มารู้จัก “ถั่วดาวอินคา” ชื่อทางการว่า (Sacha inchi) มีแหล่งกำเนิดมาจากป่าแถบอเมซอน ของประเทศเปรู เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในระดับความสูง ตั้งแต่ 100 เมตร (ป่าต่ำ) ถึง 2,000 เมตร (ป่าสูง) จากระดับน้ำทะเล ชอบสภาพอากาศที่อบอุ่น มีลำต้นเป็นไม้เลื้อย แตกกิ่งเป็นเถาเลื้อยได้ยาวมากว่า 2 เมตร เป็นพืชที่มีอายุยืนยาว ตั้งแต่ 10 ปี ถึง 50 ปี
ถั่วดาวอินคา เป็นพืชที่มีการนำทุกส่วนมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบสมุนไพรเพื่อสุขภาพ โดย ส่วนผลหรือฟักที่ออกมาเป็นเฉก คล้ายรูปดาว ผลแก่จะเป็นสีน้ำตาลแห้งๆ ซึ่งเมล็ดที่อยู่ข้างในเมื่อนำมาสกัดน้ำมัน จะให้ปริมาณน้ำมันสูงถึง 50% และสามารถใช้การสกัดเย็น ไม่ต้องใช้การกลั่น คุณประโยชน์ของน้ำมันถั่วดาวอินคา จากผลการวิจัย พบว่า น้ำมันที่ได้จากถั่วดาวอินคา กรดไขมันที่จำเป็น และมีโอเมก้า 3,6,9 สูง มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน A และวิตามินอี เป็นแหล่งโปรตีน และมีกรดอะมิโนจำเป็น
ในส่วนของใบถั่วดาวอินคา เป็นพืชใบเลี้ยงเดียว โดยใบอ่อน และยอดอ่อนนำมาประกอบอาหาร เนื้อใบ และยอดอ่อนมีความนุ่ม และมีรสมัน ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว สามารถทำได้ในหลายเมนู อาทิ ยอดถั่วดาวอินคาผัดน้ำมันหอย แกงจืดยอดอ่อนถั่วดาวอินคา เป็นต้น ส่วนใบแก่นำมาสับเป็นชิ้นเล็ก แล้วตากแดดให้แห้ง ก่อนใช้ชงเป็นชาดื่ม ใบสดนำมาสกัดคลอโรฟิลล์หรือนำมาปั่นเป็นน้ำคลอโรฟิลล์ ส่วน เปลือกฝัก และเปลือกเมล็ดใช้ทำปุ๋ยหมัก เป็นต้น ส่วนของเมล็ดถั่วดาวอินคา ยังสามารถนำมาคั่วไฟร้อนให้สุกก่อนรับรับประทานเป็นอาหารขบเคี้ยว เนื้อเมล็ดหอม กรอบ และมีรสมันอร่อยคล้ายกับเมล็ดถั่ว และยังนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร อาทิ ซอส ซีอิ้ว เต้าเจี้ยว เป็นต้น รวมถึงแปรรูปเป็นแป้งถั่วดาวอินคาสำหรับใช้ประกอบอาหาร และทำขนมหวาน
สำหรับการเข้ามาของถั่วดาวอินคาในประเทศไทย ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่ที่มีการปลูกกันมากในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา โดยมีผู้ประกอบการรายใหญ่ รายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ถั่วดาวอินคา ไปยังประเทศจีน ชื่อ บริษัท ไทย จีน เอ็นเนอร์จี ประเทศไทย จำกัด ซึ่งเมื่อประมาณ 6 ปีที่ผ่านมา ได้มีการส่งเสริมการปลูกที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 15,000 ไร่ ใน 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ สระแก้ว และร้อยเอ็ด และรับซื้อผลผลิตทั้งหมด แต่ด้วยพื้นที่ภาคอีสาน จะต้องรอน้ำจากน้ำฝนตามฤดูกาล ผลผลิตที่ออกมาจึงไม่ได้มากอย่างที่บริษัทต้องการ เกษตกรจึงถอดใจและเลิกปลูกกันไปบ้าง เหลือพื้นที่ปลูกไม่มาก
ด้วยเหตุนี้เอง “อาจารย์วัลชัย เอื้อเฟื้อ” ทำงานให้กับ บริษัท ไทย จีน เอ็นเนอร์จี ประเทศไทย จำกัด ทำหน้าที่ส่งเสริมเกษตรกรปลูกดาวอินคา เมื่อทำมาได้ระยะหนึ่ง อาจารย์วัลชัย ได้ลาออก และนำประสบการณ์จากการทำงานที่บริษัทดังกล่าว มาส่งเสริมการปลูกถั่วดาวอินคา ในพื้นที่ภาคกลาง และ ได้ใช้ที่ดินของตนเอง ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ทดลองปลูกไปพร้อมกับการส่งเสริมให้กับผู้ที่สนใจ ซึ่งปัจจุบัน เกษตรกรที่อยู่ในเครือข่ายและมีการปลูกดาวอินคา ส่งให้กับอาจารย์วัลชัย นั้นมีอยู่ทั่วประเทศ แต่ที่ได้ผลดีกับเป็นพื้นที่ทางภาคเหนือ
สำหรับพื้นที่ภาคกลาง ที่ปลูกถั่วดาวอินคา ที่อยู่ในเครือข่ายของ อาจารย์วัลชัย มีอยู่ประมาณ 100 ไร่ ในจังหวัดนครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี ซึ่งผลผลิตที่ได้อาจารย์วัลชัย รับซื้อทั้งหมด และนำไปแปรรูป เพื่อส่งออกไปยังประเทศจีน เกาหลี บรูไน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และสวีเดน ซึ่งผลิตภัณฑ์ดาวอินคาที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ มีหลายแบบ เช่น น้ำมันสกัดเย็น ชาใบ และเมล็ดอบแห้ง รวมถึงเครื่องสำอาง ความต้องการในตลาดต่างประเทศ มีสูง ผลผลิตที่ทำได้ในภาคกลาง ในบางช่วงเวลาที่ผลผลิตออกมาน้อย ไม่เพียงพอ ทางอาจารย์วัลชัย จะต้องรับดาวอินคา จากพื้นที่ภาคเหนือ เพราะยังเป็นแหล่งผลิตดาวอินคาที่ได้ผลดี และมีผลผลิตออกมามากกว่าในภาคอื่นๆ
"ในส่วนการทำตลาดในประเทศไทย ยังขยายไม่ได้มาก เนื่องจาก ตลาดหลักของผมยังเป็นตลาดส่งออก และเครือข่ายเกษตรกร ที่เข้าร่วมกับเรา บางส่วนก็ออกไปทำเอง เพราะถ้าแปรรูปได้ และขายเอง จะทำเงินกว่า ดังนั้นการทำตลาดในประเทศของเราจะเป็น การแปรรูป เช่น น้ำมันถั่วดาวอินคา ก็จะเป็นแคปซูล น้ำมันเป็นขวด ชาชงพร้อมดื่มขายส่งโหลละ 100 บาท 12 ขวด ถั่วอบ ชาใบ และ เครื่องสำอาง มีสบู่ ครีมบำรุงผิว ฯลฯ ซึ่งในส่วนการทำตลาดในประเทศ จะให้ลูกสาวเป็นคนดูแล ภายใต้แบรนด์ Sacha M1"
นอกจากนี้ กลุ่มของอาจารย์วัลชัย ได้รับคัดเลือกให้เป็นวิสาหกิจชุมชน แปรรูป ผลิตภัณฑ์ ถั่วดาวอินคา จังหวัดนครปฐม ส่วนเกษตรกรที่สนใจการปลูกถั่วดาวอินคา และต้องการเข้าร่วมเครือข่าย อาจารย์เปิดกว้างรับทั่วประเทศ สามารถขอคำปรึกษา และเข้าร่วมเป็นเครือข่ายได้ โดยไม่ได้มีข้อผูกมัดอะไร เพราะทางกลุ่มของอาจารย์ ยังต้องการผลผลิตอีกจำนวนมาก ขณะนี้ มีผู้ปลูกน้อย ไม่พอต่อการขยายตลาดในต่างประเทศ
ครั้งนี้ มารู้จักกับวิธีการปลูก อาจารย์วัลชัย บอกว่า ถั่วดาวอินคาเป็นพืชที่ปลูกไม่ยาก แต่ปัญหา คือไม่ชอบน้ำมาก ช่วงหน้าฝน ถ้าน้ำระบายไม่ทัน ก็ทำให้ต้นตายได้ และไม่ชอบแล้งจัด ไม่ได้น้ำเลย ต้นก็ตายเช่นกัน อายุการปลูกสั้น เพียง 7-8 เดือน เก็บผลผลิตได้ ซึ่งข้อดีของพืชชนิดนี้ คือ สามารถเก็บขายและทำเงินได้ทุกส่วน
ส่วนการให้ผลผลิต ถั่วดาวอินคา จะให้ผลผลิตมากขึ้น ในปีที่ 2 เป็นต้นไป โดยปีที่ 1 จะเก็บได้ 2-3 รอบ ปีที่ 2 จะเก็บได้ 3-6 รอบ ปีที่ 3 เป็นต้นไป จะเก็บผลผลิตได้ 4-6 รอบ แต่ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา ให้น้ำ ให้ปุ๋ยทางราก ทางใบ และการกำจัดวัชพืช และข้อควรระวัง คือห้ามใช้สารเคมี ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย หรือยาฆ่าแมลงต่างๆ และดูแลระบบการให้น้ำ ต้องเพียงพอ เพราะต้นถั่วดาวอินคาต้องการน้ำแค่ชุมชื้นเท่านั้น ไม่ควรให้น้ำจนเกิดการท่วมขังที่ลำต้น และควรยกร่องให้สูง เพื่อป้องกันน้ำท่วม
ครั้งนี้ เรามาดูรายได้ จากการปลูกพืชชนิดนี้ เป็นการคำนวณจากการปลูกของเกษตรกรที่ได้ผลผลิตที่ดี พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 200-250 ต้น โดย 1 ต้นเก็บผลผลิตได้ 4-5 รอบ จะได้ผลผลิต ประมาณ 10-15 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 30 บาท และ 200 ต้น เท่ากับ 200x10= 2,000 กิโลกรัม 2,000x30= 60,000 บาท ต่อปี ส่วนนี้ยังไม่ใบ ซึ่งเก็บได้ตลอดทั้งปี ตามความเหมาะสม ราคาใบสด กิโลกรัมละ 20 บาท ถึง 30 บาท โดยราคานี้เป็นราคาประกัน 5-7 ปี จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านราคา ส่วนการลงทุนต่อไร่ มีค่าต้นกล้า ต้นละ 20 x200 =4,000 บาท ค่าเสาที่ทำค้าง ต้นละ 60x200=12,000 บาท ค่าลวดประมาณ 1,500 บาท ค่าแรงด้วย รวมประมาณ เกือบ 20,000 บาท ต่อไร่ ซึ่งถ้าผลผลิตปีแรก ออกเพียง 2-3 รอบ เก็บผลผลิตได้ 1,000x30=30,000 บาท รวมขายใบด้วย น่าจะคืนทุนตั้งแต่ปีแรก
อาจารย์วัลชัย บอกว่า ส่วนใหญ่ เครือข่าย เมื่อทำได้ก็มักจะไม่ได้มาส่ง แต่หันมาแปรรูปขายเอง เพราะได้เงินมากกว่า และการแปรรูปถั่วดาวอินคาทำไม่ยาก มีเครื่องจักรมาช่วย ทำให้ทุกคนสามารถทำได้ และที่สำคัญตลาดในประเทศในกลุ่มคนรักสุขภาพ ยังมีความต้องการอีกมาก และผลงานวิจัย รวมถึงผู้ที่เคยรับประทานเห็นผลยิ่งทำให้ความต้องการในกลุ่มคนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพมากขึ้น ไม่เฉพาะในประเทศไทย ต่างประเทศมีความต้องการสูง
สนใจ โทร. 08-7928-2096
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *
