Shabu De Bear (ชาบู เดอ แบร์) ร้านชาบูและซูชิ ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่บริหารกิจการโดยนักธุรกิจคนไทย มีชื่อว่า “คุณฉัตรทิพย์ แม้นหมาย” ที่ขอผงาดขึ้นมาแข่งขันกับแบรนด์ดังจากต่างประเทศในศูนย์การค้าชั้นนำ
คุณฉัตรทิพย์ เล่าว่า สำหรับ ชาบู เดอ แบร์ เป็นร้านอาหารที่รวมชาบูและซูชิมาไว้ด้วยกัน โดยให้บริการในรูปแบบของบุพเฟต์ แต่เป็นบุพเฟต์ระดับพรีเมียม อยู่ที่หัวละ 599-799 บาท ถือว่าเป็นราคาที่มีผู้เล่นในตลาดนี้ไม่มากนัก ปัจจุบันมีอยู่ไม่เกิน 5 ราย และชาบู เดอ แบร์ มีสาขา และยอดขายอยู่ในอันดับต้น (อันดับที่ 2)
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีการขยายสาขาไปแล้วจำนวน 10 สาขา ในระยะเวลา 3 ปี เป็นของเจ้าของเอง 5 สาขา และที่ขยายในรูปแฟรนไชส์อีก 5 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ซึ่งในปีนี้ (2561-2562) ตั้งเป้าจะขยายสาขาเพิ่ม 10-15 สาขา ส่วนทำเลดูตามความเหมาะสม ซึ่งเป็นไปได้ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
“สาเหตุที่ร้านของเราขยายสาขาค่อนข้างช้า ส่วนหนึ่งมาจากเราให้ความสำคัญต่อการเลือกผู้ที่จะมาร่วมลงทุนแฟรนไชส์ เพราะต้องการคนที่มีความรู้ทางด้านธุรกิจจริง ดังนั้น ลูกค้าแฟรนไชส์ของเราจะต้องผ่านการเป็นนักธุรกิจมาก่อน ซึ่งโดยส่วนตัวผมมองว่าคนที่เคยทำธุรกิจมาก่อน ย่อมรู้ว่าจะต้องบริหารกิจการตรงนี้ได้อย่างไร และทั้งหลายทั้งมวล ก็เพื่อประโยชน์ของลูกค้าแฟรนไชส์ และเราก็ต้องการสร้างแบรนด์ ชาบู เดอ แบร์อย่างยั่งยืน”
สำหรับราคาแฟรนไชส์ ชาบู เดอ แบร์อยู่ที่ 450,000 บาท บวกค่ารอยัลตีฟี 6% ซึ่งราคานี้ "ทางเจ้าของ" ได้มีการปรับขึ้นมาจากเดิม ขายอยู่ที่ 150,000 บาท ตอนเปิดตัวแฟรนไชส์เมื่อ 2 ปีก่อนหน้านี้ และที่ปรับราคาครั้งนี้ "คุณฉัตรทิพย์" ให้เหตุผลว่า ต้องการจริงจังกับธุรกิจแฟรนไชส์มากขึ้น เพื่อสร้างแฟรนไชส์ให้เติบโตไปพร้อมกับเรา และล่าสุดได้ทำการเปิดบริษัทขึ้นมารองรับการขยายงานด้านแฟรนไชส์โดยเฉพาะ ดังนั้น ต่อจากนี้ไปผลประโยชน์ที่แฟรนไชส์จะได้รับก็จะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
"สิทธิประโยชน์ที่แฟรนไชส์จะได้รับในวงเงิน 4 แสน 5 หมื่นบาท คือโนฮาวและความรู้ด้านการบริหารจัดการร้าน และการคิดเมนูใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อครบ 1 ปีเราก็จะมีการออกแบบและเปลี่ยนเมนูใหม่ทั้งหมดเพื่อไม่ให้ลูกค้าเกิดความซ้ำซากจำเจ นอกจากนี้ หลังจากนี้มีการทำการตลาดเชิงรุก โดยการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้างมากขึ้น เป็นต้น ส่วนข้อตกลงอื่นๆ คือ ลูกค้าแฟรนไชส์จะต้องซื้อ วัตถุดิบหลักที่เป็นซิกเนเจอร์จากเราเท่านั้น เพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพ นอกหนือจากนั้นลูกค้าสามารถหาซื้อได้เองในพื้นที่"
ในส่วนของโอกาสคืนทุนอยู่ที่ประมาณ 1 ปีครึ่ง โดยประมาณ ส่วนการลงทุนอื่นๆ นอกเหนือจากค่าแฟรนไชส์ จะมีค่าตกแต่งร้าน ค่าอุปกรณ์ ของใช้ต่างๆ รวมถึงค่าเช่าที่ต้องจ่ายล่วงหน้า ลูกค้าแฟรนไชส์จะต้องมีเงินลงทุน กับธุรกิจนี้ประมาณ 4-5 ล้านบาท ส่วนทำเลที่แนะนำเปิดในศูนย์การค้า หรือคอมมูนิตีมอลล์
ปัจจุบัน Shabu De Bear เปิดให้บริการสาขาในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ได้แก่ สาขาแอมพาร์ค ย่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาถนนพระราม 3 ชั้น 2 ศูนย์การค้า Tree On 3 สาขาศรีราชา จังหวัดชลบุรี, The Paseo Park ราชพฤกษ์, The Jas รามอินทรา และ Beehive เมืองทองธานี แต่ละสาขามีรายได้เฉลี่ยหลักล้านบาทต่อเดือน
สำหรับร้านชาบู เดอ แบร์ นับเป็นร้านแรกๆ ที่เป็นแบรนด์ของคนไทย ที่คิดค่าหัวบุพเฟต์ ราคาสูงหัวละเกือบ 800 บาท ซึ่งที่เขากล้าลงมาเล่นในตลาดนี้เพราะโดยส่วนตัว "คุณฉัตรทิพย์" เขาเป็นนักชิม ดังนั้น มั่นใจว่าถ้าลูกค้าได้มาชิมจะต้องรู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ซึ่งร้านนี้มีจุดขายอยู่ที่วัตถุดิบคุณภาพที่คัดเลือกมาอย่างดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะไฮไลต์อยู่ที่เสิร์ฟเนื้อวากิวที่ใหญ่เท่าหน้า และหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ แซลมอน ซาชิมิมอสซาเรลลาชีส เป็นต้น ด้านน้ำซุปก็มีให้เลือกทั้งน้ำซุปต้มยำ และซุปน้ำใส
สนใจโทร. 08-1687-8877
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *