เมื่อผู้คนตระหนักถึงพิษภัยของภาชนะโฟม ทำให้เป็นโอกาสของวัสดุจากธรรมชาติเข้าแทรกแซงตลาดได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ที่คร่ำหวอดในวงการนี้มานาน อย่าง “จานกาบหมากวีรษา” ก่อร่างธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปัจจุบัน และยังคงได้รับการตอบรับดีเรื่อยมา
ปาณิศา คุ้มไข่น้ำ หนึ่งในผู้ดูแลธุรกิจจานกาบหมาก “วีรษา” เล่าว่า แม้ตนจะเป็นสะใภ้ของครอบครัวนี้ ไม่ได้คลุกคลีกับจานกาบหมากมาตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก็เห็นโอกาสเติบโตในธุรกิจ ซึ่งเดิมคุณแม่สามี (สุมาลี ภิญโญ) ทำงานที่เทศบาลสูงเนิน จ.นครราชสีมา ได้รับมอบหมายหน้าที่ในการจัดงานประเพณีกินเข่าค่ำ ซึ่งเป็นประเพณีสืบทอดกันมายาวนานของชาว อ.สูงเนิน โดยต้องมีการจัดขันโตกกว่าร้อยชุด ซึ่งเธอหลีกเลี่ยงการใช้ชามโฟมเพราะย่อยสลายยากและเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเธอจึงหาวัสดุอื่นมาทดแทน ซึ่งก็ไม่พ้นใบตอง แต่ก็เกิดปัญหาการรั่วซึมกับอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก จึงเปลี่ยนมาใช้ชามกระเบื้อง ซึ่งก็หนีไม่พ้นการแตกหัก รวมถึงการสูญหายทุกครั้งที่จัดงานเสร็จ
กระทั่งไปเห็นกาบหมากที่ร่วงหล่นอยู่ตามท้องร่อง จึงเกิดไอเดียในการต่อยอดเป็นภาชนะสำหรับจัดขันโตก จึงได้ปรึกษาสามี ที่เป็นทหารช่างให้ช่วยคิดค้นเครื่องจักรสำหรับอัดกาบหมากเป็นภาชนะที่แข็งแรง สุดท้ายก็ขึ้นรูปเป็นจานกาบหมากได้ เริ่มใช้ออกงานครั้งแรกก็เป็นงานขันโตกที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีนั่นเอง ปรากฏว่าได้รับการตอบรับดีจากผู้คนที่มาเที่ยวชมงานและได้ทดลองใช้งานจริง
ด้วยคุณสมบัติเด่นของจานกาบหมากที่แข็งแรงกว่างานใบตอง และสามารถใส่อาหารได้ทุกประเภท ทำให้หลายคนที่ได้พบเห็นต่างสอบถาม และสั่งซื้อเข้ามา ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ “จานกาบหมาก แบรนด์วีรษา” ขึ้น
หากย้อนกลับไปเมื่อเริ่มก่อตั้งธุรกิจจานกาบหมากวีรษา เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน อัตราการเติบโตเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปตามเทรนด์ผู้บริโภคที่ค่อยๆ ตระหนักถึงอันตรายจากการใช้ชามโฟม จนเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเทรนด์สุขภาพมาแรง รวมถึงการเลือกใช้ภาชนะในการบรรจุอาหารก็ต้องปลอดภัยไม่แพ้อาหารที่บริโภค ทำให้จานกาบหมากวีรษาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง พร้อมได้รับการตอบรับดี จากเดิมอาศัยการบอกปากต่อปาก นำไปฝากขาย และวิ่งหาลูกค้าด้วยตัวเอง
“ต้องยอมรับว่าช่วงแรกสินค้าของเราค่อนข้างใหม่ในตลาด ผู้คนยังไม่รู้จักและยังไม่เป็นที่นิยม จึงเน้นการทำตลาดเชิงรับ แต่ตอนนี้จานกาบหมากวีรษาเป็นที่รู้จักทั่วประเทศแล้ว รวมถึงชาวต่างชาติก็เดินทางมาดูงานที่โรงงานเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันกระบวนการผลิตได้มาตรฐาน GMP แล้ว เพื่อรองรับการส่งออกที่จะเกิดอย่างแน่นอนในอนาคต”
ปัจจุบันกำลังการผลิตจานกาบหมากวีรษาอยู่ที่ 1,500 ใบ/วัน รวม 10 รูปแบบ ขายในราคาใบละ 5-7 บาท สามารถใส่อาหารได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหารแห้ง น้ำ อาหารร้อน เย็น ได้ทั้งหมด เพราะจานกาบหมากวีรษาทนต่ออุณหภูมิ -18-200 องศาเซลเซียส รวมถึงยังนำเข้าเตาไมโครเวฟได้ โดยจาน ชาม ไม่แตกหัก ไม่ทำให้อาหารเสียรสชาติ และไม่มีสารตกค้างในอาหาร เพราะเป็นวัสดุจากธรรมชาติ 100% ซึ่งมีลูกค้าบางรายนำไปอบขนมปัง ก็ได้กลิ่นหอมจากกาบหมากรวมอยู่ในขนมปังด้วย
ส่วนกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มคนรักสุขภาพ ผู้จัดงานอีเวนต์ ลูกค้าองค์กร การจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ โรงแรม รีสอร์ต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็มีลูกค้าตามบ้านที่ต้องการซื้อในจำนวนไม่กี่ใบ ก็สั่งซื้อได้ในเฟซบุ๊ก 'จานกาบหมากวีรษา' ซึ่งอนาคตเตรียมขายปลีกในโมเดิร์นเทรด 'ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต' ในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ โดยใน 1 แพกเกจจะบรรจุ 6 ชิ้น ตามขนาด
ด้วยความที่เลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติล้วนๆ ทำให้กาบหมากที่ไม่ได้มีตลอดทั้งปีต้องถูกเก็บสต๊อกเพื่อนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ โดยกาบหมากจะร่วงเป็นจำนวนมากในช่วงต้นปีไปจนถึงหมดฤดูร้อน ส่วนหน้าฝนจะไม่นิยมเก็บเพราะกาบหมากจะมีความชื้นสูง เสี่ยงต่อการขึ้นรา ซึ่งความยากของธุรกิจนี้อยู่ที่การหาชาวสวนเดินเก็บกาบหมากให้ทุกวัน เพราะหากไม่เก็บกาบหมากจะขึ้นรา ตกท้องร่อง ทำให้สกปรก ซึ่งที่ผ่านมายังใช้กาบหมากใน จ.นครราชสีมา แต่ต่อไปเตรียมรับซื้อจากชาวสวนในภาคกลาง และตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่ขั้นตอนการผลิตจะต้องใส่ใจทุกรายละเอียด โดยเฉพาะต้องรู้จักกาบหมากให้ดีก่อนนำไปขึ้นรูปเพื่อลดความสูญเสียให้น้อยที่สุด
ถือเป็นผู้ประกอบการเจ้าแรกในไทยที่มองเห็นโอกาสในเทรนด์สุขภาพ และสิ่งแวดล้อมก่อนใคร ทำให้กลายเป็นเจ้าตลาดในภาชนะที่ทำจาก 'กาบหมาก' ปราศจากคู่แข่ง ฉะนั้นใครที่ต้องการจะเป็นผู้นำ ก็ควรศึกษาเทรนด์ตลาดโลกในอนาคตไว้บ้างก็ไม่เสียหายอะไร
***สนใจติดต่อ 09-4290-8735, 08-9579-2112 และ Line : paninisa หรือที่ www.veerasa.com***
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
