xs
xsm
sm
md
lg

เปิดโมเดลความสำเร็จแฟรนไชส์ซักอบรีด “คลีนเมท” บริการตรงใจคนเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ธุรกิจ “ซักอบรีด” เติบโตอย่างน่าจับตา เพราะสามารถเข้ามาตอบโจทย์คนเมืองรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย และมีข้อจำกัดเรื่องเวลา และสถานที่ไม่เหมาะจะทำความสะอาดเสื้อผ้าด้วยตัวเอง นี่เป็นโอกาสให้แบรนด์ “คลีนเมท” (CLEANMATE) แจ้งเกิดขึ้นและยืนอยู่ในวงการมากว่า 10 ปี โดยชูมาตรฐานมืออาชีพ มีบริการยอดเยี่ยมครบวงจร และขยายเครือข่ายด้วยระบบแฟรนไชส์ จนปัจจุบันมีกว่า 50 สาขาแล้ว

วรนุช พงษ์พานิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คลีนเมท เซอร์วิส จำกัด เจ้าของธุรกิจร้านซักอบรีดแบรนด์ “คลีนเมท” (CLEANMATE) เริ่มธุรกิจใน พ.ศ. 2546 จากร้านเล็กๆ ในซอยลาดพร้าว 48 ก่อนจะตัดสินใจลงทุนนำเข้า“เครื่องซักแห้ง เทคโนโลยีซิลิโคน” มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อยกระดับบริการให้โดดเด่น และขยายฐานลูกค้า
วรนุช พงษ์พานิชย์  กรรมการผู้จัดการ บริษัท คลีนเมท เซอร์วิส จำกัด เจ้าของธุรกิจร้านซักอบรีด แบรนด์ “คลีนเมท” (CLEANMATE)
“ดิฉันพยายามหาช่องว่างของตลาดเพื่อจะยกระดับให้เหนือกว่าร้านซักอบรีดทั่วไป จนพบประเด็นว่าคุณภาพการซักรีดของแต่ละร้านจะขึ้นอยู่กับฝีมือช่างเสียเป็นส่วนใหญ่ หากจะสร้างมาตรฐานให้สม่ำเสมอต้องนำเทคโนโลยีมาช่วย ซึ่งเทคโนโลยีซิลิโคนถือว่าดีที่สุด มีใช้เฉพาะในโรงแรม 5 ดาวบางแห่งเท่านั้น ดิฉันจึงตัดสินใจนำนวัตกรรมนี้มาใช้เพื่อให้ร้านของเรามีมาตรฐานเดียวกับงานซักรีดของโรงแรม 5 ดาว ในราคาค่าบริการที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย” วรนุชอธิบายเสริม

ทั้งนี้ เครื่องซักแห้งเทคโนโลยีซิลิโคน ถือเป็นนวัตกรรมการทำความสะอาดเสื้อผ้าที่ดีสุดในวงการ ใช้เวลารวดเร็วประมาณ 45-50 นาทต่อรอบ หนึ่งรอบซักได้ถึง 18 กิโลกรัม ไม่ก่อความเสียหายต่อเสื้อผ้า และสามารถซักได้หลากหลาย เช่น เส้นใยต่างประเทศ ผ้าไหมทุกชนิด ผ้าขนสัตว์ทุกชนิด และเครื่องหนังต่างๆ เป็นต้น

ด้วยเครื่องที่มีศักยภาพสูง อีกทั้งหาความรู้เพิ่มเติมจากร้านซักอบรีดในต่างประเทศ และโรงแรมชั้นนำมาปรับใช้กับธุรกิจ โดยเฉพาะด้านบริหารร้านอย่างมืออาชีพ มีระบบรับจองนัดตรงตามเวลา การประกันความเสียหายหากเกิดขึ้น ช่วยให้ระยะเวลาแค่ 4 ปี แบรนด์ “คลีนเมท” แจ้งเกิดและมีฐานลูกค้าขาประจำหลากหลาย ทั้งกลุ่มคนทั่วไป และตลาดบน เช่น ชุดราตรี ชุดแต่งงาน เสื้อผ้าสำหรับแสดงแฟชั่น เสื้อผ้าดารานักแสดงในกองถ่ายภาพยนตร์ และละคร เป็นต้น

“ธุรกิจซักอบรีดมีลักษณะพิเศษที่เป็นทั้งวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และบริการ คนที่จะทำธุรกิจนี้ให้สำเร็จต้องเข้าใจทุกส่วน อย่างวิทยาศาสตร์ คือการซักผ้าแต่ละประเภทจะต้องรู้ว่าใช้เทคโนโลยี หรืออุปกรณ์การซักชนิดใดจึงจะซักออกมาได้ดีที่สุด ส่วนศิลปะเข้าใจถึงดีไซน์แฟชั่น ลักษณะเส้นใยผ้าแต่ละชนิด ควบคู่กับมีบริการที่ลูกค้าจะประทับใจ” เจ้าของธุรกิจกล่าว

อีกปัจจัยสำคัญในการเติบโตของธุรกิจคลีนเมท เกิดจากนำความรู้ที่สะสมมาต่อยอดเป็น “แฟรนไชส์” เพื่อหาพันธมิตรมาช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจ สามารถจะเพิ่มช่องทางขยายสาขา และเพิ่มฐานลูกค้าได้กว้างขวางยิ่งขึ้น รวมถึงใช้ศักยภาพของเครื่องซักแห้ง เทคโนโลยีซิลิโคนที่ลงทุนมูลค่าสูง ให้เกิดความคุ้มค่าที่สุด

“หลังจากที่เราเปิดสาขาของตัวเองมาได้ 4 แห่งแล้ว เป็นการการันตีว่าธุรกิจของเรามีศักยภาพ ทำให้มองถึงการต่อยอด ด้วยการปล่อยแฟรนไชส์ ซึ่งจะช่วยสร้างแบรนด์ และขยายสาขาได้เร็วยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังช่วยให้คนที่สนใจธุรกิจนี้เริ่มต้นได้ง่าย ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก” วรนุชระบุถึงแนวคิดในการขายแฟรนไชส์

แฟรนไชส์ “คลีนเมท” วางรูปแบบการลงทุนเป็น 3 ระดับ คือ แบบ A เป็นคีออสก์ ลงทุน 150,000 บาท แบบ B ลักษณะเป็นร้าน ลงทุน 200,000 บาท และแบบ C ลักษณะเป็นร้านและมีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ลงทุน 250,000 บาท อายุสัญญา 3 ปี อัตราเฉลี่ยคืนทุนใน 10-18 เดือน

ด้านการควบคุมมาตรฐานแฟรนไชส์ ใช้กระบวนการจัดอบรมหลักสูตรการซักอบรีดให้แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ ส่วนบริการซักแห้งนั้น ใช้ระบบให้สาขาแฟรนไชส์เป็นจุดรับสินค้าแล้วส่งมาซักแห้งที่ส่วนกลาง นอกจากนั้น กำหนดเงื่อนไขให้ทุกสาขามีมาตรฐานเดียวกัน ทั้งค่าบริการ วิธีรับส่งสินค้าให้ตรงเวลา และป้องกันปัญหาเสื้อผ้าสูญหายหรือสลับ เป็นต้น

“เรื่องระบบหลังบ้าน เป็นสิ่งที่เราต้องดีไซน์ให้เหมาะสมกับการทำงาน ในขณะเดียวกันต้องปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นเสมอ ตามปริมาณสาขามากขึ้น และปริมาณเสื้อผ้าที่ส่งมาซักเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันเรานำระบบไอทีช่วยเพื่อให้ข้อมูลออนไลน์ถึงกันทุกสาขา” เธอกล่าว

สำหรับ หัวใจแห่งความสำเร็จของธุรกิจซักอบรีด ต้องเลือก “ทำเล” ให้เหมาะสมที่สุด โดยคลีนเมทมุ่งเจาะพื้นที่ย่านชุมชน ที่มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคนวัยทำงานอายุ 25-40 ปี พักอาศัยตามคอนโดมิเนียม ซึ่งศักยภาพในการจับจ่ายสัมผัสกับค่าบริการที่ตั้งไว้

ด้วยการวางระบบที่ครบเครื่องดังกล่าว ตลอดระยะเวลาประมาณ 10 ปีมีสาขาแล้วกว่า 50 แห่ง แบ่งเป็นเปิดด้วยตัวเอง 5 แห่ง และสาขาแฟรนไชส์ 45 แห่ง กระจายอยู่ทั้งในคอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตีมอลล์ และอาคารสำนักงาน ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล และที่สำคัญแฟรนไชส์ที่เปิดมาทั้งหมดแทบไม่มีอัตราล้มเหลวเลย สำหรับเป้าในปีนี้ (2560) ตั้งไว้เปิดเพิ่มอีกประมาณ 8 สาขา

นอกจากนั้น ยังสร้างสรรค์นวัตกรรมสู่วงการซักอบรีดด้านสร้างช่องทางตลาดใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า เช่น บริการดีลิเวอรีรับส่งสินค้าถึงสถานที่ มีบริการตู้อัตโนมัติ ลูกค้ากดเลือกความต้องการต่างๆ ได้เองแล้วกลับมารับเสื้อผ้าคืนภายใน 3 วัน เป็นต้น

เมื่อถามถึงปัญหาของธุรกิจซักอบรีด วรนุชเผยว่า ในระยะแรกหาแรงงานคุณภาพได้ยากมาก เพราะต้องเป็นบุคลากรที่มีเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการรีดผ้า และต้องเข้าใจเส้นใยผ้าต่างๆ ด้วย หากพนักงานลาออกธุรกิจแทบขาดใจ อย่างไรก็ตาม หลังสะสมประสบการณ์ ทุกวันนี้สร้างเป็นหลักสูตรฝึกบุคลากรขึ้นมาใหม่ทดแทนได้เสมอ รวมถึง นำเครื่องจักรมาเสริมประสิทธิภาพการทำงาน อย่างล่าสุดนำเข้าเครื่องรีดเสื้ออัตโนมัติจากญี่ปุ่น มีศักยภาพรีดเสื้อได้ 1 ตัวต่อนาที จากเดิมหากใช้แรงงานคนรีดได้สูงสุดแค่ 8 ตัวต่อ 1 ชั่วโมง

“คลีนเมทมีนโยบายหลัก 3C ในการดำเนินธุรกิจเสมอมา คือ Clean ความสะอาด Care ดูแลลูกค้าด้วยความเอาใจใส่ และ Convenient อำนวยความสะดวกสบายลูกค้า ควบคู่กับปรับตัวให้ทันต่อความต้องการของลูกค้าได้เสมอ เพราะพฤติกรรมลูกค้าปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา หากคิดว่าธุรกิจเราดีอยู่แล้ว และไม่มีการพัฒนา วันหนึ่งธุรกิจอาจถึงทางตัน ดังนั้นเราต้องไม่หยุดนิ่งพัฒนาความรู้ และสำหรับหน้าใหม่ ก่อนจะลงมือทำควรมีเป้าหมายชัดเจน ศึกษาข้อมูลทุกด้าน และต้องเอาใจใส่ในสิ่งที่จะทำ ที่สำคัญ หากยังไม่ถึงเป้าหมายก็อย่าท้อ อย่าถอดใจ เพราะการทำธุรกิจเริ่มง่าย แต่จะทำให้อยู่รอดนั้นเป็นเรื่องที่ยากกว่า” วรนุชกล่าว

จากการเติบโตของธุรกิจซักอบรีด การแข่งขันย่อมสูงตามไปด้วย ดังนั้น ในมุมของตัวผู้ประกอบการ ต้องปรับตัวเข้ากับความต้องการของลูกค้าได้ทุกจุด ช่วยให้ลูกค้าประทับใจ และกลับมาเป็นขาประจำเสมอ นี่เป็นสิ่งที่แบรนด์ “คลีนเมท” ยึดมั่นมาโดยตลอด

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น