“แซ่บสะเด็ด” อีกหนึ่งตัวอย่างร้านอาหารไทยรสแซ่บ ที่หันมาเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าด้วยการใช้ช่องทางการขายผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊ก และก็ไม่ผิดหวัง เพียง 1-2 ปีที่ผ่านมามีคนติดตาม และกด link มากกว่า 2 หมื่นราย และหนึ่งในนั้นกลายเป็นลูกค้าระยะเวลาต่อมา
วันนี้ ถ้าพูดถึงบริการจัดส่งอาหารแบบดีลิเวอรี “นายภูดิส วงศ์ปัญญารัก” เจ้าของร้านแซ่บสะเด็ด เล่าว่า เกือบทุกร้านอาหารมีบริการดีลิเวอรี และยังรวมไปถึงผู้ให้บริการที่ไม่มีหน้าร้าน และอาศัยห้องครัวที่บ้านในการทำอาหาร ต่างก็เลือกใช้ช่องทางการขายผ่านหน้าเพจเฟซบุ๊กเป็นจำนวนมาก ส่งให้ตลาดนี้มีมาร์เกตแชร์เพิ่มมากขึ้นทุกปี บวกกับบริการจัดส่งที่รวดเร็วของผู้ให้บริการจัดส่งอาหารที่เปิดให้บริการเป็นจำนวนมาก สังคมเมืองหลวงจึงนิยมการใช้บริการสั่งอาหารแบบดีลิเวอรี
ดังนั้น การแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารในตลาดออนไลน์จึงมีสูงมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตรงนี้วัดกันที่ความชอบของลูกค้า และการตั้งราคา ในระดับที่สามารถมีกำไร และล้มคู่แข่งได้ เพราะจุดขายของร้านแซ่บสะเด็ด นอกจากรสชาติของอาหาร ความแปลกใหม่ของเมนูที่สลับสับเปลี่ยนกันมาให้บริการอย่างต่อเนื่อง เรื่องของราคาที่ตั้งเชื่อว่าสามารถล้มคู่แข่งได้ไม่ยากในยุคนี้
สำหรับราคาของร้านแซ่บสะเด็ด ต้องบอกว่าล้มคู่แข่งได้จริง เพราะสามารถทำราคาได้ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับร้านอาหารในย่านเดียวกัน อย่าง อโศก หรือสาทร โดยราคาเริ่มต้นที่ส้มตำไทย จานละ 30 บาท ซึ่งส่วนผสมทุกอย่างในส้มตำคัดเลือกมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกุ้งแห้งที่ครอบครัวคุณภูดิสทำใช้เอง เป็นต้น ส้มตำปูปลาร้า 35 บาท หรือส้มตำปูม้า ราคาเพียง 60 บาท ราคาสูงสุดในร้านคงจะเป็น ปลากะพงทอดน้ำปลา ราคา 230 บาท ส้มตำไข่กระดองปู จานละ 70 บาท และทางร้านก็ยังมีเมนูอาหารพื้นเมืองที่จังหวัดจันทบุรี เพราะทางเจ้าของร้านเป็นคนจังหวัดจันทบุรี จีงได้นำเมนูเด่น อย่าง หมูชะมวง น้ำยาปู และปลาหมึกแดดเดียว จานละ 80 บาท เป็นเมนูเด่นที่หากินที่อื่นไม่ได้ เป็นต้น
“ทั้งนี้ ที่ทางร้านของเราสามารถตั้งราคาขายที่เรียกว่าถูกกว่ารายอื่นๆ ในย่านเดียวกัน อย่าง อโศก สาทร ตึกเอ็มไพร์ และหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะส่วนตัวเดิมผมเองทำอาชีพเรือประมงมาก่อนอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ก่อนที่จะตัดสินใจมาเปิดร้านอาหาร ดังนั้น อาหารทะเลที่ราคาสูงแต่เราสามารถหาซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่าคนอื่นๆ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราสามารถขายได้ราคาถูกกว่าคนอื่นๆ แม้ว่าจะต้องเสียค่าเช่าพื้นที่สูงถึงหลักแสนบาทต่อเดือนก็ตาม”
ในส่วนของการขายผ่านหน้าเพจเฟซบุ๊กเป็นสิ่งที่ทางร้านให้ความสำคัญมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะระยะหลังรายได้กว่า 20% มาจากการให้บริการแบบดีลิเวอรี ส่วนการขายผ่านเฟซบุ๊กจะขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นได้มีการโปรโมต (การกระตุ้นด้วยการซื้อโฆษณาบนเฟซบุ๊ก) ก็จะขายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในแต่ละวันทั้ง 4 สาขาจะมียอดขายดีลิเวอรีประมาณ 100 ราย ส่วนการขายหน้าร้าน แล้วแต่สาขา อย่างสาขาอโศกมีมากที่สุดประมาณวันละ 100 โต๊ะ หมุนเวียนตลอดทั้งวัน ผลตอบแทนที่ได้หลังหักค่าใช้จ่ายเหลือประมาณเฉลี่ยสาขาละกว่า 1 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การให้บริการระบบดีลิเวอรียังคงผลักภาระให้ลูกค้าเป็นผู้ออกค่าจัดส่งเอง แต่ทางร้านจะพยายามคุ้มคอสต์การจัดส่งไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งถ้าเป็นไปได้เราจะคิดไม่ให้เกิน 150 บาท ถ้าเกินทางร้านจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง โดยทางร้านจะมีพนักงานจัดส่งที่เป็นของร้านเอง สาขาละ 1 คน ส่วนลูกค้าที่ใช้บริการผ่านแอปฯ ส่วนใหญ่ลูกค้าก็จะไปตกลงกับผู้ให้บริการเอง
ปัจจุบันมีพันธมิตรที่เป็นแอปพลิเคชัน 2 ราย คือ Lalamove และ Line man ที่เข้ามาติดต่อขอทำหน้าที่ในการส่งอาหารให้ทางร้าน โดยในส่วนของ Line man จะมีลูกค้าของเขาเอง และมาสั่งอาหารจากทางเรา ซึ่งมีการสั่งอาหารจากหลายร้าน โดยเขาจะเป็นคนเลือกร้านเอง และนำไปโปรโมตในแอปฯ ของเขาอีกที่หนึ่ง ส่วนลูกค้าของเราที่สั่งผ่านเพจแซ่บสะดวก จะเลือกใช้บริการส่งของ Lalamove เป็นหลัก
นายภูดิศเล่าว่า แผนในอนาคต นอกจากการขยายสาขาเพิ่มเร็วๆ นี้ที่บางนา-ตราด และมีแผนที่จะขยายสาขาในรูปแบบของแฟรนไชส์ ซึ่งในช่วงนี้อยู่ระหว่างการศึกษา โดยมีแผนที่จะเข้าอบรมกับหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ เนื่องจากการขายแฟรนไชส์ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ต้องการจะขายก็ขาย แต่ต้องการทำให้ถูกต้อง และสามารถนำพาคู่ค้าของเราสำเร็จไปด้วยกัน เพราะมีประสบการณ์จากการมองเห็นแบรนด์อื่นๆ ที่เปิดขายแฟรนไชส์ และสุดท้ายปัญหาทุกอย่าง หรือความล้มเหลวก็ตกอยู่กับลูกค้าที่มาซื้อแฟรนไชส์กับเรา ดังนั้น ถ้าจะทำควรจะทำให้ถูกต้อง และเติบโตไปด้วยกัน
โทร. 08-1779-7993, 09-0976-9828 www.facebook.com/ แซ่บสะเด็ด
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *