อีกเพียงแค่ไม่กี่ปี “กษิดิฐ สมแดง” จะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จากสถาบันการศึกษาชั้นนำแห่งหนึ่งของประเทศ แต่เขากลับเลือกจะลาออก เพื่อจะมาประกอบการอาชีพขาย “เต้าฮวยมะพร้าวอ่อน” หารายได้ช่วยทางบ้านที่กำลังประสบวิกฤตทางการเงินอย่างรุนแรง
เส้นทางที่เลือก เต็มไปด้วยความเสี่ยง และถูกคัดค้านจากคนรอบข้าง แต่ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า โดยมีเป้าหมายต้องการล้างหนี้ให้ครอบครัวเป็นเส้นชัย ประกอบกับพัฒนาสูตรและสร้างมาตรฐานสินค้าได้โดนใจตลาด ส่งให้วันนี้ หนุ่มคนดังกล่าว ในวัยเพียง 25 ปี ขึ้นแท่นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่มีโรงงานผลิตขนมเต้าฮวยมะพร้าวอ่อนของตัวเอง ภายใต้แบรนด์ “เต้าฮวยโตโต้” สามารถวางตลาดไปทั่วประเทศ สร้างรายได้หลักล้านบาทต่อปี และที่สำคัญ กลายเป็นธุรกิจที่สร้างความมั่นคง และภาคภูมิใจให้แก่ตัวเขาและครอบครัวอย่างยิ่ง
กษิดิฐ เล่าย้อนจุดเริ่มต้น เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว หรือราว พ.ศ.2555 กำลังเรียนอยู่ชั้นปี 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พ่อและแม่ซึ่งอยู่ที่ จ.เชียงราย ประสบปัญหาทางการเงินพร้อมๆ กัน เกิดเป็นหนี้หลายล้านบาท ซึ่งถือเป็นภาระหนักหนามากสำหรับครอบครัวชนชั้นกลางอย่างบ้านเขา เวลานั้นจึงพยายามหารายได้ช่วยล้างหนี้ทุกทาง ทั้งรับจ้างสอนพิเศษ และเป็นตัวแทนขายประกัน
อย่างไรก็ตาม รายได้ยังไม่มากเพียงพอที่จะช่วยแบ่งเบาภาระให้แก่พ่อแม่ตามต้องการ สถานการณ์ดังกล่าว ลุกลามจนไม่มีสมาธิจะเรียนหนังสืออีกต่อไป จึงตัดสินใจทำเรื่องขอพักการเรียน 1 ปี เพื่อจะทำมาหากิน โดยไม่ได้บอกทางบ้านด้วยซ้ำ อาศัยหยิบยืมเงินจากญาติ จำนวน 1 แสนบาท เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
แม้จะมีความตั้งใจเกินร้อย แต่ด้วยประสบการณ์ที่อ่อนด้อย อาชีพขายก๋วยเตี๋ยวไม่ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความล้มเหลวที่เกิดขึ้น กลับได้พบโอกาสเล็กๆ ที่ในเวลาต่อมาจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิต เนื่องจากในร้านก๋วยเตี๋ยวจะทำ “เต้าฮวยมะพร้าวอ่อน” ขายควบคู่อยู่ด้วย ซึ่งเป็นสูตรที่ศึกษาจากตำราและอินเตอร์เน็ต แล้วนำมาประยุกต์เกิดเป็นสูตรของตัวเอง ใครได้ชิมต่างติดใจ ขายดีกว่าก๋วยเตี๋ยวเสียอีก ทว่า หากเวลานั้น ยังไม่ได้หยิบมาทำขายอย่างจริงจัง เพราะแม่และญาติมาขอร้องให้กลับไปเรียนหนังสือต่อเสียก่อน
กษิดิฐ เล่าต่อว่า หลังกลับมาเรียนที่กรุงเทพฯ ขึ้นชั้นปี4 สถานการณ์ทางการเงินของครอบครัวยังอยู่ในภาวะย้ำแย่เช่นเดิม ในหัวสมองจึงวนเวียนคิดแต่จะหาช่องทางสร้างรายได้มาปลดหนี้ กระทั่งเกิดเหตุการณ์คุณตาเสียชีวิต จำเป็นต้องเดินทางกลับบ้านเกิด จ.เชียงราย อีกครั้ง ซึ่งการไปครั้งนี้ ทำให้ชีวิตพลิกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“ในงานศพของคุณตา ผมทำขนมเต้าฮวยมะพร้าวอ่อนสูตรที่เคยทำขายในร้านก๋วยเตี๋ยว เลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน ผลปรากฏว่า แทบทุกคนชื่นชอบอย่างมาก หลายคนสนใจเข้ามาสอบถามว่าซื้อหาจากที่ใด เมื่อผมตอบว่าทำเอง จึงเกิดการเจรจาติดต่อให้ทำไปส่งขายตามร้านค้าต่างๆ เริ่มจาก 1 ร้าน จากนั้นเกิดการบอกต่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็น 10 กว่าร้าน” เขา เผยและเล่าต่อว่า
“เบื้องต้น ใช้วิธีให้แม่เป็นคนดูแลการผลิตอยู่ที่ จ.เชียงราย ส่วนผมกลับมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ แต่เนื่องจากผมไม่ได้คุมการผลิตเองอย่างใกล้ชิดทำให้รสชาติขนมเพี้ยน ประกอบกับเริ่มมีออเดอร์มากขึ้น จำเป็นต้องมีคนบริหารจัดการอย่างเต็มเวลา ผมเลยตัดสินใจลาออกเพื่อจะมาทำอาชีพนี้อย่างจริงจัง ซึ่งแม่และญาติทุกคนต่างคัดค้าน เกิดทะเลาะกันทางความคิดอย่างรุนแรง แต่ผมก็คิดว่า ใบปริญญาตรีไม่สำคัญเท่าครอบครัว ถ้าผมเรียนจบปริญญา แต่พ่อแม่ต้องลำบาก มันก็ไม่มีประโยชน์ บางคนก็แนะนำว่า รออีกแค่ปีเดียวก็เรียนจบแล้ว ค่อยออกมาทำก็ได้ แต่สำหรับผม ปล่อยให้พ่อแม่ต้องลำบากแค่วันเดียวก็นานเกินไปแล้ว ดังนั้น สำหรับผมมันคุ้มค่าที่จะทิ้งใบปริญญาเพื่อจะได้กลับมาช่วยครอบครัว” หนุ่มไฟแรงสะท้อนแนวคิดอย่างตรงไปตรงมา
หลังออกมาลุยธุรกิจเต็มตัว กษิดิฐในวัยเพียงยี่สิบต้น ตระเวนวิ่งส่งเต้าฮวยมะพร้าวอ่อน ภายใต้แบรนด์ “เต้าฮวยโตโต้” ตามร้านค้า ร้านอาหาร และตัวแทนต่างๆ เริ่มจากในท้องถิ่น จ.เชียงราย ซึ่งกิจการดำเนินไปด้วยดี จากยอดขายหลักหมื่นบาทต่อเดือน หลังผ่านพ้นไป 1 ปีขยับมาเป็นหลักแสนบาทต่อเดือน รวมถึง ได้รับการติดต่อสั่งซื้อจากจังหวัดรอบๆ และประเทศเพื่อนบ้านให้นำสินค้าไปส่งขายอีกจำนวนมาก
เมื่อมีออเดอร์มารอเข้าคิวอยู่แล้ว จำเป็นต้องหา“เงินทุน” เพื่อขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ แต่ด้วยอายุที่น้อยมาก ทุกครั้งเมื่อไปติดต่อสถาบันการเงินเพื่อขอสินเชื่อ จะถูกปฏิเสธ หรือถ้าจะอนุมัติให้ได้ ต้องมี “หลักทรัพย์” มาค้ำประกัน ซึ่งสำหรับเด็กหนุ่มเช่นเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีที่ดิน หรือสิ่งปลูกสร้าง มาใช้ค้ำประกัน อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับคำแนะนำให้รู้จัก “บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม” (บสย.) เพื่อมาทำหน้าที่ค้ำประกันสินเชื่อแทน โดยไม่ต้องใช้หลักประกันอื่นเลย ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการใหม่ (Start-Up) ช่วยให้ได้รับอนุมัติเงินทุนนำไปขยายธุรกิจได้สำเร็จ
ทั้งนี้ สินเชื่อแรก มูลค่า 6 แสนบาท ใช้ซื้อเครื่องจักร และปรับปรุงโรงงาน สามารถขยายกำลังผลิตส่งให้จังหวัดรอบๆ ได้ ผลักดันยอดขายเติบโตนับเท่าตัว และหลังจากนั้น ขอสินเชื่อเพิ่มอีก 6 ล้านบาท โดยใช้บริการ บสย.ค้ำประกันต่อเนื่องเช่นเดิม เพื่อขยายโรงงาน และปรับปรุงมาตรฐานผ่านเกณฑ์ระดับส่งออก รวมถึง สร้างศูนย์กระจายสินค้าที่กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ สามารถส่งสินค้าไปขายได้ทั่วประเทศ
“กลไกการค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอีของ บสย. มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะสำหรับคนเริ่มต้นธุรกิจ ช่วยให้คนมีแนวคิดธุรกิจดีๆ แต่ไม่มีทุน สามารถสร้างฝันให้เป็นจริงได้ ไม่เช่นนั้น ถึงคุณจะเจ๋งแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีทุน มันก็จบ อย่างตัวผม อายุแค่ยี่สิบต้นๆ จะขอกู้เงินเป็นล้าน ถ้าไม่มี บสย.มาทำหน้าที่ค้ำประกันแทน ไม่มีทางเข้าถึงแหล่งทุนเลย” กษิดิฐ ระบุ
สำหรับเต้าฮวยมะพร้าวอ่อน แบรนด์ “เต้าฮวยโตโต้” นั้น จุดเด่นอยู่ที่สูตรเข้มข้น ใช้วัตถุดิบคุณภาพดีที่สุด อย่าง “มะพร้าวน้ำหอม” เจาะจงต้องมาจาก “บ้านแพ้ว” จ.สมุทรสาคร อีกทั้ง ไม่ใส่ส่วนผสมของนมและกะทิ ราคาถ้วยละ 35 บาท กลุ่มลูกค้าหลักอยู่ที่วัยทำงาน นอกจากนั้น มีเต้าฮวยนมสด มุ่งสำหรับลูกค้าวัยรุ่น ราคาถ้วยละ 15 บาท ส่วนช่องทางตลาด ผ่านตัวแทนกว่า 50 จุดทั่วประเทศ เช่น ร้านอาหาร ร้านโชวห่วย แม็กซ์แวลู และเครือเดอะมอลล์ เป็นต้น นอกจากนั้น ได้รับคัดเลือกเป็นสินค้าโอทอป 5 ดาวประจำ จ.เชียงราย ทำให้ได้รับโอกาสออกงานแสดงสินค้าชุมชนต่างๆ อีกด้วย
ผู้ประกอบการหนุ่มวัย 25 ปี เผยต่อว่า ปัจจุบัน ธุรกิจมีแรงงานประมาณ 10 คน กำลังผลิตประมาณ 3พันถึง6พันถ้วยต่อวัน มียอดขายยังไม่หักค่าใช้จ่ายต่างๆ ประมาณ 5แสนถึง 1 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนแผนธุรกิจต่อไป เตรียมจะออกสินค้าขนมชนิดใหม่ๆ และขยายช่องทางตลาดวางในร้านสะดวกซื้อเจ้าดัง และส่งออกต่างประเทศ โดยกำหนดวิสัยทัศน์ในอีก 10 ปีข้างหน้า จะสร้างแบรนด์ “โตโต้” ให้เป็นที่รู้จักและจดจำในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านขนมไทยสำเร็จรูปครบวงจร
จากการคัดค้านของคนรอบตัว เมื่อตอนตัดสินใจบอกลาชีวิตวัยเรียน คณะวิศวกรรมศาสตร์ ชั้นปี4 วันนี้ กษิดิฐ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เส้นทางที่เลือกถูกต้อง เพราะเขาใช้เวลาหลังเข้ามาทำธุรกิจเต็มตัว เพียง 2 ปี สามารถปลดหนี้ให้ครอบครัวได้หมดสิ้น แถมยังปลูกบ้านหลังใหม่ให้แก่พ่อแม่ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนรุ่นใหม่รายอื่นๆ ที่กำลังคิดตัดสินใจออกมาทำธุรกิจส่วนตัวบ้าง เขาแนะนำว่าควรเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อน เพราะในความเป็นจริง โอกาสที่จะสำเร็จย่อมมีน้อยกว่าล้มเหลวมาก และไม่ใช่ทุกรายที่เมื่อล้มแล้วจะมีโอกาสลุกยืนขึ้นใหม่ได้
“คนที่จะทำธุรกิจ ควรเตรียมพร้อมในทุกด้าน โดยเฉพาะมีความรู้ และมีแผนธุรกิจอย่างชัดเจน ถ้าเริ่มต้นจากแค่ “ใจ” อย่างเดียว โอกาสล้มจะสูงมาก เปรียบเป็นนักมวย ก็เป็นประเภทมีไฟมีแรง แต่ไม่มีเชิง โอกาสจะโดนต่อยน็อคก็ง่าย เพราะออกแรงมากแต่ได้กำไรน้อย มันก็เหนื่อยเปล่า อย่างตัวผมเอง ตอนเริ่มก็ใช้แค่ใจนำ เลยมีความเสี่ยงสูงมาก ต้องลองผิดลองถูกทั้งหมด ยังโชคดีที่ผ่านปัญหามาได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีแบบผม ดังนั้น อยากให้เตรียมตัวจนพร้อมเสียก่อน และที่สำคัญ เมื่อคิดแล้ว ก็ต้องลงมือทำ อาจจะเริ่มจากเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยขยายให้ใหญ่ขึ้น” หนุ่มวัย 25 ปีกล่าวทิ้งท้าย
ด้วยความขยันทุ่มเทเกินร้อย โดยมีครอบครัวเป็นแรงผลักดัน ประกอบกับกลไกค้ำประสินเชื่อจาก บสย. ช่วยเข้าถึงแหล่งทุน ส่งให้สินค้าเต้าฮวยมะพร้าวอ่อนจากผู้ประกอบการหนุ่มวัย 25 ปีขึ้นแท่นเป็นธุรกิจเงินล้านได้สำเร็จอย่างน่าชื่นชม
โทร.091-737-1695
บทความโดย : บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *