การเล่นเกมคอมพิวเตอร์อาจจะดูเป็นเรื่องไร้สาระในสายตาของใครหลายต่อหลายคน แต่ด้วยความรักและหลงใหลในการเล่นเกมอย่างเข้าเส้นเลือดใหญ่ และที่สำคัญ เข้าอกเข้าใจความต้องการของ “เกมเมอร์” (gammer) ด้วยกันเอง ผลักดันให้ “ปริญญา เผือนพิพัฒน์” พาธุรกิจ‘NADZ Project’ จากร้านค้าเกมเล็กๆ บนออนไลน์ ทะยานสู่เบอร์หนึ่งธุรกิจค้าปลีกค้าส่งอุปกรณ์ “เกมคอมพิวเตอร์” ครบวงจร ที่ปัจจุบันเติบใหญ่มีตัวแทนมากกว่า 200 รายทั่วประเทศ
“ผมชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก และเล่นต่อเนื่องมาจนโต หลังเรียนจบ เข้าทำงานประจำ หารายได้เสริม โดยร่วมกับเพื่อนสนิท (ประชุม สินธรศิริพร) เปิดร้านค้าออนไลน์ www.nadzproject.com ขายเครื่องเล่นเกมและแผ่นเกมลิขสิทธิ์เมื่อประมาณ 12 ปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นผู้บุกเบิกร้านค้าขายเกมบนออนไลน์รายแรกๆ ของเมืองไทย จนเริ่มเป็นที่รู้จักและบอกต่อในหมู่คนรักการเล่นเกมด้วยกัน” ปริญญาเล่าถึงจุดเริ่มต้น
เมื่อลงลึกไปในรายละเอียดถึงสาเหตุที่ทำให้ร้านค้าออนไลน์เล็กๆ แจ้งเกิดขึ้นมาได้นั้น เขาเจาะจงที่สามารถเข้ามาแก้ปัญหาของเกมเมอร์ได้โดนใจ เพราะย้อนกลับเมื่อ10 กว่าปีที่แล้วตลาดค้าขายสินค้าเกี่ยวกับเกมที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุด คือ “สะพานเหล็ก” ซึ่งลูกค้าแทบทุกคนเคยพบปัญหาเจอหลอกขายสินค้าปลอม หรือสินค้าราคาไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับคนขายว่าจะตั้งราคาเท่าไร ในขณะที่ www.nadzproject.com จะขายสินค้าของแท้ถูกลิขสิทธิ์เท่านั้น มีราคาแน่นอนเป็นมาตรฐาน รวมถึงพ่วงบริการหลังการขาย อีกทั้งยังมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่ไม่สะดวกในการเดินทางไปซื้อที่สะพานเหล็กด้วยตัวเอง จึงทดลองสั่งสินค้าทางออนไลน์แทน เมื่อได้รับสินค้าในราคายุติธรรมแถมมีบริการดี ส่งผลให้ร้านออนไลน์ nadzproject ได้กระแสตอบรับดียิ่ง พร้อมเกิดการบอกต่อ ช่วยให้ฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“ผมเริ่มต้นจากวิ่งหาซื้อสินค้าด้วยตัวเองตามแหล่งต่างๆ เพื่อนำไปขายต่อให้แก่ลูกค้า จำได้ว่าสินค้าตัวแรกที่เอามาขายคือ เครื่องเกม PSP ราคา 12,000 บาท ซึ่งจากการบอกต่อของลูกค้าด้วยกันเองทำให้ร้านเรามีความน่าเชื่อถือบนกระทู้และเว็บบอร์ด เนื่องจากลูกค้ากลุ่มเกมเมอร์จะมีสังคมที่ใกล้เคียงกัน หากซื้อร้านไหนแล้วประทับใจจะเกิดการบอกต่อไปยังเพื่อนที่ชื่นชอบเกมแนวเดียวกัน” ปริญญากล่าว
หลังจากเปิดร้านค้าบนออนไลน์อยู่ประมาณ 2 ปี ทำรายได้ทะลุหลักแสนบาทต่อเดือน เขาตัดสินใจออกจากงานประจำมาลุยทำธุรกิจค้าขายอุปกรณ์เกมเต็มตัว ด้วยการเปิดหน้าร้านที่ ‘NADZ Project’ ในสยามสแควร์ ชูจุดขายเป็นศูนย์กลางเพื่อคนรักเกมจะได้มาเลือกหาสินค้าต่างๆ ได้โดยตรง รวมถึงได้พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลในหมู่คนคอเดียวกัน
ปริญญาเผยต่อว่า ธุรกิจของ ‘NADZ Project’ เติบโตได้ดีตามลำดับ ในระยะเวลาประมาณ 5 ปีสามารถขยายสาขาเพิ่มอีก 2 แห่ง กระทั่งถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด เมื่อปี พ.ศ. 2556 ทางผู้ผลิตเกมรายใหญ่ของโลก ค่าย “โซนี่” ออกเครื่อง “PS4” (Play station4) ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่แผ่นก๊อบปี้เถื่อนไม่สามารถเล่นได้กับเครื่องนี้ ต้องใช้แผ่นลิขสิทธิ์เท่านั้น พร้อมมอบหมายให้บริษัทฯ เป็นตัวแทนขายแผ่นซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์เกมที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงรายเดียวในประเทศไทย ช่วยให้ธุรกิจสยายปีก สู่การเป็นผู้ค้าส่งแผ่นเกมให้แก่ตัวแทนขายในไทยทุกช่องทาง นับถึงปัจจุบันมีตัวแทนกว่า 200 รายทั่วประเทศ
ไม่เท่านั้น ยังแตกไลน์ในธุรกิจเกี่ยวเนื่องครบวงจร ภายใต้ N-Group ปัจจุบันมีธุรกิจในเครือ ได้แก่ 1. NADZ ขายส่งปลีกเครื่องเกมทุกคอนโซล และอุปกรณ์เกมทุกประเภท มีหน้าร้านของตัวเอง 5 สาขา ได้แก่ สยามฯ เซ็นเตอร์พอยต์ เซ็นทรัลลาดพร้าว เทอร์มินอล 21 เซ็นทรัลปิ่นเกล้า และเมืองพัทยา 2. NGIN บริษัท เนคท์ เจเนอเรชั่น อินโนเวชั่น จำกัด เปิดมาได้ประมาณ 4 ปี ทำหน้าที่ตัวแทนขายซอฟต์แวร์เกมลิขสิทธิ์ให้แก่ค่ายโซนี่ มีตัวแทนร้านค้ามากกว่า 200 ร้านทั่วประเทศ 3. SOFTZILLA บริษัท ซอฟท์ซิลล่า จำกัด เปิดมาประมาณ 1 ปี เป็นตัวแทนขายแผ่นเกมลิขสิทธิ์ให้แก่ค่ายผู้ผลิตต่างๆ เช่น EA, Bandai Namco, Warner Bros ฯลฯ มีเครือข่ายตัวแทนกว่า 300 ร้านทั่วประเทศ 4. BEYOND MANGA เปิดกิจการมา 1 ปี ดำเนินธุรกิจด้านหนังสือการ์ตูนลิขสิทธิ์ และ5. Vaaluu gameXchange ดำเนินธุรกิจมา 1 ปี มุ่งจัดจำหน่ายแผ่นเกมมือสอง
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทฯ เมื่อปีที่แล้ว (2559) อยู่ที่หลักร้อยล้านบาท นับเป็นผู้ประกอบการที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในกลุ่มธุรกิจค้าส่งค้าปลีกอุปกรณ์เกมของเมืองไทย โดยผลิตภัณฑ์ที่แต่ละปีจะนำเข้ามาขายรวมกว่า 100 รายการ หลักๆ คือ เครื่องเล่นเกม อุปกรณ์เสริม และแผ่นเกม นอกจากนั้นเสริมด้วย สินค้าที่ระลึก และของสะสมต่างๆ จากเกมฮิต โดยสัดส่วนรายได้มาจากการทำตลาดค้าส่ง และค้าปลีกอย่างละครึ่ง
ผู้บริหารหนุ่มฉายภาพรวมของตลาดเกมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในเมืองไทย เมื่อปีที่แล้ว (2559) มีมูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านต่อปี แบ่งเป็นเกมบนเครื่อง PC ประมาณ 5,000 ล้านบาท เกมบนมือถือประมาณ 3,000 ล้านบาท และเกมบนเครื่องเล่นคอนโซล (Game Console) ประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มหลักสุดถือเป็นลูกค้าหลักของ NADZ Project โดยพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นคนเล่นเกมอย่างจริงจัง ยอมใช้จ่ายสูง และต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่น บริการหลังการขายที่ดี และคำปรึกษาต่างๆ อย่างใกล้ชิด เป็นต้น หากสามารถตอบความต้องการต่างๆ ได้ดีแล้ว ลูกค้ากลุ่มนี้จะกลายเป็นขาประจำที่ซื้อสินค้าซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างต่อเนื่อง
“เกมเมอร์จะมี Passion หรือความหลงใหลในสิ่งที่ตัวเองรักหรือชอบสูงมาก ดังนั้น การทำธุรกิจเพื่อเกมเมอร์ต้องสามารถตอบ Passion ได้มากที่สุด เช่น เกมเมอร์จะต้องการซื้อสินค้าในวันแรกที่เริ่มออกสู่ตลาด หรืออยากได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งเราก็พยายามจัดบริการไว้ตอบสนอง เช่น หากสินค้ามีปัญหาเปลี่ยนได้ใน 7 วัน มีระบบสมาชิกสะสมแต้ม และจัดโปรโมชันร่วมกับบัตรเครดิต KTC เป็นต้น ซึ่งลูกค้าของผมส่วนใหญ่เราจะเติบโตมาด้วยกัน ซื้อประจำตั้งแต่ยังเรียนหนังสือจนทำงานแล้วก็ยังใช้บริการต่อเนื่อง และด้วยความที่ผมเป็นเกมเมอร์เหมือนกัน ก็จะเข้าใจหัวอกของเกมเมอร์ด้วยกันว่าเขาต้องการอะไร สามารถจะบริการได้ถูกต้องโดนใจที่สุด” เจ้าของธุรกิจเผย และเล่าต่อว่า
หนึ่งในความท้าทายของธุรกิจ คือ ต้องคาดเดาความต้องการของลูกค้าได้ถูกต้องแม่นยำที่สุด เนื่องจากการนำเข้าสินค้าทั้งหมดจะใช้วิธี “ซื้อขาดจ่ายสด” และผลกำไรที่เกิดจากส่วนต่างราคาค่อนข้างน้อย จำเป็นต้องเน้นขายในปริมาณมากๆ หากนำเข้าสินค้ามาแล้วขายไม่หมด จะตามมาด้วยปัญหาสินค้า “ค้างสต๊อก” ทำให้เงินทุนจม
“ก่อนจะนำเข้าสินค้าใดๆ มาก็ตามผมจะพยายามศึกษาความต้องการของลูกค้าล่วงหน้า ซึ่งปัจจุบันสื่อออนไลน์มีส่วนอย่างมาก ที่เราสามารถเข้าดูความคิดเห็นตามกระทู้และบอร์ด หรือโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับเกม เพื่อตรวจสอบกระแสตลาด และอ่านใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะคาดการณ์ได้ถูกต้อง แต่ก็ยอมรับว่ามีประมาณ 10% ที่คาดผิดพลาด สินค้าขายไม่ออก สุดท้ายก็ต้องยอมนำมาลดราคาล้างสต๊อก” ปริญญาระบุ
ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจของทั้งในและต่างประเทศโดยรวมที่ชะลอตัว ทว่า สำหรับตลาดเกมแล้วกลับเติบโตได้ดี เขาแจงเหตุผลเกิดจากไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่มีความต้องการความบันเทิงเพื่อผ่อนคลายความเครียด ซึ่งการเล่นเกมเป็นความบันเทิงที่จับต้องได้ง่าย ใกล้ตัว ความนิยมจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตหลายเกมจะถูกสร้างมาจากภาพยนตร์เรื่องดังของฮอลลีวูด แต่ปัจจุบันกลับมาเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่องสร้างมาจากเกมยอดฮิต สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้เล่นเกมในเมืองไทย ที่เดิมจะใช้จ่ายในการซื้อแผ่นเกมประมาณ 1 แผ่นต่อ 1-2 เดือน แต่ปัจจุบันซื้อเฉลี่ย 2 แผ่นต่อ 1 เดือน นอกจากนั้นยังเกิดอาชีพใหม่ที่เชื่อมโยงกับการเกม ไม่ว่าจะเป็น “ผู้รีวิวเกม” หรือการจัดกิจกรรมแต่งคอสเพลย์ตามตัวละครในเกม เหล่านี้สะท้อนว่าตลาดเกมกำลังอยู่ในขาขึ้น รวมถึงอีกไม่นานค่ายผู้ผลิตเกมจะมีเวอร์ชันรองรับคำสั่งเป็นภาษาไทยด้วย เชื่อว่าเมื่อถึงจุดนั้นตลาดเกมในเมืองไทยจะยิ่งเติบโตมากยิ่งไปอีก
จากความหอมหวานของตลาดเกมคอมพิวเตอร์ ทำให้ทุกวันนี้มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นขนาดธุรกิจใกล้เคียงกันประมาณ 10 ราย และรายย่อยรวมกันแล้วกว่า 250 ราย ดังนั้น แผนธุรกิจของ NADZ Project มุ่งรักษาตำแหน่งเบอร์หนึ่งในวงการ พยายามรักษาฐานลูกค้าด้วยการสร้างมาตรฐานที่ลูกค้าไว้วางใจ ผ่านการคัดสรรสินค้าดีมีคุณภาพ ราคายุติธรรม ควบคู่มีบริการประทับใจ
ส่วนเป้าหมายธุรกิจในระยะยาว ต้องการจะเป็นสัญลักษณ์แห่งผู้นำตลาดเกมครบวงจร ให้ลูกค้าจดจำว่ามาร้าน NADZ Project สามารถตอบได้ทุกความต้องการในจุดเดียว และจะพยายามนำเกมเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ให้มากที่สุดเพื่อขยายฐานลูกค้า จากที่ผ่านมามุ่งเน้นเฉพาะกลุ่มเกมเมอร์ ข้ามไปสู่ตลาดคนทั่วไปที่เล่นเกมเพื่อความสนุกสนานเป็นครั้งคราว ผ่านรูปแบบเกมบนสมาร์ทโฟนที่เชื่อว่าตลาดจะเติบโตอีกมหาศาล
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *