ผ่านมาหลายสิบปีกับความคุ้นเคยกับขนมครกสีเขียวจากใบเตย รูปร่างคล้ายดอกไม้ ให้รสสัมผัสเคี้ยวหนึบ ที่แม้จะมีขนมจากต่างชาติรุกล้ำเข้ามาครองใจกลุ่มวัยรุ่น แต่สำหรับ 'ร้านขนมครกใบเตย สยามสแควร์ 'ยังคงยืนหยัดมายาวนานกว่า 3 ทศวรรษ
เคล็ดลับการครองตลาดสำหรับขนมครกโบราณชนิดนี้เป็นอย่างไรมาหาคำตอบกัน....
ป้าตุ๊กตา หรือ วรรณทนีย์ มีศิลป์ วัย 59 ปี ทายาทรุ่น 2 เจ้าของร้านขนมครกใบเตย สยามสแควร์ เผยให้ฟังว่า ธุรกิจนี้ได้ยึดทำเลย่ายสยามสแควร์มานานกว่า 30 ปี พร้อมครองใจลูกค้าในละแวดังกล่าวด้วยขนมครกใบเตย หรือ ขนมครกสิงคโปร์ สร้างความโด่งดังด้วยการบอกปากต่อปากว่าเป็นขนมครกที่มีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์ แป้งหนึบๆ สีเขียว หอมกลิ่นใบเตยชวนรับประทาน ด้วยสูตรขนมครกใบเตย ของคุณแม่ซึ่งเป็นสูตรดั้งเดิม โดยมีส่วนผสมหลัก อย่าง แป้ง ไข่ ใบเตย น้ำกะทิ พร้อมจุดขายที่โดดเด่นคือ ใช้น้ำใบเตยแท้ ทำให้ขนมมีกลิ่นหอม เนื้อแป้งนุ่ม มีความเป็นเอกลักษณ์ ยิ่งเมื่อรับประทานตอนร้อนๆ เนื้อขนมจะนิ่มมาก เหมาะรับประทานคู่กับชา กาแฟ
“ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว คุณแม่มีอาชีพขายขนมครกใบเตย เดินหาบเร่ขายแถวสยาม ต่อมาเมื่ออายุมากขึ้น เปลี่ยนเป็นรถเข็น กระทั่งทางมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มีการจัดระเบียบร้านค้าในสยามสแควร์ เห็นว่าคุณแม่ขายมานานเป็นคนเก่าแก่ในย่านนี้ เลยช่วยจัดสรรพื้นที่ให้ขายเป็นเรื่องเป็นราว เดิมทีร้านตั้งอยู่ ซอย 2 ต่อมาถูกย้ายไปซอย 4 กระทั่งปัจจุบันมี 2 สาขาอยู่ซอย 5 หน้าศูนย์หนังสือจุฬา และซอย 8 ข้างโรงแรมโนโวเทล ซึ่งในสมัยก่อนคุณแม่จะใช้เตาถ่านย่างขนม แต่หลังจากขยับขึ้นมามีหน้าร้าน ธุรกิจมีการขยับขยายและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เลยเปลี่ยนมาใช้เตาแก๊ส แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงสูตรโบราณ รสชาติ ความหอมอร่อย ไม่เปลี่ยนแปลง”
โดยเมนูขนมครกใบเตย เป็นขนมที่อยู่ในสังคมไทยมายาวนาน ทุกเพศทุกวัยทานได้ เป็นความคุ้นเคย เด็กรุ่นใหม่ ชาวต่างชาติที่มาเดินในย่านนี้ก็ยังทาน และไม่ว่าจะมีขนมสัญชาติอื่นเข้ามา ขนมครกใบเตยก็สามารถขายได้ และทำรายได้หล่อเลี้ยงครอบครัวแต่ละเดือนหลักแสนบาท ทั้งที่ขายเพียงกล่องละ 40 บาท (9 ชิ้น) นอกจากนี้ยังมีขนมอื่นๆ ให้ลิ้มลอง เช่น บ้าบิ่นมะพร้าวอ่อน ขนมโตเกียว และแพนเค้ก ซึ่งกรรมวิธีไม่ยุ่งยาก และใช้วัตถุดิบหลักที่ใกล้เคียงกัน
ขณะที่การตระเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำขนมครกใบเตยยในแต่ละวัน จะมีการผสมแป้งประมาณ 20 กิโลกรัม/สาขา (วันธรรมดา) แต่หากเป็นช่วงเทศกาล หรือมีงานกิจกรรมในละแวกสาขานั้นๆ ก็จะต้องมีการเพิ่มปริมาณ โดยสมาชิกในครอบครัวจะมีส่วนร่วมในธุกริจนี้ โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน โดยสาขาซอย 5 หน้าศูนย์หนังสือจุฬา เป็นของหลานสาว ส่วนสาขาของป้าตุ๊กตาอยู่สยามซอย 8 และล่าสุดหลานชายก็ขยายสาขาไปตลาดหัวมุมอีกด้วย
ถือเป็นธุรกิจที่ทำง่าย ลงทุนไม่มาก แถมรับประทานง่าย แต่ความยากอยู่ที่กลเม็ดการครองตลาดให้ยาวนานจากรุ่นสู่รุ่น นั่นคือการรักษาไว้ซึ่ง 'คุณภาพ' และสูตรดั้งเดิมที่สร้างความคุ้นชินกับผู้บริโภคไปแล้ว
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *