xs
xsm
sm
md
lg

หนุ่มหน้าใสขาย 'กาแฟสกัดเย็น Fillingfell Coffee' ปลุกความสดชื่นรสละมุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฤทธิรงค์ ร่ำรวยธรรม หรือ น้องเดช เจ้าของธุรกิจกาแฟสกัดเย็น Fillingfeel Coffee
เมื่อหลงใหลในกรุ่นกลิ่นกาแฟ ชนิดที่ว่าที่ไหนมีกาแฟรสชาติดีต้องขอเข้าไปลิ้มลอง พร้อมสนใจในกรรมวิธีชงกาแฟรูปแบบใหม่ๆ เพราะนั่นหมายถึงรสชาติ กลิ่น และความความละมุนที่เปลี่ยนไป ทำให้จากพนักงานประจำที่ทำงานด้านโปรดักส์ชั่นเฮ้าส์ ตัดสินใจลาออกมาเปิดร้านกาแฟสกัดเย็น Fillingfeel Coffee

นายฤทธิรงค์ ร่ำรวยธรรม หรือ น้องเดช เจ้าของธุรกิจ ดั้นด้นเสาะหากาแฟรสชาติดีอยู่เสมอ พร้อมเรียนรู้กรรมการวิธีการชงที่แปลกแตกต่างออกไปเพื่อดึงรสชาติกาแฟออกมาให้ได้มากที่สุด และหนึ่งในนั้นคือ “กาแฟสกัดเย็น” ที่เขาสนใจเป็นพิเศษ และคิดนำมาต่อยอดเป็นธุรกิจแรกในชีวิต

“เมื่อเรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยหอการค้า ก็เข้าทำงานประจำด้านโปรดักส์ชั่นเฮ้าส์ แต่ลึกๆ ก็ต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเองตามประสาคนรุ่นใหม่ จึงดึงความชอบส่วนตัวในเรื่องการดื่มกาแฟ เป็นโจทย์ตั้งต้นบนเส้นทางเจ้าของธุรกิจ กระทั่งผมได้มีโอกาสไปดื่มกาแฟที่ร้านหนึ่ง เขาเลือกใช้กรรมวิธีสกัดเย็นแล้วนำมาบรรจุขวดขาย ผมก็สนใจในกรรมวิธีนี้ที่สามารถดึงรสชาติกาแฟออกมาได้ดี จึงเริ่มศึกษามาเรื่อยๆ ดูข้อมูลจากต่างประเทศ และในไทย ก็พบว่าส่วนใหญ่จะมีวางขายในโมเดิร์นเทรด และเป็นการบรรจุขวดสำเร็จรูป ยังไม่มีคนทำเป็นกาแฟเย็นใส่แก้วพร้อมดื่ม จึงเกิดแนวคิดในการเปิดร้านกาแฟ หรือคีออสเล็กๆ ทำกาแฟสกัดเย็นขึ้น”
การทำกาแฟสกัดเย็น
ด้วยความที่เป็นคนที่คิดอะไรและต้องทำเลย ทำให้น้องเดช ตัดสินใจลาออกจากงานประจำทันที แล้วมาเจาะลึกด้านกาแฟสกัดเย็นอย่างเต็มที่ ลงทุนซื้อเครื่องสกัดเย็นจากต่างประเทศ ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ซึ่งในช่วงเริ่มต้นเขาก็ลองทำกาแฟสกัดเย็นบรรจุขวด และนำไปฝากขายตามร้านขายผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค ขายในราคาขวดละ 95 บาท เลือกใช้เมล็ดกาแฟของไทย แต่เป็นเมล็ดคั่วอ่อน จะมีคาเฟอีนสูงกว่าปกติเล็กน้อย และเมื่อนำมาสกัดเย็นก็ทำให้ดึงรสชาติของกาแฟออกมาได้มามาก รวมถึงกลิ่นกรุ่นกาแฟอย่างเต็มที่
ใช้น้ำเย็นหยดลงในกาแฟคั่ว
“ผมใช้เวลาลองผิดลองถูกก่อนที่จะเริ่มธุรกิจกาแฟสกัดเย็น ภายใต้ชื่อ “Fillingfell Coffee” (ฟิลลิ่งฟีล คอฟฟี) มาประมาณ 3-4 เดือน ที่ตลาดรวมทรัพย์ ตรงข้ามตึกแกรมมี่ ย่านอโศก ซึ่งการนำกาแฟมาสกัดเย็นมีมานานแล้ว แต่ยังไม่แพร่หลายมากนัก โดยเฉพาะในไทย ในขณะที่กาแฟดริปคนไทยเริ่มคุ้นเคยแล้ว ซึ่งข้อดีของกาแฟสกัดเย็นคือ มีความเป็นกรดน้อยกว่าแบบร้อน สามารถดื่มตอนท้องว่างได้สบาย ขณะที่การเลือกใช้เมล็ดคั่วอ่อน ทำให้ดื่มง่ายขึ้น หอมอร่อย สามารถรับรู้รสชาติ คาแลคเตอร์ของเมล็ดกาแฟได้ชัดเจนและสดชื่นมากกว่าเดิม ซึ่งร้านเราขายแบบพร้อมดื่มใส่แก้ว เหมือนกาแฟเย็นทั่วไป และแบบบรรจุขวด ซึ่งจะทำให้กาแฟคงรสชาติเดิมได้นานประมาณ 2-3 สัปดาห์”
มีทั้งแบบแก้ว และบรรจุขวด
ว่าแต่กาแฟสกัดเย็นเป็นอย่างไร? ทำไมถึงสร้างความแตกต่างให้วงการกาแฟ น้องเดช เผยว่า การสกัดเย็นก็เหมือนเป็นการหมักกาแฟชนิดหนึ่ง ใช้น้ำเย็นในอุณหภูมิ 0 องศา หยดลงไปในกาแฟคั่ว จากนั้นน้ำกาแฟก็จะค่อยๆ หยดลงมาในแก้ว ซึ่งการผลิตกาแฟสกัดเย็น 15 แก้ว ใช้เวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมง เขาต้องเก็บสต็อคกาแฟไว้ในแกลลอน เพราะกาแฟที่ถูกสกัดเย็นออกมาแล้วจะไม่สามารถดื่มได้ทันทีต้องหมักไว้อีก 1 คืน เพื่อดึงรสชาติและกลิ่นกาแฟออกมาได้มากที่สุด เมื่อดื่มจะทำให้กลิ่นอวลอยู่ในลำคอ

สำหรับเมนูกาแฟสกัดเย็น ได้แก่ 1.Black Coffee กาแฟดำสกัดเย็นที่เปี่ยมไปด้วยความหอมของเมล็ดและคาแลคเตอร์เมล็ดกาแฟคั่วอ่อนที่ชัดเจน 2.White Coffee กาแฟสกัดเย็นผสมผสานกับนมหอมนุ่ม รวมกันเป็นความลงตัวที่หอมละมุน 3.Tonic&Honey กาแฟสกัดเย็นเพิ่มความซ่าด้วยน้ำโทนิค พร้อมรสชาติความหวานจากน้ำผึ้งธรรมชาติให้ความสดชื่นคลายร้อนได้เป็นอย่างดี และ 4.Orange กาแฟสกัดเย็นบวกด้วยความหอมของส้มช่วยให้ชุ่มคอสดชื่น จำหน่ายในราคาแก้วละ 40-50 บาท ขนาดแก้ว 16 ออนซ์

ในช่วงแรกของการเริ่มต้นธุรกิจนี้ น้องเดช ยอมรับว่า อุปสรรคสำคัญคือการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับกาแฟสกัดเย็นให้ลูกค้าทราบ เพราะเป็นสิ่งใหม่ที่ผู้บริโภคยังไม่คุ้ยเคย แต่ส่วนใหญ่ก็เปิดใจลิ้มลอง ซึ่งที่ผ่านมากาแฟสกัดเย็นบรรดาคอกาแฟจะรู้จักในกลุ่มลูกค้าระดับบน ไม่มีการเปิดร้านตามตลาดนัด หรือแหล่งชุมชน ทำให้การเปิดร้านมาได้ 7 เดือนกว่า กลุ่มลูกค้าสามารถแบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ 1.คอกาแฟที่รู้จักกาแฟสกัดเย็นเป็นอย่างดี และเคยลิ้มลองมาแล้ว 2.ผู้ที่ต้องการดื่มกาแฟเพื่อสุขภาพ และ 3.ผู้ที่ต้องการทดลองลิ้มลองกาแฟรสชาติใหม่ ส่งผลให้ยอดขายประมาณ 70-80 แก้ว/วัน รายได้ประมาณ 6-7 หมื่นบาท/เดือน
สารพัดเมนูกาแฟสกัดเย็น
หลังได้รับการยอมรับและกล้าลิ้มลองกาแฟสกัดเย็นของลูกค้ามาได้ระยะหนึ่ง ทำให้น้องเดช เตรียมขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ หวังทำให้แบรนด์ “Fillingfeel Coffee” และกาแฟสกัดเย็นเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยออกแบบการลงทุนแฟนไชส์ไว้ 2 รูปแบบ คือ 1.ลงทุน 51,000 บาท ได้รับอุปกรณ์ครบครันพร้อมจำหน่าย มีโมเดลกาแฟสกัดเย็นเพื่อดึงดูดลูกค้า ได้รับน้ำกาแฟสำหรับจำหน่าย 1,000 แก้ว (แบ่งจัดส่งได้) ซึ่งน้ำกาแฟ 1 แกลลอน จะทำกาแฟสกัดเย็นได้ 20 แก้ว และได้รับแก้วสกรีนแบรนด์ Fillingfeel Coffee จำนวน 1,000 ใบ เน้นทำเลย่านออฟฟิศ ในห้างสรรพสินค้า หรือแหล่งท่องเที่ยวตามต่างจังหวัด ที่จะคิดราคาค่าจัดส่งตามระยะทาง

รูปแบบที่ 2 เป็นแบบที่ลูกค้าลงทุนเองทั้งหมดไม่กำหนดขนาดและทำเล แต่ต้องใช้โลโก้ร้าน น้ำกาแฟ และแก้วกาแฟ ของ Fillingfeel Coffee ขณะที่เคาน์เตอร์ต้องเลือกใช้ลายหินอ่อน และโทนดำ พร้อมเงินลงทุนในการซื้อกาแฟล็อตแรก 1,000 แก้ว หรือประมาณ 24,000 บาท

“ที่ผ่านมาหลังจากที่เปิดธุรกิจมาได้ไม่ถึงปี ก็ถือว่ากระแสตอบรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้คนรู้จักกาแฟสกัดเย็นมากขึ้น โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ต่างชื่นชอบและให้การยอมรับ ซึ่งผมก็ไม่หยุดที่ขยายธุรกิจนี้ ทั้งในรูปแบบของแฟรนไชส์ และการขยายสาขาเอง ซึ่งโดยประมาณภายใน 6 เดือนข้างหน้า จะขยายอีก 3 สาขา พร้อมรุกในเรื่องแฟรนไชส์ให้มากขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภคที่รู้จักกาแฟสกัดเย็นมากขึ้น ขณะที่คู่แข่งในตลาดยังมีน้อย”
รู้จัก กาแฟสกัดเย็น ให้มากขึ้น
แม้คำว่ากาแฟสกัดเย็น เมื่อฟังครั้งแรกในกลุ่มผู้ที่ไม่เคยลิ้มลองจะรู้สึกว่าเป็นกาแฟระดับสูงหาดื่มยาก และราคาต้องแพง แต่สำหรับ Fillingfeel Coffee ที่กำหนดราคากาแฟเริ่มต้นที่แก้วละ 40 บาท ถือเป็นการเปิดตลาดกาแฟสกัดเย็นที่ดี ในห้วงที่คู่แข่งยังน้อยและผู้คนกล้าลิ้มลอง
ตัวอย่างคีออสสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์
***สนใจติดต่อ 06-2169-8958 Line Id: @FillingfeelCoffee และ Facebook: Filling Feel Coffee***
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น