เศรษฐกิจของประเทศ จะเติบโตและแข็งแรงอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องเกิดจากธุรกิจขนาดกลางและเล็ก หรือ “เอสเอ็มอี” ที่มีอยู่จำนวนมาก มีศักยภาพสูง สามารถผนึกกำลังเป็นรากฐานในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจได้ นี่เป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนรับรู้กันเป็นอย่างดี
ทว่า ในความเป็นจริง เอสเอ็มอีกลับยากจะเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน เพราะขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้หลายธุรกิจที่มีศักยภาพ พลาดโอกาสแจ้งเกิด บางรายถึงขั้นปิดตัวลงไป ดังนั้น เพื่อจะแก้ปมดังกล่าว “บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม” (บสย.) จึงถูกจัดตั้งขึ้น ภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง เพื่อเป็นกลไก “ค้ำประกันสินเชื่อ” ให้กับเอสเอ็มอี
นับถึงปัจจุบัน บสย.ปฏิบัติหน้าที่มาครบ 25 ปีแล้ว เรื่องราวที่ผ่านมาและก้าวที่กำลังจะเป็นไป ล้วนเป็นสิ่งน่าสนใจให้ควรติดตาม ในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเอสเอ็มอี และเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
@@@ ปรับตัวต่อเนื่อง ตรงใจเอสเอ็มอี สอดคล้องสถานการณ์ @@@
นายนิธิศ มนุญพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ย้อนที่มาของ บสย.ให้ฟังว่า เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535 หรือ 25 ปีที่แล้ว โดยมีภารกิจหลักเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง “ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี” กับ “สถาบันการเงิน” ด้วยการเข้ามาทำหน้าที่ “ค้ำประกันสินเชื่อ” ให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งจะเกิดประโยชน์ทั้งสองส่วน กล่าวคือ ผู้ประกอบการได้รับเงินทุน ส่วนสถาบันการเงินเกิดความมั่นใจในการอนุมัติสินเชื่อ
ทั้งนี้ ในด้านการทำงาน บสย. มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องและตรงความต้องการของเอสเอ็มอีมากที่สุด รวมถึง เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในยุคนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ในช่วงเริ่มแรก กระบวนการพิจารณาค้ำประกันมีรายละเอียดหลายขั้นตอน แต่พนักงานมีแค่หลักสิบคน ทำให้บริการได้ไม่ทันต่อความต้องการของเอสเอ็มอี อย่างไรก็ตาม ด้วยความพยายามพัฒนาและปรับตัวตลอดเวลาในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการ ผลิตภัณฑ์การค้ำประกันสินเชื่อ และรูปแบบการค้ำประกันสินเชื่อ ทำให้บทบาทของ บสย.เริ่มชัดเจน และเป็นที่รู้จักมากขึ้นตามลำดับ
@@@คลอดโมเดลค้ำประกัน PGS จุดเปลี่ยนเติบโตก้าวกระโดด @@@
หัวเรือใหญ่ บสย. ระบุด้วยว่า จุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้การทำงานของ บสย. พลิกบทบาทไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เกิดขึ้นใน พ.ศ.2552 เมื่อมีการคิดค้นการให้บริการค้ำประกันสินเชื่อโมเดลใหม่ ที่นำข้อดี และความสำเร็จจากการค้ำประกันในประเทศต่างๆ มาปรับให้เหมาะกับบริบทสภาพเศรษฐกิจ สถานการณ์ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ตลอดจนนโยบายด้านสินเชื่อของสถาบันการเงิน และมาตรการภาครัฐของไทยเอง เกิดเป็นโมเดลค้ำประกันสินเชื่อ Made in Thailand ภายใต้ชื่อโครงการ “Portfolio Guarantee Scheme” หรือ PGS
“เดิมการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่สถาบันการเงินใดๆ ก็ตาม หากเกิดความเสียหายขึ้น บสย.จะจ่ายเต็มแทนทุกกรณี ซึ่งวิธีดังกล่าว ทำให้ บสย.ต้องแบกรับความเสี่ยงมากเกินไป ดังนั้น ได้คิดโมเดลใหม่ ที่ บสย.ไม่ต้องรับภาระความเสี่ยงเกินไป ขณะเดียวกัน สามารถพาให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ด้วย” เขา กล่าว และอธิบายต่อว่า
โมเดลใหม่นี้ จากเดิมหากเกิดเป็นหนี้เสีย จะจ่ายชดเชย 100% ปรับมาจำกัดการชดเชยเหลือเพียง 20-25% ในปัจจุบัน ซึ่งกลไกนี้ ช่วยให้ขยายการค้ำประสินเชื่อให้แก่เอสเอ็มอีได้จำนวนเพิ่มขึ้น แต่ความเสี่ยงที่จะเป็นหนี้เสียยังถูกจำกัดอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นตามจำนวนฐานลูกค้า
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ นำมาสู่การช่วยเหลือเอสเอ็มอีได้เต็มศักยภาพ ตอบโจทย์แผนงานและนโยบายของรัฐบาลในแง่ส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง ตอบโจทย์สถาบันการเงิน กล้าอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น ส่งให้ยอดค้ำประกันสินเชื่อ บสย. เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากช่วง 18 ปีแรกที่ บสย.ก่อตั้ง (ก่อนปรับมาใช้การค้ำประกันในรูปแบบ PGS) มียอดค้ำประกันสินเชื่อสะสมรวม 44,000 ล้านบาท โดยปีที่มียอดค้ำประกันฯ สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท แต่หลังจากนำรูปแบบ PGS มาใช้ในปีพ.ศ. 2552 ตัวเลขค้ำประกัน เฉพาะปีดังกล่าวเพิ่มขึ้น เป็น 20,000 ล้านบาท และไต่ระดับการค้ำประกันเพิ่มขึ้นทุกปี จนถึงสิ้นปี 2559 มียอดค้ำประกันเกือบ 90,000 ล้านบาท และมียอดค้ำประกันสินเชื่อสะสมตั้งแต่ก่อตั้ง บสย.528,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 12 เท่า นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการค้ำประกัน
นอกจากนั้น ทีมงานจากยุคเริ่มหลักสิบเพิ่มมาเป็นหลักร้อย รวมถึง เพิ่มขีดความสามารถด้านบริการ ช่วยให้เอสเอ็มอีได้รับสินเชื่อรวดเร็วทันต่อความต้องการ จากอดีตกว่าจะผ่านพิจารณาใช้เวลาเป็นเดือน ทุกวันนี้ เหลือเพียงแค่ 3 วันทำการเท่านั้น
“โมเดลค้ำประกันสินเชื่อ PGS ที่เราคิดขึ้น มีความแตกต่างจากการค้ำสินเชื่อในต่างประเทศ โดยจุดเด่น คือ ให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความเสี่ยงน้อย จนกลายเป็นต้นแบบให้แม้แต่ประเทศชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น หรือเกาหลี ที่มีกระบวนการค้ำประกันสินเชื่อมาก่อนเมืองไทย ยังติดต่อเข้ามาศึกษาโมเดลการค้ำประกันของ บสย. เพื่อจะนำไปประยุกต์ใช้ในการให้บริการแก่เอสเอ็มอีในประเทศของเขาบ้าง” กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. ระบุ
@@@ ลุยบริการเอสเอ็มอีทุกกลุ่ม มุ่งขยายค้ำกลุ่ม Non Bank @@@
ทั้งนี้ แนวทางการทำงานของ บสย.ในยุคปัจจุบันนั้น จะมุ่งมั่นบริการค้ำประสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ได้ครอบคลุมทุกกลุ่มมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่ รายกลาง กลุ่มส่งออก หรือแม้แต่รายเกิดใหม่ อย่าง Start-up ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะเน้นระดับ “รายย่อย” มากเป็นพิเศษ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุนเศรษฐกิจจากระดับฐานราก และลดการพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ โดยในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา บสย.ได้ออกผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อเพื่อรายจิ๋ว เช่น “โครงการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย” หรือ รู้จักในชื่อ “ค้ำประกัน Micro Entrepreneur” ซึ่งปัจจุบัน บสย. สามารถค้ำประกันลูกค้ารายย่อยได้มากกว่า 100,000 รายผ่านโครงการนี้
นอกจากนั้น บสย.มุ่งประสานสถาบันการเงินต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยลงนามบันทึกเป็นพันธมิตรกับ 19 แห่ง เพื่อให้ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้สอดรับใช้บริการค้ำประกันของ บสย.ได้ด้วย ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากและง่ายขึ้น ตัวอย่างความร่วมมือที่ผ่านมา เช่น โครงการ “สินเชื่อประชาชนสุขใจ” ของธนาคารออมสิน ช่วยเหลือกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ารายเล็กๆ โครงการ “สินเชื่อ 1 ตำบล 1 SME เกษตร” ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มุ่งสนับสนุนกลุ่มเกษตรกร และล่าสุด โครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.หรือ SME Development Bank) เป็นต้น
“เราพยายามจะคุยกับทุกธนาคารว่า ให้ช่วยออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้สอดรับกับการค้ำประกันของ บสย. ซึ่งประโยชน์จะตกแก่ตัวผู้ประกอบการ สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ ในขณะเดียวกัน ทางธนาคารก็สามารถอนุมัติสินเชื่อได้ตามเป้าที่วางไว้” นายนิธิศ กล่าว
อีกทั้ง กำลังจะขยายการค้ำประกันสินเชื่อไปสู่กลุ่ม “Non Bank” ที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยจริงๆ และมีจำนวนมาก ซึ่งเดิมคนกลุ่มนี้แทบไม่สามารถเข้าสู่สินเชื่อในระบบได้เลย โดยความคืบหน้า ณ ปัจจุบัน อยู่ในขั้นตอนการปรับแก้กฎหมายให้สามารถค้ำประกันได้ เชื่อว่า จะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ (2560) เปิดทางให้บริการค้ำประกันของ บสย. ครอบคลุมแก่ผู้ประกอบการทุกกลุ่มอย่างสมบูรณ์
@@@จากเบื้องหลังสู่เบื้องหน้า ขยายบทบาทให้ต้องรู้จัก @@@
นายนิธิศ เผยด้วยว่า ที่ผ่านมา บสย.ดำเนินงานอยู่ในฐานะผู้ปิดทองหลังพระ คอยผลักดันให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุน อย่างไรก็ตาม โฉมใหม่ของ บสย.ในวาระครบรอบ 25 ปี จะพาตัวเองมาอยู่หน้าฉาก ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสาธารณะชนทั่วไป รู้จักบทบาทและหน้าที่มากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลให้การเข้ามาใช้บริการมากขึ้นตามไปด้วย
“จากการสำรวจการรับรู้ของประชาชนทั่วไป ต่อ บสย. ที่ผ่านมา ผลออกมาชัดเจนว่า บทบาทของเราถูกขยายการรับรู้ในวงกว้างขึ้นอย่างชัดเจน และมีส่วนให้การเข้าถึงสินเชื่อของเอสเอ็มอีเพิ่มตามไปด้วย เพราะยิ่ง บสย.เป็นที่รับรู้ในวงกว้างมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งจะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ที่ทำธุรกิจอยู่แล้ว หรือคนมีฝันกำลังอยากจะทำธุรกิจของตัวเอง ตัดสินใจในการลงทุนหรือขยายธุรกิจมากขึ้นหรือเร็วขึ้น เพราะเขารู้แล้วว่า ปัจจุบัน คนตัวเล็กๆ ถ้ามาใช้บริการ บสย. การจะเข้าถึงแหล่งทุนในระบบสถาบันการเงิน ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป” แม่ทัพ บสย. เผย
ทั้งนี้ กระบวนการนำเสนอบทบาทให้รู้จักสู่วงกว้างนั้น มีทั้งทำสื่อประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ วิทยุ และเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย รวมถึง ทำกิจกรรมอบรมความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงการออกงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้อง เช่น ล่าสุด มหกรรมการเงิน Money Expo 2017 ณ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 11-14 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อแนะนำบริการ และให้คำปรึกษาการเข้าถึงแหล่งทุน เป็นต้น
@@@ เผยแผนครึ่งปีหลัง นำระบบ ELG เข้าเสริมทัพ @@@
ด้านแผนการทำงานในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ เขา อธิบายว่า มุ่งยกระดับกระบวนการทำงานให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยนำระบบออนไลน์มาเสริมประสิทธิภาพ เช่น กระบวนการออก “หนังสือค้ำประกัน” หรือ LG (Letter of Guarantee) ให้แก่ธนาคารต่างๆ ปัจจุบัน ใช้วิธีส่งเป็นเอกสาร มีระยะเวลาดำเนินงานประมาณ 3 วัน แต่ต่อไปจะเปลี่ยนมาใช้ระบบ “Electronic Letter of Guarantee” หรือ ELG โดยส่งหนังสือค้ำประกันที่ผ่านการพิจารณาแล้วทางออนไลน์ ซึ่งธนาคารสามารถพิมพ์ออกมาใช้งานได้ทันที วิธีนี้จะช่วยลดเวลาการทำงานลงอีกอย่างน้อย 1-2 วัน ช่วยให้เอสเอ็มอีได้เงินทุนเร็วขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนั้น จะวางโมเดลเพื่อรองรับการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่กลุ่ม Non Bank เมื่อกฎหมายผ่านการพิจารณาก็สามารถจะลงมือทำงานได้ทันทีโดยไร้รอยต่อ
ตลอด 25 ปี บสย. ได้ทำหน้าที่ในฐานะเครื่องมือของรัฐ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยการค้ำประกันสินเชื่อช่วยให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุน ก่อให้เกิดสินเชื่อหมุนเวียนในระบบกว่า 900,000 ล้านบาท มีการอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อรวมมากกว่า 600,000 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน LG (หนังสือค้ำประกัน) ที่อนุมัติกว่า 300,000 ฉบับ ส่วนเป้าหมายในการค้ำประสินเชื่อในปี 2560 คาดว่าจะมียอดค้ำประกันไม่ต่ำกว่า 102,500 ล้านบาท
@@@ ก้าวต่อไปของ บสย. เติม “ความรู้” คู่ “เอสเอ็มอี” @@@
ส่วนทิศทางต่อจากนี้ นายนิธิศ ระบุว่า นอกเหนือจากภารกิจหลักด้านค้ำประกันสินเชื่อเพื่อเอสเอ็มอีที่ถือเป็นกระดูกสันหลังที่ต้องสานต่อและต่อยอดให้ดียิ่งขึ้นไปแล้ว บสย.จะขยายบทบาทสร้างศักยภาพให้แก่เอสเอ็มอี ด้วยการเติม“ความรู้” ทั้งด้านการเงิน รวมถึง ความรู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น การตลาด การบริหารธุรกิจ เป็นต้น
“เรามองว่า ถ้าจะแค่ค้ำประกันสินเชื่อเพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุน คงจะไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะถ้ามีแค่เงิน แต่ขาดความรู้ สุดท้ายในระยะยาว ธุรกิจจะเติบโตได้ยาก และอาจจะกลายเป็นหนี้เสียในที่สุด”
นี่เป็นภาพที่อยากจะเห็น และต้องเกิดขึ้นจริงให้ได้ ภายในไม่เกินอีก 5 ปีข้างหน้า ต่อไปเมื่อนึกถึง บสย. จะไม่ใช่เพียงแค่หน่วยงานช่วยค้ำสินเชื่อเท่านั้น แต่อยากให้รู้จักและจดจำในฐานะผู้ช่วยเอสเอ็มอีให้เข้าถึงแหล่งทุนและได้รับความรู้ควบคู่ไปด้วย
แม้เป้าหมายที่วางไว้ จะเป็นภารกิจท้าทายอย่างยิ่ง แต่ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาล และสถาบันการเงินต่างๆ โดยมี บสย.เป็นตัวกลางทำหน้าที่ค้ำประกัน จะกลายเป็นพลังผลักดันให้เอสเอ็มอีไทยมีศักยภาพแข็งแกร่ง นำไปสู่การวางฐานรากเศรษฐกิจไทยที่เติบโตอย่างยั่งยืนในที่สุด
บทความโดย : บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *