 2557 ธุรกิจเครื่องหนังของเอสเอ็มอีรายนี้ต้องได้รับผลกระทบเต็มๆ จากวิกฤตเงินรูเบิลอ่อนค่า ทำให้รัสเซียลดการนำเข้ากระเป๋าหนังจากไทยไปโดยอัตโนมัติ แต่ทุกอย่างจำเป็นต้องเดินหน้าต่อ ปณตกรแก้ไขปัจจัยแปรผันที่ยากเกินจะควบคุมนี้ ด้วยการผลิตสินค้าเก็บเป็นสต็อก ไว้รอขายในฤดูกาลที่นักท่องเที่ยวรัสเซียมาเมืองไทย แต่ปรากฏว่าปัญหาค่าเงินทำให้ชาวหมีขาวไม่เดินทางออกนอกประเทศ สต็อกกระเป๋าเลยกลายเป็นสต็อกเจ๊งไปในทันที
     “ตอนนั้นรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเหลือ มีแต่หนี้ เพราะเราไม่มีแบรนด์เป็นของเราเอง อย่างการรับจ้างผลิตสินค้า วันหนึ่งถ้าลูกค้าไปเจอซัพพลายเออร์ที่ราคาถูกกว่า ก็อาจย้ายฐานการผลิตไปที่อื่น เราจึงคิดสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง คือถ้าแบรนด์ดัง ถึงไม่มีโรงงาน เรายังจ้างผลิตได้ ถ้ามีโรงงาน แต่ไม่มีแบรนด์ ก็เท่ากับรอลูกค้าอย่างเดียว ถึงเวลาที่ต้องยืนบนขาตัวเองแล้ว”

นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตกระเป๋าแฮนด์เมดจากหนังงู หนังจรเข้ ภายใต้แบรนด์ Opium เพื่อวางขายบนห้างหรู จับกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลางที่มาท่องเที่ยวในไทย ปณตกรบอกว่าการสร้างแบรนด์นั้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินกำลัง ต้องอาศัย
     ระยะเวลาและความตั้งใจจริง เพราะเมื่อเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ดีไซน์กระเป๋าก็ต้องเปลี่ยน จากที่เคยผลิตกระเป๋าหนังนิ่มที่วางแล้วกองไปกับพื้น เอาใจตลาดจีนและยุโรป เขาเปลี่ยนมาผลิตกระเป๋าทรงตั้งที่วางตรงไหนก็ดูลักชัวรี่ที่ถูกจริตชาวอาหรับ
     แต่กว่าจะได้วางจำหน่ายบนห้างสรรพสินค้าไฮเอนด์ แบรนด์น้องใหม่ก็ต้องผ่านบททดสอบไม่น้อย คือต้องขายสินค้าให้ได้ภายใน 6 เดือน มิเช่นนั้นก็ต้องถูกถอดลงจากเชลฟ์ เอสเอ็มอีใจสู้เล่าว่า 1-2 เดือนแรก ขายกระเป๋าไม่ได้สักใบ จนอดคิดไม่ได้ว่าทางเดินสุดท้ายที่เลือกไว้คงจะถึงทางตัน แต่ด้วยอาศัยความคล่องตัวของธุรกิจขนาดเล็ก ทำให้เขาเอาตัวรอดมาได้ และสามารถวางจำหน่ายสินค้าในห้างดังได้อย่างสมศักดิ์ศรีเอสเอ็มอีไทย

“ถึงแม้ Opium จะเป็นแบรนด์ใหม่ แต่เราฉีกดีไซน์จนแตกต่างจนห้างเปิดใจยอมรับ อีกอย่างเราเป็นโรงงานและมีฐานการผลิตที่ดี เราสามารถนำฟีดแบ็คจากลูกค้ามาวิเคราะห์และปรับพัฒนาสินค้าให้ถูกใจลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ตัวผมเองที่เป็นเจ้าของกิจการ ก็ไม่ได้เอาแต่ยืนมองลูกน้องทำงาน แต่รู้เรื่องวัตถุดิบเป็นอย่างดี ทำให้สินค้ามีความโดดเด่น อยางสีกระเป๋าของเราก็ไม่เหมือนใคร เจ้าอื่นจะซื้อหนังที่ฟอกแล้วมาทำ แต่ผมซื้อหนังแห้งแล้วเอามาฟอกเอง และออกแบบสีกับมือ ซึ่ง ‘สี’ ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสินค้าแฟชั่น แบบก็อบปี้กันได้ แต่สีสันที่เราครีเอตขึ้นมา ไม่มีทางเหมือน”
     ปัจจุบันกระเป๋าหนังของ Opium วางจำหน่ายที่คิง พาวเวอร์ สาขาดอนเมือง สุวรรณภูมิ และภูเก็ต ห้างสยามพารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ ทั้งยังมีตัวแทนฯ รับกระเป๋าไปจำหน่ายที่ดูไบและการ์ต้าด้วย เป้าหมายต่อไปของ อีลีท ไทย เลเทอร์ ในปีนี้คือ การขยายตลาดไปยังเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ที่มีกำลังซื้อสูงและชื่นชอบในสินค้าลักชัวรี่ รวมทั้งประเทศบาห์เรนและโอมาน เช่นเดียวกับการเพิ่มจุดจำหน่ายภายในประเทศ ซึ่งกำลังรอการเปิดสาขาใหม่ของห้างดังด้วย

“ช่วงขยายสต็อกเข้าหน้าร้าน ผมต้องใช้เงินทุนค่อนข้างมาก แต่ละสาขามีต้นทุนในการสต็อกสินค้าประมาณ 2 ล้านบาท เรามี 6 สาขา ก็ต้องมี 15 ล้านบาท ตอนไปยื่นขอวงเงินสินเชื่อกับธนาคาร ผมเลยได้รู้จักกับ บสย. ที่ช่วยค้ำประกันสินเชื่อให้ 2 ล้านบาท โดยที่ผมไม่ต้องมีหลักทรัพย์เข้าแบงค์ แล้วค่าธรรมเนียมถือว่าไม่เกินกำลัง ทำให้ผมสามารถบริหารสภาพคล่องของธุรกิจได้ และทำยอดขายได้ประมาณ 40-50 ล้านในปี 2560 สำหรับปีนี้ผมคาดว่าธุรกิจน่าจะเติบโตไม่เกิน 10%
     ผมมองว่าการที่กิจการเติบโตไม่หยุด ล้มแล้วก็ลุกทุกครั้ง ส่วนหนึ่งเพราะกำลังใจจากครอบครัว อีกอย่างผมมีเงินเท่าไร ผมใช้หนี้หมด การเป็นที่ลูกหนี้ที่ดีทำให้เราได้เครดิตต่อเนื่อง ผมอยากฝากถึงเพื่อนเอสเอ็มอีว่า ‘ถึงเราจะเล็ก แต่เราคิดใหญ่ได้’ ผมบอกลูกค้าเสมอว่า ถึงโรงงานเราจะไม่ใหญ่ แต่เรามีความรับผิดชอบ แล้วคุณภาพสินค้าเราไม่แพ้แบรนด์ดัง ฉะนั้นเอสเอ็มอีอย่าใจเล็ก และควรให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ตั้งแต่ต้น แล้วธุรกิจคุณจะไปได้ไกล” ปณตกรกล่าวทิ้งท้าย

ติดต่อ ห้างหุ้นส่วนจำกัด อีลีท ไทย เลเทอร์ โทร. 081-255-2610 เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/opiumbkk/

บทความโดย: บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) (Link : www.tcg.or.th)


* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *

SMEs manager



กำลังโหลดความคิดเห็น